- ความตั้งใจทำให้ผู้ใหญ่เห็น จนได้เลื่อนขั้นเป็นพระเอกช่อง 7
- ความเชื่อส่วนบุคคล เลขศาสตร์เปลี่ยนชีวิตจนประสบความสำเร็จ
- เลือกแล้ว กีฟ ดราภดา คือผู้หญิงที่จะไม่มีวันเลิกรักและทอดทิ้ง
ถ้าเอ่ยชื่อพระเอกของช่อง 7 ที่ขี้เล่นและอารมณ์ดี ก็ต้องนึกถึงนักแสดงหนุ่มเจ้าของลักยิ้มชวนหลง บูม กิตตน์ก้อง ขำกฤษ ที่ตอนนี้กำลังมีผลงานละครเรื่อง ตุ๊กตา ที่กำลังออกอากาศอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเรตติ้งกำลังไต่ระดับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ งานนี้จะพลาดไม่ฉกตัวพระเอกหนุ่มมานั่งพูดคุยอัปเดตผลงานละครและเรื่องราวชีวิตส่วนตัวได้อย่างไร
เรามาถึงเวลานัดหมายก่อนนิดนึง มาถึงพระเอกอารมณ์ดีขี้เล่นกำลังนั่งเสริมหล่อตบแป้งนิด เช็กความเรียบร้อยหน่อย แต่แม้จะยุ่ง หนุ่มบูมก็ยังหันมาทักทายสวัสดีอย่างเป็นกันเองกับเรา ก่อนที่เราจะปล่อยให้น้องเตรียมตัวอีกสักหน่อย เมื่อถึงเวลาเราค่อยเริ่มงานกัน และเมื่อบูมพร้อมแล้วเจ้าตัวก็เดินมานั่งพร้อมทำงานทันที
พระเอกรุ่นพี่ที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองเสมอ
พูดคุยสัพเพเหระกันพอหอมปากหอมคอ เราก็เริ่มงานกันเลยดีกว่า เพราะดูท่าแล้ววันนี้บูมน่าจะมีคิวให้สัมภาษณ์ยาว เราเลยเริ่มต้นกับคำถามสุดแสนจะเบสิกสำหรับพระเอกช่อง 7 ในตอนนี้ว่า
ตอนนี้พระเอกรุ่นพี่ของช่องก็ไม่ต่อสัญญาไปหลายคน จึงทำให้บูมต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของช่อง 7 แล้ว มีความรู้สึกเครียดหรือกดดันมากน้อยแค่ไหน บูม กิตตน์ก้อง หัวเราะและตอบคำถามนี้อย่างอารมณ์ดีว่า
“ตอนนี้รู้สึกแก่ มาไม่เจอใคร (หัวเราะ) พี่โตๆ ไม่ค่อยอยู่กันแล้ว เจอแต่น้องๆ มันเป็นตามวัฏจักรตามที่ควรจะเป็น เอาจริงๆ ผมกดดันตั้งแต่ผมเป็นพระเอกแล้ว เมื่อก่อนยังมีช่วงเวลาชิล เป็นพระรอง เป็นเพื่อนพระเอก ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
...
แต่พอตอนนี้พอเป็นพระเอกก็รู้สึกกดดัน แต่ผมก็ทำงานเต็มร้อย ไม่ปล่อยให้การทำงานผ่านไปง่ายๆ พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด อย่าทำตัวเนือย เฉื่อย เล่นๆ ไป
ผมคิดว่าผู้ใหญ่ แฟนละคร คนทำงานด้วยกัน ก็น่าจะเห็นถึงความตั้งใจของผม (ยิ้ม)” แหนะ ยิ้มทีลักยิ้มชวนหลงก็ทำเอาคนสัมภาษณ์เกือบลืมคำถามต่อไปที่จะถามซะแล้ว
ขอแสดงละครแค่ในจอ
แล้วยังจำความรู้สึกตอนที่ถูกเลื่อนตำแหน่งจากพระรองมาเป็นพระเอกได้มั้ย ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร ตื่นเต้น ดีใจ หรือว่ากดดันมากๆ จงอธิบายมาอย่างละเอียด
เราถาม บูม จนชักสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ นี่สัมภาษณ์ชิลๆ หรือให้มาสอบข้อเขียนกันนะเนี่ย แต่เราก็ได้คำตอบจากหนุ่มบูมว่า
“ตอนนั้นตื่นเต้นก่อน รู้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรวันนี้มันเห็นผลแล้ว แอบดีใจคิดว่าผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้หล่อมาก เล่นดีมาก
แต่สิ่งที่มีคือมีสินัยและตั้งใจกับมันมาก อย่างน้อยถ้าเขาจะเลือกด้วยเหตุผลว่าเราตั้งใจ ผมก็ดีใจมากๆ แล้วที่เขาเห็นตรงจุดนี้
แต่ต่อให้ผมสวมหัวโขนเป็นพระเอก แต่พอชีวิตจริงผมก็คือบูมคนเดิม เพราะตอนสมัยวัยรุ่นผมถูกชวนไปแคสต์งานไปเดินแบบ แต่รู้สึกไม่สบายใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องไปเป็นแบบนั้นแบบนี้ ไม่สนุก เลือกจะเตะบอลดีกว่า
แต่พอมาเจอพี่ผู้จัดการ ผมบอกตั้งแต่แรกที่จะทำงานว่า ผมไม่ขอเปลี่ยนตัวเอง ไม่ว่าจะดังหรือไม่ดัง และพี่เขาก็ยินดี ผมเลยเลือกมาทำงาน อยู่บ้านเป็นแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้น มีแฟนก็จะบอกว่ามี
แค่แสดงละครในการทำงานมันก็เหนื่อยแล้ว จะมาแสดงละครต่อในชีวิตจริงอีกเหรอ มันจะเหนื่อยเกินไปนะสำหรับการใช้ชีวิต แค่มีคำว่าพระเอก นักแสดง มากำหนดบทบาทในการทำงานก็พอ”
จากนั้น บูม กิตตน์ก้อง เล่าถึงความประทับใจกับอาชีพนักแสดงที่เขาเลือกยึดเป็นอาชีพหลักเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้เราฟังด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่เล่าเรื่องนี้ว่า
“อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่วิเศษมาก เพราะมันทำให้คนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เขามาหา มาคุย มีความรู้สึกดีๆ ให้ เขารักและหวังดีกับเรามากกว่าคนที่เป็นเพื่อนเราด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้เวลาเจอแฟนคลับผมก็จะเต็มที่
เจอกันไปกินข้าวกับแฟนคลับ ถ่ายรูปถ่ายคลิป ที่ทำแบบนั้นเพราะบางคนเขามาไกลมาก แต่ตั้งใจมาหาเรา ก็จะใช้เวลาให้เต็มที่กับเขา และกอดกันก่อนกลับ เพื่อเป็นการขอบคุณเขาที่มาหา ขอบคุณที่รักเรา อันนี้คือการแสดงความรักของเราที่มีต่อแฟนคลับ”
...
รักและรับได้ทุกอย่างของ กีฟ ดราภดา
กับแฟนคลับยังรักและดูแลความรู้สึกกันมากขนาดนี้ แล้วกับคนรักอย่าง กีฟ ดราภดา พระเอกหนุ่ม บูม กิตตน์ก้อง มีวางแผนชีวิตไปถึงขั้นไหนแล้ว งานนี้ทำเอาหนุ่มบูมถึงกับยิ้มพร้อมกับแซวเรากลับว่า แหม โยงเก่ง และตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่ง
“ความรักกับกีฟตอนนี้ 9 ปีแล้ว ส่วนเรื่องแต่งงานก็คงอีกไม่นานมากเท่าไร แต่ยังไม่บอกเดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ แต่ก็ใกล้มากแล้วแหละ ผมอยากให้ทุกอย่างมันร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนค่อยว่ากัน
ที่รอก็เรื่องของธุรกิจอยากให้สำเร็จก่อนและเรื่องความพร้อมหลายๆ อย่าง และตามฤกษ์ก็ยังไม่ใช่ปีนี้ครับ เรามีคุยกันแล้ว ทางวิทยาศาสตร์มันจะร้อยแล้ว แต่ทางฤกษ์มันยังไม่ถึงเวลา”
ต้องยอมรับว่า คู่ของบูมกับกีฟหลายคนเคยมองว่าไม่น่าจะไปกันรอด แต่ทั้งคู่ก็คบกันมา 9 ปีและรักกันมาก หลายคนเลยอยากรู้เคล็ดลับของความรักของทั้งคู่
งานนี้ บูม กิตตน์ก้อง เล่าถึงความรักในช่วง 2-3 ปีแรกที่ไม่ได้หวานชื่น แต่ทั้งคู่กลับต้องทะเลาะกันทุกวัน เพราะความต่างกันมากของคนสองคนให้เราฟังว่า
“ตอนที่ยังไม่รู้จักนิสัยกัน ผมชอบเขามาก ภายนอกเขาตรงสเปกผมทุกอย่างเลย ผมชอบผู้หญิงผมสั้น หมวย ขายาว หุ่นดี แอบปลื้มเขามาเกือบครึ่งปี และพอได้คุยกันก็มารู้ว่าเขาก็แอบชอบเราเหมือนกัน
มันเป็นความรู้สึกเริ่มต้นตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่า ผมจะรักผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะดูแลเขาและรับข้อเสียของเขาให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเลิกกับเขา มันเป็นความตั้งใจของผมตั้งแต่แรก
...
พอหลังจากที่คบกัน ก็เห็นข้อเสียของเขา เขาก็เห็นข้อเสียของผม และเราก็ทะเลาะกัน เพราะเราถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกันเลย เขาคือลูกคุณหนูคนหนึ่ง ผมเป็นเด็กห้าวๆ เกเรคนหนึ่ง
มันก็ทำให้ทะเลาะกัน แต่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ทิ้งเขา จะดูแลเขาให้ดีที่สุด จะรับข้อเสียเขาให้ได้ ก็เลยทำให้ไม่เลิกกัน
แต่พอคบกันไปเรื่อยๆ พอรู้จักตัวตนที่แท้จริง รู้ว่าเขาเป็นคนดี จิตใจดี การที่ทะเลาะกันมันถูกต้องแล้ว เพราะในโลกนี้ไม่มีใครคิดเหมือนกัน ก็เลยทำให้ทะเลาะกัน แต่เวลาที่ทะเลาะกันเราจะไม่ทะเลาะกันเรื่องเดิม
พอทะเลาะเสร็จจะมานั่งคุยกัน ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร อะไรที่ทำให้ทะเลาะ จะแก้ไขยังไง จบเรื่องนี้ วันรุ่งขึ้นทะเลาะกันเรื่องใหม่ต่อ
ทะเลาะแบบนี้ในช่วง 2-3 ปีแรกคือทุกวัน เพราะเราต่างกันมาก ทะเลาะจนไม่มีเรื่องจะทะเลาะ จนเราเข้าใจกันหมดแล้ว”
ฟังคำตอบอาจจะเหมือนบทพระเอกในละครที่เคยๆ ดูกันมา แต่สิ่งที่บูมตอบมันทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ยังมีผู้ชายที่ตั้งใจจะรัก รับได้ทุกอย่างของผู้หญิงคนหนึ่ง และพร้อมดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้เพิ่มอีกคน
...
เหนื่อยแต่ไม่เคยคิดจะปล่อยมือ
และเพราะความอยากรู้เราเลยถามบูมตรงๆ ว่าในช่วงที่ทะเลาะกันหนักๆ มีวันไหนมั้ยที่บูมหรือกีฟมีความรู้สึกที่อยากจะเลิกบ้างหรือ เพราะทะเลาะกันทุกวันมันเหนื่อยมากนะ เคยมีความรู้สึก ไม่เอาแล้ว พอแล้วแวบเข้ามาบ้างหรือเปล่า ซึ่งงานนี้เจ้าของลักยิ้มชวนหลงตอบเราว่า
“ความรู้สึกเหนื่อยมันมี แต่ไม่เคยเบื่อ เหนื่อยมากนะตอนนั้น เพราะพูดยังไงก็ไม่เข้าใจกัน ผมที่โตมาแบบนี้ กับเขาที่โตมาแบบมีทุกอย่าง โตมาเที่ยวต่างประเทศ ของผมต่างประเทศคืออะไรไม่รู้จัก มันเหนื่อย ทำไมถึงเข้าใจยาก เรื่องแค่นี้เอง
แต่พอเราเข้าใจกันมากขึ้น ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องนี้แค่นี้ เพราะบางเรื่องของเรามันคือเรื่องที่เซนซิทีฟสำหรับเรา เลยเข้าใจโลกมากขึ้นมาว่าไม่มีคำว่าเรื่องแค่นี้ เพราะเรื่องใหญ่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้ เราเกิดมาไม่เหมือนกัน
บางทีทะเลาะกัน ผมถามเขาว่า ยังอยากอยู่ด้วยกันมั้ย ยังรักกันมั้ย เขาก็ตอบกลับมาว่า ยังอยากอยู่ด้วยกัน ยังรักกัน ผมก็จะดึงเขามากอด ถ้ายังรัก ยังอยากจะอยู่ด้วยกัน จะมานั่งทะเลาะกันทำไม ทุกอย่างก็จบ (ยิ้ม)”
งือ ฟังมาถึงตรงนี้ รู้สึกได้เลยว่าอยากจะโคลนนิ่ง บูม กิตตน์ก้อง เพิ่มอีกสักหลายๆ คนจะได้มั้ย อยากจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีแบบ กีฟ ดราภดา ที่มีผู้ชายที่เข้าใจ รักและรับได้ในทุกอย่างที่เราเป็น
รักแท้ดูแลกันตอนเจ็บป่วย
เพราะช่วงหนึ่ง กีฟ ดราภดา ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แต่ บูม กิตตน์ก้อง ก็ยังอยู่ดูแลไม่ทอดทิ้ง งานนี้เลยทำให้กีฟกลายเป็นผู้หญิงที่หลายคนอิจฉา ซึ่งพระเอกหนุ่มตอบคำถามนี้พร้อมกับอัปเดตอาการป่วยของแฟนสาวให้เราฟังว่า
“ผมตั้งใจจะดูแลเขาอยู่แล้ว เขาจะสบายดี หรือเป็นอย่างไรผมก็ตั้งใจจะดูแลเขาเป็นอย่างดี ช่วงที่เขาไม่สบายก็มีเฟลกับน้ำหนักที่ขึ้นและควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งผมรู้และเข้าใจ
ช่วงที่เขาป่วยนั่งกินข้าวกันก็ทะเลาะกัน แต่เราเข้าใจว่าเขาป่วย ก็ยิ้มให้ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเราเข้าใจอะไรมันก็จะง่ายขึ้น ให้กำลังใจอะไรมันก็ดีขึ้น
ตอนนี้อาการเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ตอนแรกรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน พอเริ่มดีขึ้นก็หาหมอจีน ตอนนี้ค่าพิษไทรอยด์ก็ไม่มี เป็นปกติแล้ว”
แต่ถึงแม้แฟนสาวจะรักษาตัวจนหายดีแล้ว แต่งานนี้ บูม กิตตน์ก้อง กลับไม่ยอมให้กีฟกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งมันมีเหตุผลที่ต้องห้าม และบูมเล่าให้เราฟังว่า
“มีละครติดต่อมา แต่ผมไม่อยากให้เขาทำ ผมไม่ชอบผู้หญิงทำงาน บ้านผมไม่ได้รวย แต่ผมโตมากับคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่ให้แม่ออกไปทำงานลำบากนอกบ้าน และท่านก็ดูแลพวกเราได้ ผมชื่นชมคุณพ่อมาก บ้านเราไม่รวย แต่บ้านเราก็ไม่เคยลำบากเลย
ก็ศึกษาดูวิถีชีวิตคุณพ่อ มีเยอะก็ใช้เยอะ มีน้อยก็ใช้น้อย ซึ่งน้องเขาก็มีมากอยู่แล้ว และในวันนี้เราก็มีงานทั้งในวงการและนอกวงการ
และเวลาเขาทำงานละครมันเหนื่อย ผมไม่อยากให้เขาเหนื่อย ถ้าจะเล่นก็ให้เล่นได้ เล่นสักคิวหนึ่ง (หัวเราะ) รับทีละเรื่อง ไม่อยากให้รับงาน 7 วันเหมือนเมื่อก่อน และตอนนี้น้องก็มาดูธุรกิจให้ผมอยู่
ช่วงแรกๆ ก็มีทะเลาะกันนะ ที่ผมไม่ให้เขากลับมาทำงาน เพราะเขาก็ชอบทำงาน แต่ผมก็ให้เขาทำเฉพาะอันที่มันเหมาะสม เคยมีงานหนึ่งเขาชอบมาก แต่ไปทำแล้วเหนื่อยมาก แต่ผลลัพธ์ที่ไม่ได้คุ้ม
ผมก็ให้เขาทำน้อยลง อย่าไปคาดหวังกับรายได้ แค่ให้มีความสุขในระหว่างทางที่ทำ มันก็ค่อยๆ ปรับจนเขามาทำธุรกิจให้ผม เขาก็เริ่มแฮปปี้แล้ว
และเพราะการที่เขาทำงานหนัก เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ เลยทำให้เขาป่วยเป็นไทรอยด์ ไม่ใช่ไม่อยากให้ทำงานเลย แต่หมอบอกแล้วว่าโรคนี้มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นได้อีกถ้าเครียด พักผ่อนน้อย
ผมเลยไม่อยากให้เขาทำงานหนัก พยายามให้เขาดูแลธุรกิจผมให้แทน ถ้าเป็นงานละครผมก็จะช่วยดูบทให้ ถ้าบทมันโอเคน่าเล่น น่าสนใจก็ให้เล่น”
จากนั้นเราถามต่ออีกนิดหน่อย ว่าถ้าแต่งงานกันแล้วจะมีลูกเลยหรือไม่ หรือวางแผนเรื่องนี้เอาไว้อย่างไรบ้าง งานนี้บูมรีบตอบทันทีถึงการมีลูกว่า
“ถ้า ณ ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องมีลูก อยากจะรักษาคนที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ให้เขาสบายที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวเรา หลานเรา และกีฟ ยังไม่อยากรับใครเข้ามาเพิ่ม ยังไม่อยากรักใครมากขึ้น อยากรักษาคนที่มีอยู่ ดูแลให้ดีที่สุด สบายที่สุดก่อน
ถ้าผมมีลูก ผมจะทุ่มให้ลูกหมด แล้วผมจะดูแลพ่อกับแม่ได้น้อยลง มีเวลาให้ท่านน้อยลง ก็เลยยังไม่อยากมี ถ้าเรายังไม่พร้อม ก็อาจจะไม่มีก็ได้ ดูแลคนที่มีให้ดีก่อน อนาคตจะเป็นยังไงค่อยมาว่ากัน”
เลขศาสตร์เปลี่ยนชีวิต
ใครจะเชื่อว่าผู้ชายขี้เล่นอารมณ์ดีคนนี้จะเป็นคนที่เชื่อเรื่องศาสตร์ของตัวเลขคนหนึ่ง ซึ่งบูมเล่าให้ฟังว่า ที่ชีวิตเป็น บูม กิตตน์ก้อง อย่างทุกวันนี้ได้ เพราะมีที่ปรึกษาชีวิตที่ดีที่คอยให้คำแนะนำเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก จึงทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก
“กีฟเป็นคนพาผมไปรู้จัก เพราะเขาเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ผมอาจจะแซงหน้าไปหน่อย (หัวเราะ) เพราะว่าเจอมากับตัวเองด้วย ชีวิตผมมันดีขึ้นจริงๆ ที่ผมมาถึงทุกวันนี้เพราะเดินช้าลง ฟังมากขึ้น ตัดสินใจรอบคอบขึ้น
ผมมีคุณน้าท่านหนึ่งเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คอยให้คำปรึกษา พอทำตามที่ท่านแนะนำ คิดดีทำดี เดินช้าลง ชีวิตก็รอบคอบมากขึ้น ก็ทำให้ผมดีขึ้น ใจเย็นขึ้นมาก ใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น
แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่เชื่อเรื่องเลขศาสตร์เลย วันเกิด ทะเบียนรถ เบอร์โทรศัพท์ เลขที่บ้าน เลขที่อยู่รอบตัวเราจะส่งผลกับตัวเรา แต่น้องกีฟรู้จักและเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ จนเกิดเหตุการณ์ที่ผมเจ็บตัว เลยให้เขาบอกว่าผมเป็นอะไร แล้วเขาบอกถูกว่าผมเป็นอะไร ผมแบบอึ้งมาก
และเคยปรึกษาเรื่องสีรถจะเอาสีอะไร คุณน้าก็แนะนำว่าให้เอาสีขาว จะทำให้ได้งานมีเงิน ผมดาวน์รถไป 190,000 บาท ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ได้งาน 200,000 บาท เลยทำให้เชื่อและนับถือมา
สมัยนั้นผ่อนรถเดือนละหมื่นกว่าบาท แพงมากสำหรับผม ถ้าไม่มีอีเวนต์ก็แทบอยู่ไม่ได้ เพราะเดินแบบก็ได้งานละ 3-5 พัน แต่พอได้รถคันนี้มาก็มีงานเยอะขึ้นจนสามารถปิดรถคันนี้ได้ เลยทำให้เชื่อและนับถือกันมา”
ชีวิตจะโตขึ้นจะต้องเป็นหนี้
จากนั้น บูม เล่าให้ฟังต่ออีกว่า ในช่วงชีวิตที่เขาตัดสินใจเป็นทหารนั้น เคยยกทุกอย่างให้กับครอบครัว มีเงินติดตัว 0 บาทตอนที่เดินเข้าไปเป็นทหาร และหลังจากที่ปลดประจำการก็ออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยเริ่มจากการ 0 เช่นกันว่า
“ตอนที่จะไปเกณฑ์ทหาร ผมปิดบัญชีทุกธนาคาร เอาเงินให้พ่อแม่หมดเลย ตอนเข้าไปเป็นทหารผมมีเงิน 0 บาท และมีเสื้อกับกางเกงและรองเท้าเดินเข้ากรมไป เพราะผมรู้สึกว่ามันคือของนอกกาย และผมเข้าไปฝึกทหารตั้ง 6 เดือน ไม่เห็นจะต้องมีอะไรติดตัวเข้าไปเลย ค่อยออกมาทำใหม่
พอผมปลดทหารก็ไม่มีอะไรติดตัวมา แต่สิ่งที่จะทำให้โตขึ้นและมีความรับผิดชอบมากขึ้นคือการเป็นหนี้ ต้องไปซื้อบ้าน และไปซื้อบ้านเกือบ 10 ล้าน โดยที่ยังไม่ถ่ายละครสักเรื่อง อีเวนต์ก็ไม่มี เพราะเพิ่งปลดทหารมา ก็ไปจองบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าเดือนหน้าจะเอาเงินที่ไหนผ่อน แต่สุดท้ายก็ทำได้ จนมีบ้านหลังนี้ถึงทุกวันนี้”
ผลงานละครเรื่องล่าสุด
อัปเดตเรื่องราวชีวิตมาพอสมควร จะไม่ให้เจ้าตัวได้ฝากผลงานละครเรื่องล่าสุดอย่าง ตุ๊กตา ก็คงจะใจร้ายเกินไป งานนี้เราให้หนุ่มบูมรีบขายของทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่พลาดที่จะเชิญชวนแฟนๆ ให้มาชมละครเรื่องนี้ว่า
“ละครเรื่องตุ๊กตา สำหรับเรื่องนี้ผมต้องเป็นคนพานางเอก พาหลานไปคลี่คลายปมต่างๆ ในเรื่อง เล่นกับน้องๆ น่ารักดีครับ เคยได้ยินเขาพูดกันว่าทำงานกับเด็กจะช้า แต่น้องๆ ทั้งสองคนมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน เก่ง เรื่องนี้เลยง่ายมาก เล่นจนบางทีผมอึ้งว่าน้องเก่งจัง ก็เลยทำงานได้ราบรื่นดี
ความยากของเรื่องนี้คือต้องโดนผีหลอก มันต้องจินตนาการ เราต้องเชื่อและรู้สึกว่าเราเจอ ว่ามันน่ากลัว ตอนแรกค่อนข้างยาก เพราะยังไม่คลุกคลีกับตุ๊กตาและเนื้อเรื่อง แต่หลังๆ ผมเริ่มกลัว ถึงขั้นไม่กล้าอยู่ในห้องคนเดียวกับตุ๊กตา เริ่มรู้สึกว่าเขามีชีวิต เริ่มขยับได้ เริ่มอินไปกับเนื้อเรื่องแล้ว หลังๆ เลยเริ่มเล่นง่าย (ยิ้ม)
และเป็นที่รู้กันว่าเป็นละครรีเมค ซึ่งเรื่องนี้เมื่อ 30 กว่าปีก่อนโด่งดังมาก ผมเป็นนักแสดงจะมานั่งกดดันเรื่องนี้ไม่ได้ มันจะทำให้เราเครียด และกดดัน ก็ไม่คิดอะไรและเล่นให้เต็มที่มากกว่า และผลมันออกมาจะดีหรือไม่ดียังไง แต่ผมเต็มที่แล้ว ถ้ามันดีก็ชื่นใจ
แต่ถ้าไม่ได้ดีเท่าเดิม แต่เราก็รู้ว่าเราตั้งใจทำเต็มที่แล้ว และยอมรับกับผลที่มันออกมา ดีกว่าเราไม่ตั้งใจจึงทำให้มันออกมาแย่ แต่เอาจริงผมเกิดไม่ทันละครเรื่องนี้นะ แต่ผมเคยได้ยินประโยค หนูอยากกลับบ้าน มันน่าจะดังมาก แต่มันยิ่งทำให้รู้สึกกดดันนะ แต่ก็ตั้งใจทำให้มันดีที่สุดครับ
ผมว่าทุกคนต้องดูละครเรื่องนี้นะ เพราะว่าพระเอกหล่อ (ยิ้ม) ผมกับแม็กกี้ตั้งใจเล่นเรื่องนี้มาก และเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ฉากหลอน ยังมีฉากกุ๊กกิ๊กของพระเอก นางเอกด้วย และยังมีเรื่องของครอบครัว การเลี้ยงดูเด็กว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ ก็ได้ประโยชน์ด้วย
ไม่ใช่ดูแค่ความสนุกและน่ากลัว และเป็นละครที่เคยดังมากๆ มาก่อน ก็อยากให้คนเปิดใจลองดูเรื่องนี้ มันมีครบรส สนุก น่ากลัว และเตือนใจได้จากทุกๆ ตัวละครจะมีบทเรียนให้กับคนดูได้เห็นครับ”
เกือบ 1 ชั่วโมงที่นั่งคุยกับผู้ชายมีลักยิ้ม นอกจากจะกระชุ่มกระชวยหัวใจไปกับความหล่อแล้ว มุมมองความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งก็ทำให้เรายังแอบหวังว่าจะได้เจอคนดีๆ แบบนี้บ้าง และนอกจากนี้ยังได้มุมมองวิธีการใช้ชีวิตที่ทำให้ประสบความสำเร็จแบบ บูม กิตตน์ก้อง อีกด้วย.
ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : sriwon singha
ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย