ได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กลายเป็นคนว่างงานเต็มตัว แต่สาวสวยหมวยอินเตอร์ ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ กลับอาศัยวิกฤตินี้ผันตัวมาช่วยเหลือสังคม ด้วยการจับมือกับนักร้องสาวเพื่อนสนิท จ๊ะ-นงผณี เปิดเพจ #เราต้องรอด ให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด สาว ได๋ มารายการ “ต้มยำอมรินทร์” ของ CHANGE 2561 พูดคุยในเรื่องนี้

ถือเป็นเจ้าแม่อีเวนต์ แต่ตอนนี้งานแคนเซิลหมดเลยเป็นไงบ้าง?

“นอนอย่างเดียวเลยค่ะ นอนจนเราจำไม่ได้แล้วว่าเราว่างงานมานานแค่ไหนแล้ว ถ้าคำนวณจริงๆก็น่าจะเกินครึ่งปีได้ค่ะ ตอนนั้นบอกเลยว่าเราทำงานพิธีกร ไมโครโฟนคืออวัยวะประจำตัวเราเลย แต่ตอนนี้คือไม่ได้จับไมค์มานานมากๆ”

ขอชื่นชมเลยกับการผันตัวไปเป็นจิตอาสาที่เต็มที่จากการเปิดเพจ #เราต้องรอด ทุ่มเทแบบแทบไม่หลับไม่นอนเลย จริงๆเริ่มต้นจากอะไร?

“เริ่มต้นจากการที่เราเป็นคนที่ติดตามข่าวสารตลอดเวลา ดูว่าแต่ละประเทศเขาเป็นยังไงบ้างก็เห็นหลายๆประเทศล็อกดาวน์แล้ว ตอนนั้นปลายๆ สองเข้าระลอกที่สาม แล้วทำไมหลายๆประเทศมีการฉีดวัคซีนและมีการควบคุมอย่างดีแล้วแต่ทำไมยังเกิดอีก เราก็ภาวนานะคะว่าอย่าเกิดขึ้นในประเทศไทยนะ ตอนนั้นเราก็ได้คุยกับจ๊ะว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อช่วยคนที่เป็นโควิด ตอนนั้นระลอกที่สามยังมาไม่หนักนะคะ แล้วก็มีเคสหนึ่งส่งเข้ามาหา จ๊ะก็เลยมาปรึกษา เราก็ช่วยประสานโรงพยาบาลหาเตียงให้ พอเราทำสำเร็จ จ๊ะก็นำไปลงว่าเราประสานช่วยได้สำเร็จแล้วหนึ่งราย แค่นั้นแหละคนก็ DM เข้ามาหาทั้งเราสองคนเยอะมาก เราก็คุยกันในกรุ๊ปซึ่งจะมีอยู่สี่คนคือ ได๋ จ๊ะ พี่สาวจ๊ะ และผู้ช่วยได๋ ซึ่งเราก็ตั้งชื่อกลุ่มของเราว่าเราต้องรอด เราก็เลยเอามาตั้งชื่อเพจขึ้นมาว่า เราต้องรอดด้วยเลยค่ะ ที่มาที่ไปก็แบบนี้”

...

จากตอนแรกแอดมินมีอยู่แค่ 4 คน แต่ตอนนี้คือ มีคนมาเสริมทัพอีกเยอะเลย?

“2 วันแรกมีเข้ามา 30 เคสเลยซึ่งมันเยอะมากเลยนะคะ คือเราช่วยมาสองวันเต็มๆแล้วและวันที่สามเราต้องมาถ่ายรายการ เราก็ห่วงว่าถ้าช่วงนั้นมีคนขอความช่วยเหลือมาเขายังไง โชคดีที่ว่าคุณนิหน่า ทักมาบอกว่ามีอะไรให้ช่วยบอกนะเราก็บอกไปเลยทันทีว่ามี ฉันตั้งเธอเป็นแอดมินนะ พี่นิหน่าคือน่ารักมากก็ตอบตกลงเลยว่าได้ หลังจากนั้นเขาก็ไปหาคนมาเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเราประมาณ 10 กว่าคน เราก็ได้มีการ ประชุมแบ่งงานกันเลย เราก็อยากทำให้ official มากขึ้นก็เลยตั้งเป็นไลน์แอทขึ้นมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเร็วมากแต่เราก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นระบบมากที่สุด แล้วจิ๊กซอว์สุดท้ายเราได้รับการติดต่อจากน้องๆ EMT จุฬาฯเป็นหน่วยฉุกเฉิน ซึ่งน้องๆกลุ่มนี้เขาจะมีเครื่องผลิตออกซิเจนแล้วก็สามารถที่จะไปประเมินหน้างานให้เราได้ ว่าต้องโทร.หา 1669 หรือยัง ถ้าเคสยังรอได้เราก็จะให้ติดต่อ 1330 หรือ 1668 ไปก่อน ซึ่งทุกวันนี้ คือ คนที่ Inbox เข้ามาเราก็จะมีรายละเอียดให้กรอกก่อนส่งเคสไปที่ LINE Official Account ของเรา ในนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยประสานงานต่อ มีประกันไหม ถ้ามีประกันเราจะได้ประสานไปที่ดูแลเราโดยตรง หรือหน่วยงานของคุณ แล้วก็จะมีอีกทีมที่เราจะคอยมิตเตอร์อาการของเคสต่างๆว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เราก็จะมีทีม EMT ที่เคยดูแลประเมินให้ที่หน้างานว่าเป็นยังไงบ้าง ก็จะให้ยาสามัญประจำบ้านหรือเครื่องวัดออกซิเจนไว้ให้ เมื่อถึงเวลาที่เขาได้รับตัวไปแล้วเราค่อยไปรับของคืนแล้วก็ทำความสะอาดบ้านให้เขา”

ทุกขั้นตอนมีรายละเอียดเยอะมาก เราเอาค่าใช้จ่ายจากไหน?

“จ่ายเองค่ะ ช่วงแรกก็จะเป็น จ๊ะกับได๋ค่ะ เราไม่ได้เปิดรับบริจาค เพราะเราเห็นมาตลอดว่าในการช่วยเหลือแบบนี้ถ้ามีเงินเข้ามาเยอะๆมันจะมีดราม่าเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราคิดว่าเราตัดดราม่าออกไปเลยแล้วกัน อะไรที่เราสามารถช่วยได้เราออกเองได้เราก็ออกไปกันเองก่อน แล้วพอคนมารู้จักเพจเรามากยิ่งขึ้นก็จะมีเพื่อนๆเข้ามาทักว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เราก็จะคิดก่อน เช่น อาสาสมัครของเราเขาใช้เงินของตัวเองเช่าห้องพักนอนมาหนึ่งเดือนเต็มๆ ซึ่งเราก็คิดว่าเขามาช่วยเราทำงานเราก็เลยช่วยหาที่พักให้เขา ตอนแรกเราก็จ่ายเอง แล้วก็มีเพื่อนๆยื่นมือมาช่วย”

เพจ เราต้องรอด ไม่เปิดรับการบริจาคเลย?

“ไม่รับเงินในการบริจาคเลยค่ะ แต่เรารับเป็นสิ่งของซึ่งเราก็จะเปิดประกาศบอกเป็นระยะๆว่าตอนนี้ PPE ไซส์ L หมดนะคะ ส่วนคุณนิหน่าเขาก็จะมีสถานที่ให้เราได้เก็บของที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งไม่ว่านำของอะไรออกไปใช้ก็ต้องมีการเซ็นเบิกออกไปว่านำไปใช้อะไรที่ไหนอย่างไร ก็ยังมีคุณอาร์ต-พศุตม์ ด้วย เพราะเนื่องจากอาสาสมัครของเราที่ทำงานคือมีหลายเขต หลายที่มากๆ บางทีคนที่ขอความช่วยเหลือมาเราก็จะกระจายของแบ่งไปให้กับเหล่าอาสาสมัครที่อยู่ในเขตนั้นๆ”

มีเคสที่ยากจนแล้วไม่มีรถไปโรงพยาบาล เรามีรถพยาบาลไปรับเขาไหม?

“ปกติแล้วถ้าเข้าระบบแล้วจะต้องรอรถ แต่ในตอนแรกที่เราไปช่วยคือเรายังไม่รู้ระบบ เราก็เสียค่าใช้จ่ายเองเลยค่ะ หารถเพื่อที่จะไปส่งเขา แต่พอไปรับแล้วก็ต้องไปส่งเขากลับบ้านอยู่ดี เพราะว่าระบบยังไม่ได้รับตัวของผู้ป่วย เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้วระบบเขาเป็นยังไง คือต้องประสานก่อนระบบพร้อมรับเราถึงส่งตัวไปได้ แต่ก็มีบางวันที่เคสเยอะมากรถก็จะไม่พอ แต่ล่าสุดที่เรามีรถพยาบาลของเราเอง เพราะมันเกิดจากเหตุที่ว่ารถของทีมอาสาทำงานจนรถพัง ซึ่งรถคันนี้ที่ได้มาคือ ตอนแรกน้องๆ อาสาเขาก็จะรวบรวมเงินเก็บเพื่อที่จะนำมาซื้อรถ เราบอกว่าไม่ต้องเดี๋ยวพี่ช่วย ซึ่งรถที่เราซื้อคือเป็นรถฉุกเฉินมาก่อน ซึ่งเงินที่ได้มาคือ มาจากเราส่วนหนึ่งและเพื่อนๆมาช่วย ก็หลายแสนอยู่เหมือนเราก็ได้รถมาคันหนึ่ง”

...

ตั้งแต่ที่ทำมาเคสเยอะที่สุดกี่เคส?

“300 ค่ะ เพราะมาจากแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งเราก็โชคดีที่มีหลายหน่วยงานติดต่อเข้ามาว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็แจ้งเขามาได้เลย เราโชคดีมากที่การทำงานนี้เราได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนทุกฝ่าย”

เห็นว่ามีบางเคสทำให้เราร้องไห้เลย?

“ช่วงแรกๆที่ทำคือร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าเมื่อเราทำสำเร็จเขาก็จะโทร.มาขอบคุณ ที่เราร้องไห้เพราะว่าเรารู้สึกว่าคำนั้นคือรางวัลของเรา เพราะเราคิดว่าเกิดมาชาตินี้เราไม่เสียชาติเกิดแล้ว เพราะว่าเราได้ช่วยชีวิตคน และอีกอย่างที่เราร้องไห้เพราะว่าทำไมโชคชะตาของแต่ละคนต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย อย่างบางคนตกงานไม่พอเขายังต้องมาติดโควิดอีก มีเคสหนึ่งคุณแม่คนหนึ่งเขาเป็นนักร้องกลางคืนแล้วเขาก็ไม่มีงานทำ เงินเหลืออยู่ติดกระเป๋าหลักร้อย เราก็เลยส่งทีมไปดูแล้วทีมก็บอกว่าที่บ้านเขาเหลือน้ำอยู่ขวดเดียว แล้วลูกเขาก็มีคอร์นเฟลกอยู่ 1 กล่องแบ่งกินวันสองสามอัน แต่เขาเข้มแข็งมาก อีกเคสน้องอายุสี่กับหกขวบ คุณพ่อเขาติดโควิดต้องไปรักษาตัว แต่ทั้งสองคนต้องดูแลกันเอง ส่วนอีกเคสหนึ่ง คือคุณป้าอายุ 60 ซึ่งอายุเท่าๆแม่เราเขาก็โทร.มาหาบอกว่า ฉันหายใจไม่ออกทำยังไงดี เราก็ตั้งสติแล้วคุยกับคุณป้าว่าให้หายใจเข้า-ออกช้าๆลึกๆแล้วก็ให้ท่านเดินไปจิบน้ำอุ่น ซึ่งพอท่านบอกว่าดีขึ้นเราก็เลยสอบถามท่านว่าอยู่คนเดียวเหรอ ท่านก็บอกว่าจริงๆมีลูกแต่ตอนนี้ลูกๆโตกันหมดแล้ว แล้วตัวท่านก็ติดโควิดด้วยเขาก็ยิ่งไม่สนใจ พอเราได้ยินเราถึงกับสะอึกเลย ทุกเคสมีรายละเอียดหมด อย่างมีเคสที่คุณอั้ม-พัชราภา ส่งมาบอกว่าให้เราช่วยหน่อยเราก็ไปรับแล้วพาไปตรวจ คือเป็นคุณยายป่วยติดเตียง แล้วก็มีหลาน ซึ่งเราก็พาคุณยายไปรักษาแล้วพอหายก็กลับมาบ้าน แต่สุดท้ายคุณยายก็เสียชีวิต ความรู้สึกของเราหดหู่ แต่พอเราเจอเคสเยอะๆเราก็เหมือนกับปาดน้ำตาแล้วก็ต้องดูแลเคสต่อไปต่อ”

...

อนาคต #เราต้องรอด จะไปกันต่อยังไง?

“ทุกครั้งที่เคสเบาลงเราก็จะพูดกันทุกครั้งเลยว่าเดี๋ยวปิดเพจแล้วเนอะ แต่เราก็ไม่เคยได้ปิด เพราะคุยกันไว้ว่าเราจะหยุดทำงานตรงนี้เมื่อคนหยุด Inbox เข้ามา แต่ถ้ายังมีคนส่งเข้ามาเราก็ยังหยุดไม่ได้ ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาช่วยทำให้งานของเราสำเร็จ คือจริงๆมันไม่ใช่งานของเพจ เราต้องรอดค่ะ แต่เป็นโปรเจกต์ที่เราทุกคนเข้ามาช่วยกันทำตรงนี้ ทุกหน่วยงานช่วยกันทั้งภาครัฐและเอกชน ขอบพระคุณทีมงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ขอบคุณ จ๊ะ นิหน่า พี่นพ ที่ส่งทีมมาช่วย และอีกสิ่งหนึ่งคือ คำขอบคุณจากทุกคนที่มอบให้เรา เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่สะท้อนการทำงานของเราจริงๆ ซึ่งเราคือส่วนหนึ่งที่เล็กมากๆซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำกันอย่างหนักมากที่สุด และขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกคนด้วย หากมีอะไรที่พวกเราเพจจิตอาสาเล็กนี้เราสามารถช่วยได้ เราพร้อมและเต็มใจเสมอ”.