เป็นความตื่นเต้นทั้งของค่ายเพลงดัง LOVEiS Entertainment หลังซีอีโอคนเก่ง “จี๊บ-เทพอาจ กวินอนันต์” บอกข่าวดีว่าได้ตัวนักร้องหนุ่ม “นนท์-ธนนท์ จำเริญ” มาร่วมค่าย รวมทั้งทำเอาแฟนคลับของหนุ่มนนท์คึกคักกันยกด้อม ซึ่งการร่วมงานที่ลงตัวครั้งนี้ เปิดโลกที่เติบโตในวัย 25 ปี ของหนุ่ม ที่เครื่องร้อนพร้อมเดินหน้าในถนนสายดนตรี และยังเปิดมุมใหม่ๆให้กับ นนท์เลิฟอิส รวมทั้งบอสจี๊บ นักธุรกิจเครื่องดื่มผู้ประสบความสำเร็จ ที่หันมาทำตามแพชชันของตัวเอง พร้อมสร้างสรรค์วงการเพลงไทยให้เติบโตเช่นกัน เลยต้องชวนมาเผยมุมมอง
เริ่มจาก “จี๊บ” ไปต้องชะตา “นนท์” ได้ยังไง?
จี๊บ “จริงๆเห็นเค้ามา ตั้งแต่เด็ก ด้วยวิธีการร้องของเค้ามาทำงานด้วยกันคงสนุก คงมอบความสุขให้คนฟังได้อีกเยอะมาก พอมีโอกาสนั่งคุยเลยชวนเค้าว่าลองดูมั้ย ลองมาทำงานด้วยกัน”
นนท์ “ผมทำงานมาปีนี้ปีที่ 9 รู้สึกว่าวงการนี้ไม่ได้ใหญ่หรือไกลกันขนาดนั้น ช่วงนั้นได้เจอศิลปินเลิฟอิส เจอพี่ๆเลยคิดว่าน่าจะลองดู ซึ่งถึงวันนี้ก็รู้สึกดีเพราะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ตั้งแต่เข้าวงการเราก็เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก็ต้องขอบคุณค่ายไอแอม ดูแลนนท์มาตลอด อย่างมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนเริ่มใหม่ มีหลายอย่างที่ไม่เคยสัมผัส มีมาเตะบอล เล่นเซิร์ฟสเกต เวลาทำงานก็จริงจังตั้งใจช่วยกันดู เลิฟอิสก็อบอุ่นจริงๆอย่างที่คนมองเข้ามา”

...
แนวเพลงของ “นนท์” กับเลิฟอิส?
นนท์ “ผมไม่เคยนิยามว่าผมทำอะไรอยู่ เลยไม่ได้ปิดกั้นศักยภาพตัวเอง ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรได้ก็ทำ ทำอะไรไม่ได้ผมก็จะฝึกแล้วผมก็ทำ ไม่อยากให้คนนิยาม นนท์-ธนนท์ ส่วนที่เราชอบก็จะเป็นอาร์แอนด์บีโซลป๊อป แต่อย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ รู้สึกว่าการที่คนดูได้ฟังอะไรหลากหลายและเราได้ทำอะไรหลากหลายมันก็เป็นการขยายศักยภาพตัวเอง ทุกวันนี้เข้าปีที่ 9 ปีที่ 10 ของผมและผมยังสนุกกับงานซึ่งก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุด ซึ่งใช้ได้กับทุกอาชีพครับถ้าเราทำสิ่งเดิมด้วยความรู้สึกใหม่ การที่ทำมันมา 9 ปีแล้วยังรู้สึกสนุก ก็ต้องขอบคุณคนฟังที่ติดตามเรามาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าวงการ ไม่เคยทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวเลยทุกครั้งที่ออนสเตจ”
จี๊บดึงศักยภาพนนท์ตรงไหน?
จี๊บ “อย่างที่เค้าบอกครับว่าเค้าพร้อม เค้าไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว เราก็ไม่ต้องปรับตัวอะไร เราก็สนุกไปด้วยกัน ลองทำมุมนี้มั้ย ร้องแบบนี้มั้ย เหมือนความเอนจอยในการทำแล้วเอาความเอนจอยตรงนั้นมาเป็นงานให้คนไปเสพยังไง ถ้าเค้าทำงานด้วยความสุขงานมันก็จะสะท้อนออกมาเอง เท่าที่คุยกันทัศนคติเค้าดี ไปได้อีกเยอะแน่ๆ”
ตอนประกาศว่ามาเซ็นสัญญากับเลิฟอิสก็ฮือฮา?
นนท์ “ผมตกใจเลยนะ พอเห็นกระแสตอบรับดีมากเลย คิดว่าหรือเราควรจะตกใจขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น วงการมันเล็กนิดเดียวก็วนเจอกันอยู่แล้ว แค่เรามาอยู่ที่นี่ เรามีจุดมุ่งหมายอีกแบบนึงผมรู้สึกอย่างนั้นนะว่าเราก็แก่ขึ้นทุกวัน ผมอายุ 25 เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15-16 จะสิบปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก ก็ดีใจครับที่เห็นแฟนๆตั้งตารอเรามาอยู่ที่นี่”
กดดันมั้ยที่แฟนๆตั้งตารอ?
นนท์ “ก็กดดันนะแต่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด ผมแค่เต็มที่กับงาน เหมือนกับทุกปีที่เราปักหมุดว่าปีนี้เรามีศักยภาพเท่านี้ ก็จะมีงานที่คนดูชอบหรือไม่ชอบ แต่คนดูจะเถียงไม่ได้ว่างานไม่ดีเพราะเราเต็มที่แต่ชอบไม่ชอบเป็นอีกเรื่อง”
จี๊บ “ผมนี่ล่ะกดดันจากสองทางคือแฟนๆที่มี 2 แฟน แฟนเดิมของเลิฟอิส และแฟนๆของนนท์เวลาเรามีวงหรือศิลปินอย่างนี้มาจะรู้สึกว่าทำยังไงให้แฟนสองกลุ่มนี้เข้ากันให้ได้ อันดับสองที่กดดันคือตัวเค้า พอกระแสเยอะๆเลยอยากรู้ว่าแฟนๆเค้าคาดหวังอะไร”
นนท์ “คนก็คาดหวังว่าเพลงจะเป็นยังไงซึ่งเราไม่อยากให้คนคิดไปก่อน ให้เพลงเราพาไป ให้เห็นมุมของตัวนนท์ในวันที่อายุ 25 เหมือนเป็นไดอารีของเรา ผมมองว่าแค่สนุกกับมัน การทำงานกับทีมเพลงผมประทับใจที่เราแชร์อะไรกันทุกวัน ว่าผมมีอันนี้หรือไปฟังเพลงนี้มา ส่วนแพลนที่จะปล่อยเพลงคือกลางปี เราทำไว้หลายแบบมาก เราโตขึ้นมุมมองกว้างขึ้นเพียงแต่ท้ายที่สุดเราจะหยิบเรื่องไหนมาเล่า ตอนนี้การฟังเพลงของคนมันเป็นปัจเจกมาก เมื่อก่อนเปิดวิทยุก็จะได้ยินเพลงนี้ทุกคลื่น เดี๋ยวนี้คนสามารถฟังสิ่งที่ตัวเองอยากฟังได้ แต่แน่นอนในหลายเพลงที่ทำมันโตขึ้นมาก ปีนี้เป็นปีที่ผมรู้สึกโตอย่างก้าวกระโดด ผมไม่อยากให้คนดูคาดหวังเยอะ แค่อยากทำงานคุณภาพ รู้สึกสนุกกับงานทำงาน ผมมาค่ายได้ทุกวันแบบไม่ได้มีนัดงานอะไร มาคุยเพลง ทำเพลง มาดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง เป็นช่วงเวลาที่ได้เก็บเกี่ยวงานหลังบ้านด้วย ได้ฝึกได้ลองทำที่นี่ ก้ำกึ่งขยันหรือบ้า (ยิ้ม) ผมสนุกกับการทำงานมากขึ้น ถ้าปีก่อนหน้านี้ผมแค่ไฟไม่หมดแต่ปีนี้ผมรู้สึกอยากทำงานมากขึ้น อยากทำงานเต็มที่ขึ้น เพราะการทำงานที่นี่พร้อม ถ้าไม่พร้อมคือตัวเราเอง”
...

หลายคนเห็นบอสจี๊บในมุมนักธุรกิจ การได้เข้ามาทำงานในวงการเพลงแบบนี้เรามีแพชชันอะไร?
จี๊บ “สมัยก่อนเราทำเกี่ยวกับเครื่องดื่ม ต้องร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆอยู่แล้ว พอมาทำเลิฟอิส ในอุตสาหกรรมเราถือว่าเราเป็นบริษัทระดับกลางไม่ใช่บริษัทใหญ่หรือเล็กๆ เลิฟอิสเองผมก็มองว่าอยู่ตรงกลาง รู้สึกว่ามันมีบางอย่างใกล้เคียงกัน วันที่ตัดสินใจมาลองทำเพราะอยากมาช่วยทำ แต่ทำไปสักพักมันสนุกดี เหมือนตัวเราเองได้รีเฟรช ได้มาเจอน้องๆ เราก็ได้อะไรจากเค้าเยอะเลย ลูกผมก็อายุ 10 กว่าปีแล้ว
ผมก็ได้เตรียมตัวว่าจะรับมือกับลูกยังไง ผมก็เป็นคนในวัยผมที่เล่นไอจี มันสนุกมากนะ ตอนแรกก็ไม่คุ้นเลยเพราะผมเป็นมนุษย์ถ้ำ ไม่เคยออกมาจากถ้ำ ไม่ชอบออกมาอยู่ข้างหน้าจนน้องข้างหลังต้องบังคับว่าพี่เป็นฟรอนต์นะ ต้องออกมาบ้าง พอมาทำเพลงเราก็ลงไปลองทุกอย่าง ทำให้รู้ว่ามันยากนะ ผมก็ค่อยๆเรียนรู้ พวกอาร์ติสต์ก็มีความเป็นศิลปะของเค้าเรายิ่งต้องใช้ศิลปะในการสื่อสารกับเค้ามากกว่าสินค้าปกติที่เราทำ ลูกค้าที่เคยเห็นผมก็จะบอกว่าเค้าชอบผมในพาร์ตนี้นะ ปกติเค้าเจอในโหมดซีเรียส อย่างเจอคนอายุ 25 อย่างนนท์ ก็อยากรู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่”
...
พอมาอยู่ในพาร์ต วงการเพลงแล้วเติมเต็มตัวเรายังไงบ้าง ยากง่ายแค่ไหน?
จี๊บ “ทุกธุรกิจมันมียากง่าย สนุกไม่สนุก เราก็พยายามปรับทัศนคติเราว่าอันนี้เป็นธุรกิจครึ่งเดียวบางธุรกิจเอาบัญชี มาร์เกตติ้งนำ สินค้านำ แต่ธุรกิจนี้ต้องเอาแพชชันนำ ผมว่าการทำดนตรีมันเป็นสมบัติของชาติไม่ว่าจะค่ายไหนเพลงไหนขอให้มีคุณภาพนะ มันเหมือนเรากำลังสะสมอะไรสักอย่าง มันอยู่ตลอดไปถ้าเราทำให้มีคุณค่าและมันวัดมูลค่าไม่ได้ ผมเลยอยากให้ทุกค่าย ทุกคนทำเพลงไปเถอะ”
เลิฟอิสปีนี้จะมีอะไรว้าวๆ มั้ย?
จี๊บ “มีน้องๆเข้ามาทำงานร่วมกันมากขึ้นก็คิดว่าน่าจะมีมากขึ้นอีก วันนี้ผมบอกตัวเองว่าหน้าที่ผมคือผู้สร้างความสุข พยายามที่สุดที่จะส่งต่อสิ่งนั้นไป นนท์ก็เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่เราคิดว่าเค้าทำความสุขให้คนฟังได้”
เลิฟอิสในยุคของจี๊บเป็นยังไง?
จี๊บ “เรารู้สึกว่าน้องมีคุณภาพในตัว ทำยังไงถึงจะให้เค้า Shining หน้าที่ผมคือเค้าขาดเหลืออะไรต้องทำยังไงให้ถึงตรงนั้น บางทีคนเรียกบอส ผมไม่ค่อยสบายใจเลยนะ บางทีเรียกพี่เรียกพ่อยังสนุกกว่า เรียกบอสมันเกร็ง เมื่อก่อนอาจจะชิน นี่ผมลาออกจากการเป็น CEO ธุรกิจแล้วจ้าง CEO มาทำแทนเลยนะจะได้มาสนุกกับตรงนี้”
อยากให้เลิฟอิสเติบโตแบบไหน?
จี๊บ “เราก็มีหลักการของเรานะว่าเราอยากสร้างความหลากหลายในทางดนตรี เราก็ระลึกได้ว่าคนหนึ่งคนไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้น ผมโชคดีที่วันนี้เรามีค่ายย่อยหลายค่าย เราทำให้น้องขึ้นมาจากคนเป็นศิลปินขึ้นมาบริหาร นี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝัน ทุกๆค่าย marr Holy Fox พร้อมบวก lit สิ่งที่เราคอมมิตกับค่ายเหล่านี้ด้วยคือวันนึงที่เด็กของคุณพร้อม กรุณาให้เค้าไปเปิดค่ายใหม่แตกออกไปอีก แล้วคุณก็ไปเป็นหุ้นกับเขา เพราะฉะนั้นเลิฟอิสไม่ต้องทำอะไรเพราะอยู่ตรงนี้อยู่แล้วเดี๋ยวก็ตามไปเอง แตกกิ่งก้านออกไปแต่ทุกคนก็มีรากแก้วอยู่ตรงนี้นะ มีอะไรอยากจะให้เราช่วยเหลือหลังบ้านยังไง เราพร้อม หน้าที่ของคุณคือไปหาว่าเค้าฟังอะไรกัน สร้างสิ่งที่คนเค้าฟังแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง”
...

สำหรับ “นนท์” นอกจากความเป็นนักร้องคนยังยกให้นนท์เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ได้ทุกรูปแบบ?
นนท์ “ผมไม่เคยมองตัวเองเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์เลยนะ แต่เป็นคนที่เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนเราชอบเล่นแล้วเพื่อนเห็นว่าเราเล่นได้ก็ส่งมา กลายเป็นเราเป็นตัวกลาง มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก เป็นคนสนุก แล้วเราก็ไม่ชอบให้บรรยากาศของคนรอบข้างดูตึงเครียด จริงๆเราเป็นคนที่เครียดมากนะ เลยรู้สึกว่าเพียงพอแล้วไม่อยากให้คนรอบตัวเครียด”
การเป็นเราแบบนี้ทำให้กลุ่มแฟนคลับเหนียวแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆรู้สึกยังไง?
“ผมว่าคงเป็นเพราะการเป็นคนดีต่อกัน มันเลยเหนียวแน่น บางทีศิลปินดีแต่แฟนๆทะเลาะกันมีเรื่องขัดใจกันมันก็อยู่ยาก เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีทุกวันนี้เพราะแฟนๆซัพพอร์ต ตั้งแต่ส่งนนท์-ธนนท์ เข้าวงการมาเราไม่เคยโดดเดี่ยวเลย ประหลาดมาก ทั้งที่เราเริ่มจากการขึ้นเวทีทั้งที่คนโห่ตั้งแต่แปดขวบ แล้วตอนนั้นเราไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย เริ่มเข้าวงการตอนแรกประกวดเสร็จก็โดนบูลลี่ตั้งแต่หัวจดเท้าเลย พออยู่ไปสักพักมีคนมาบอกผมว่าผมถึงที่แล้วผมไม่กล้าเข้าวงการเลยพี่โดนเยอะมาก ผมเลยบอกว่ามันคุ้มค่านะ หลายๆอย่างมันต้องพิสูจน์กว่ามันจะลงไปเย็นข้างล่างมันก็ต้องผ่านร้อนก่อน และมักบอกเสมอว่า ทำงานในวงการนี้ต้องอดทนจนวันนึงเราไปเจอคนที่รักเราจริงๆ เจอคนที่ทุ่มเทกับเราจริงๆระยะทางมันพิสูจน์ม้าจริงๆมันไม่ได้ง่ายๆ พอเล่าเรื่องเราให้บางคนฟังบอกว่าเป็นเค้า เค้าเลิกไปแล้ว แต่ตัวผมต้องขอบคุณแฟนๆเพราะเค้าไม่ได้แค่ดีกับผมแต่เค้าดีต่อกันด้วย ดูแลกันด้วย ผมโชคดีมากๆที่เข้ามาในวงการนี้แล้วผมสามารถเป็นตัวเองได้ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง ทุกวันนี้ก็ได้เป็นตัวเองมากขึ้นไปอีก เป็นอิสระในการใช้ชีวิตทั้งแง่มุมความคิด ความรัก ต้องขอบคุณแฟนๆที่ซัพพอร์ตและเติบโตด้วยกัน ปีนี้น่าจะได้ตอบแทนแฟนๆเยอะหน่อย”.
เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย