- พิม พิมประภา นางเอกเข้าใจโลก ชีวิตในวงการมันเป็นสัจธรรม
- เสียใจและเจ็บกับความเป็นจริง แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน
- ยอมรับแบบไม่อาย ว่าไม่ใช่นางเอกตัวท็อป
ถ้าเอ่ยชื่อของนางเอกสาว พิม พิมประภา ตั้งประภาพร หลายคนคงจะคุ้นเคยกับเธอคนนี้เป็นอย่างดีในบทบาทของนางเอกแสนดี เจ้าน้ำตา ที่วันนี้ สาวพิมขอก้าวออกมาจากบ้านหลังใหญ่มาเป็นนักแสดงอิสระ วันนี้ เราได้มีโอกาสนั่งพูดคุยและอัปเดตชีวิตของสาวพิมกัน ซึ่งวันนี้สาวพิมมาในลุคเท่ๆ ที่แปลกตา ไม่ได้มาสายหวานเหมือนทุกครั้งที่เจอ แต่ความสวยก็ยังคงเป๊ะอยู่ไม่เปลี่ยน
ไม่เร็วเกินไปกับการเป็นนักแสดงอิสระ
ซึ่งเราคุยกับบทบาทหน้าที่การเป็นนักแสดงอิสระกับสาวพิมว่าหลังจากที่ออกจากช่อง 7 ตอนนี้ปรับตัวกับการเป็นนักแสดงอิสระได้มากน้อยแค่ไหน และมีหลายคนมองว่าพิมออกมาเป็นนักแสดงอิสระเร็วเกินไป อยากให้สะสมฝีมือจากการเป็นนักแสดงของช่อง 7 ให้มากกว่านี้แล้วค่อยออกมา ซึ่งเรื่องนี้ พิม พิมประภา บอกกับเราว่า
"แฮปปี้นะคะ แต่ความรู้สึกแรกก็เหมือนการออกจากบ้าน ก็รู้สึกว่าต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะผลงานมันจะวัดตัวเราว่าจะได้งานเรื่องต่อไปรึเปล่า และต้องขอบคุณผู้ใหญ่หลายๆ คนมากจริงๆ ที่ให้โอกาสพิม และให้งานพิม

...
ส่วนเรื่องที่หลายคนมองว่าออกมาเป็นอิสระเร็วเกินไป พิมอยู่ช่อง 7 มา 8 ปีแล้วนะ ไม่ถือว่าเป็นระยะเวลาที่น้อย พิมอยู่มาตั้งแต่เด็กแล้ว และพิมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่มันอยู่ที่ว่าเราค้นพบตัวเองเร็วแค่ไหน
เหมือนพิมรู้ตัวเองมานานแล้วว่าไม่ใช่นักแสดงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะพิมทำอะไรได้หลายอย่างมาก ชอบที่จะทำอะไรหลากหลาย แสดงละคร ร้องเพลง ทำรายการยูทูบ ทำหลายอย่างมาก ก็เลยรู้ว่าการออกมาอิสระมันตอบโจทย์เราทุกอย่างเลย
และพิมอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ก่อนหน้านี้พิมไม่สามารถทำได้ตอนที่อยู่ช่อง และด้วยอายุที่อยู่ในวงการมานานพอสมควรแล้วก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว มันมีเวลาสนุกกับชีวิตได้ไม่เยอะ
เพราะอีกนิดนึงก็จะเข้าวัยผู้ใหญ่เต็มตัว มันเหลือเวลาอีกไม่มากที่พิมจะได้ค้นหาตัวเอง ได้สนุกกับการทำอะไรที่มันหลากหลาย มันเป็นจังหวะที่ดีที่เราได้ออกมาลองอะไรใหม่ๆ
ซึ่งเอาตรงๆ พิมไม่ได้คิดและวางตัวเองว่าจะต้องเป็นนางเอก พิมมองว่าตัวเองเป็นนักแสดง นักร้อง เป็นยูทูบเบอร์ คิดว่าถ้ามันมีบทอะไรที่ท้าทายและพิมอยากเล่น อ่านแล้วรู้สึกสนใจ
พิมไม่ได้ยึดติดกับบทนางเอก พิมมองตัวละครทุกตัวเป็นมนุษย์ ไม่ได้มองว่าเขาเป็นนางเอก นางร้าย มองตัวเองว่าเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มารับบทหนึ่ง"

ฉีกภาพนางเอกเจ้าน้ำตา รับบทเป็น "เมียน้อย"
ออกมาเป็นอิสระ ละครเรื่องแรกที่ได้รับก็เล่นเป็นเมียน้อย ซึ่ง เมียหลวง เป็นละครเก่าที่เอามารีเมคอีกครั้ง คิดนานมั้ยกว่าจะรับเล่นละครเรื่องนี้เพราะภาพจำของพิมคือภาพนางเอกแสนดี เจ้าน้ำตา พิม พิมประภา ยิ้มและตอบเราว่า
"พิมว่าคนอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ อาจจะติดภาพพิมเป็นนางเอกแสนดีมาตลอด เจ้าน้ำตา พอมารับบทที่พลิกบทบาทไปเลยคนก็เลยมีทั้งยินดีและไม่ยินดี ชอบไม่ชอบ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พิมเตรียมใจจะรับมันอยู่แล้ว
พิมรู้ว่าการรับเล่นเรื่องนี้จะต้องมีกระแสลบอยู่แล้ว เพราะขนาดเล่นเป็นนางเอก บางคนยังไม่ชอบเลย ไม่เหมาะ และยิ่งการที่ไปพลิกบทบาทเล่นไม่ใช่คนดีก็คงไม่ชอบ ขนาดแฟนคลับที่ติดตามพิม ที่เชื่อว่าพิมคือนางเอกจริงๆ เขาก็มีความรู้สึกไม่ชิน
และบางคนอาจจะยังรับไม่ได้ที่เห็นนางเอกแสนดีคนนั้นของเขามารับเล่นบทร้าย พิมเข้าใจแต่ก็อยากให้เปิดใจเพราะมันไม่ใช่ตัวพิม มันคือตัวละครที่พิมรับเล่น
ซึ่งพิมก็ยังเป็นพิมคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไป (ยิ้ม) พิมแค่รับบทที่มันหลากหลายขึ้น ได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น และรู้สึกสนุกกับการทำงานมากขึ้น

...
พิมยอมรับนะคะว่าละครเรื่องนี้ บทบาทนี้เป็นอีกงานที่ท้าทายความสามารถของพิม เพราะเอาจริงๆ ตอนที่ละครเรื่องเมียหลวงติดต่อมาพิมก็คิดเหมือนคนอื่นนะ ทำอีกแล้วเหรอ เพราะเรื่องนี้ทำมาหลายครั้งแล้ว
แต่สิ่งที่พิมจะต้องรับให้ได้และเตรียมใจก็คือต้องโดนเปรียบเทียบแน่นอน เพราะทุกเวอร์ชั่นที่ทำมา ได้รับกระแสตอบรับที่ดีหมด และได้รับคำติชมที่แตกต่างกันไป
เพราะฉะนั้นการที่เอากลับมาทำเป็นรอบที่ 4 แน่นอนคนจะต้องมีคำถามว่าทำอีกแล้วเหรอ เบื่อจังเลย บทเก่าๆ ทำไมไม่ทำอย่างอื่นที่ใหม่ๆ บ้าง
ซึ่งจริงๆ ตอนแรกพิมก็มีคำถามนี้เหมือนกัน ทำอีกแล้ว มันจะเหมือนเดิมมั้ย จะมีอะไรให้คนลุ้นมั้ย แต่กลายเป็นว่าพอได้อ่านบทรู้สึกว่ามันคือละครเรื่องใหม่ที่เราใช้บทประพันธ์เก่าที่มันมีชื่อเสียงมาก เอามาตีความใหม่ทั้งหมด
คาแรกเตอร์ของทุกตัวละครจะไม่เหมือนอย่างที่ทุกคนได้ดูเลย ตอนที่อ่านก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะเป็นอรอินทร์ในแบบไหน แต่พอมาทำการบ้าน เวิร์กชอปหาตัวตนของอรอินทร์ในเวอร์ชั่นใหม่
ทำให้พิมรู้สึกว่าอรอินทร์เวอร์ชั่นนี้น่าสนใจมาก มันมีความจริง ไม่ใช่นางร้ายที่ออกมาร้ายจ๋า แต่เป็นนางร้ายที่เราได้เจอในชีวิตจริง เราเคยเจอใครสักคนที่ดูเป็นคนดีแบ๊วใสน่ารักคนที่ดูจะดีกับเราแต่มันร้ายมันมีเยอะในปัจจุบัน ซึ่งอรอินทร์เป็นเมียน้อยในยุคปัจจุบันที่หลายๆ คนเคยเจอด้วยซ้ำ
มันเป็นความแปลกใหม่ที่ท้าทาย พิมต้องทำให้คนเชื่อว่านางเอกอย่างพิมก็เล่นร้ายได้เหมือนกัน การที่คนติดภาพเราอย่างนี้แล้วมาเล่นร้าย มันยากมากที่จะทำให้คนเชื่อ นั่นคือความท้าทายอีกขั้นหนึ่งที่พิมจะต้องทำให้ได้
และอีกอย่างคือพิมจะต้องตีบทให้แตก เล่นอย่างไรให้มันต่าง เพราะคนจะต้องเปรียบเทียบ แต่เวอร์ชั่นที่พิมเล่น ไม่ได้ไปก๊อบปี้เขามา แต่เป็นอรอินทร์ที่มีคาแรกเตอร์อีกแบบหนึ่งที่ตีความใหม่"
...

ขอโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง
แต่ต้องยอมรับนะว่า ตอนนี้หลายคนมองว่าการที่ใครออกมาเป็นนักแสดงอิสระแล้ว ยากจะปัง อยากจะดังต้องรับเล่นบทที่ฉีกตัวเองไป เป็นบทแรงๆ ร้ายๆ สำหรับพิมคิดแบบนี้หรือเปล่า นางเอกสาวบอกกับเราว่า
"แรงๆ ร้ายๆ ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ บางคนอาจจะเล่นบทที่ต่างมากๆ แต่พิมคิดว่าคนติดภาพว่าคนที่เป็นอิสระจะต้องออกมาเล่นแรง
แต่ถ้ามองกลับไปที่ไม่ได้เล่นเพราะเขาไม่เคยได้รับบทแบบนี้หรือเปล่า มีลิมิตบางอย่างทำให้ไม่ได้รับหรือเปล่า เพราะในส่วนตัวพิม พิมมีลิมิตบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้
หรือบางทีการที่ผู้ใหญ่วางภาพของเราเอาไว้ เขายังมองพิมยังไม่ถึงจุดนั้นที่จะทำได้ แต่การที่พิมออกมาจึงทำให้มีคนเห็นว่าพิมสามารถเล่นบทนี้ได้ก็ได้รับโอกาสนั้น ไม่ใช่ว่าพิมไม่อยากเล่น"
ออกมารับบทหลากหลายขึ้นที่ไม่ใช่แค่บทนางเอก ตอนนี้กล้าที่จะเรียกตัวเองว่านักแสดงได้เต็มตัวแล้วหรือยัง ซึ่งเรื่องนี้นางเอกสาวขอให้คนดูเป็นคนตัดสินให้น่าจะดีกว่า
...
"พิมไม่อยากจะพูดเอง อยากให้คนอื่นที่ดูเป็นคนตัดสินเรื่องนี้ให้ดีกว่า (ยิ้ม) เอาเป็นว่าเราคาดหวังอยากจะเป็นนักแสดงที่ดีและรับได้ทุกบทและคนดูเชื่อ แต่ไม่คาดหวังว่าคนดูต้องรักพิม แต่คาดหวังให้คนดูเชื่อในสิ่งที่พิมแสดง"

แล้วพิมรู้สึกอย่างไร ที่หลายๆ คน แฟนละครของพิมเอง ที่ติดภาพการเป็นนางเอกของพิม และพิมที่ถูกตีกรอบให้เป็นนางเอกเจ้าน้ำตา นางเอกดราม่า เรียบร้อย แสนหวาน พิม พิมประภา ตอบเราด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใสว่า
"ดีใจค่ะ ถือว่าเขาเชื่อในสิ่งที่เราเล่น เพราะบทนั้นมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคนดูเชื่อว่าพิมเป็นแบบนั้น แปลว่าเราแสดงได้ดี ก็ขอบคุณที่เขาคิดแบบนั้นเราก็ดีใจที่เขาคิดแบบนั้น ก็เลยไม่แปลกที่คนดูจะคิดภาพพิมแบบนั้น อาจจะยังมองไม่เห็นภาพที่จะไปเล่นบทที่มันแตกต่าง
พิมว่าคนเราไม่มีใครขาวโพลน ทุกคนมีจุดด้อยของตัวเอง ทุกคนมีข้อเสีย พิมถึงไม่มองว่าตัวเองเป็นนางเอกเพราะพิมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีทั้งชอบ ไม่ชอบ โกรธ ดีบ้างไม่ดีบ้าง
พิมอยากให้ทุกคนเปิดใจ นางเอกไม่ใช่คนดีนะ แต่นางเอกคือผู้หญิงที่เป็นนักแสดงนำ นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่านางเอก เพราะฉะนั้นนางเอกไม่ใช่คนดี (ยิ้ม)"
จากนั้น เราถาม พิม พิมประภา นางเอกมากความสามารถคนนี้ว่า ทำงานในวงการมาหลายอย่างทั้งนักร้อง นักแสดง ยูทูบเบอร์ ชอบอะไรมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวตอบเราว่า
"พิมชอบทุกอย่างเลยออกมาเป็นนักแสดงอิสระ (ยิ้ม) เพราะถ้าพิมชอบแสดงอย่างเดียวและมั่นใจว่าจะเล่นละครอย่างเดียว พิมอาจจะอยู่ที่เดิม เพราะพิมมั่นใจว่าพิมได้ละครแน่ๆ
แต่การที่พิมชอบทุกอย่างและอยากทำทุกอย่าง พิมถึงออกมาเป็นอิสระ ตอนนี้พิมก็ยังร้องเพลงอยู่ ร้องคัฟเวอร์ พิมทำมาตลอด
และตอนนี้ก็ได้ทำจริงจังมีแพลนจะทำซิงเกิล พออิสระเราก็ทำได้ทุกอย่าง ถ้ามีเวลาพิมก็จะทำเพราะมันคืออีกหนึ่งความสุขของพิม (ยิ้ม)
ส่วนการทำยูทูบเบอร์ พิมไม่ได้ทำจริงจังด้วยอาชีพหรือรายได้จากตรงนั้น แต่มันเป็นอีกช่องทางที่พิมทำให้คนที่ติดตามพิมได้ติดตามไปเรื่อยให้แฟนคลับหายคิดถึง
บางทีละครมันต้อง กว่าจะถ่ายทำเสร็จ ครึ่งปีก็หายหน้าไปแล้ว แต่การที่เรามียูทูบเราก็มีคอนเทนต์ของเราที่คนติดตาม รักเรา มีอะไรให้ได้ดูระหว่างที่รอผลงานเรา
และอีกอย่างคือเราสามารถเป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ตัวละครที่เขาได้เห็นในทีวี เขาได้เห็นชีวิตจริงๆ ของพิมที่ไม่ใช่ตัวละคร นี่คือ พิม พิมประภา"

รู้ตัวไม่ใช่นางเอกตัวท็อป
แม้ พิม พิมประภา จะอยู่ในวงการมานานตั้งแต่เด็กจนโต แต่ต้องยอมรับว่าชื่อของเธอนั้นไม่ค่อยคุ้นหูและเป็นที่รู้จักของคนในวงกว้างเท่าไร ไม่ใช่ชื่อที่เอ่ยออกมาแล้วคนจะร้องอ๋อในทันที ซึ่งนางเอกสาวยอมรับในเรื่องนี้แต่โดยดีว่าเธอไม่ใช่นางเอกตัวท็อป
"ใช่ค่ะ พิมอาจจะยังไม่ได้เป็นตัวท็อป แต่พิมไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออะไรนะคะ เพราะเราต้องรู้ตัวเองว่าเราอยู่ในจุดไหน และพิมไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องไปอยู่ตรงจุดนั้นตั้งแต่แรก ก็เลยไม่รู้สึก
แต่ถ้าเราหวังแล้วไม่ได้มันจะผิดหวัง แต่ด้วยความที่เราไม่ได้มีความคิดที่จะไปอยู่ตรงจุดนั้น พิมแค่มีความรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่พิมชอบ ตื่นมายังอยากไปกองละคร ก็จะทำต่อไม่ได้มีความคิดว่าเราจะต้องไปอยู่เป็นตัวท็อป
แต่ถ้าแต้มบุญเราสูง แล้วไปถึงตรงจุดนั้นก็ถือว่าเป็นบุญ เป็นกำไรชีวิต ที่จะทำให้ไปถึง แต่พิมก็มองแค่ว่า ทุกวันนี้เรายังได้ทำงาน ผู้ใหญ่ยังให้โอกาส ยังให้งานอยู่ เรามีเงินดูแลตัวเองและครอบครัว พิมโอเคแล้ว เพราะต่อไปก็คงจะทำธุรกิจของเราอยู่แล้ว ไม่ได้วางตัวเองไว้ตรงนั้นตั้งแต่ต้น"

จังหวะไม่ดีก็ไม่ดัง
เราถาม พิม พิมประภา ต่อว่า เพราะการแข่งขันในวงการบันเทิงสูงมาก แม้จะคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงมานาน แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้มีแต้มต่อและได้เปรียบคนอื่นใช่มั้ย
"การแข่งขันสูงอยู่แล้วค่ะ เพราะก็มีหลายคนที่อยากจะมาอยู่ในจุดของเรา และก็คนที่อยู่ในจุดที่สูงกว่าเรามันมีเยอะ การแข่งขันสูง แต่พิมเชื่อเรื่องจังหวะของชีวิตนะ ต่อให้แสดงดียังไง เก่งขนาดไหน แต่ถ้าจังหวะไม่ได้มันก็คือไม่ได้
ต้องยอมรับตรงนี้ด้วยและพิมก็เป็นคนที่เข้าใจตรงนี้มากๆ ค่ะ (ยิ้ม) มันเลยทำให้พิมเกิดความรู้สึกน้อยใจว่าทำไมฉันไม่ได้เหมือนใครบางคน ทำไมไม่ดังเปรี้ยงเหมือนคนอื่น พิมเจอคำถามแบบนี้มาเยอะ และคนรอบข้างก็พูดแบบนี้มาเยอะ แต่พิมเข้าใจมาตั้งแต่ต้นก็เลยไม่มีความรู้สึกกับตรงนั้น"
เมื่อคุยกับพิมมาถึงคำถามนี้ ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เธอเป็นคนมองโลกในแง่บวกไม่น้อย ไม่คิดโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว เราจึงถามต่อว่า พอเจอคำถามแบบนี้จากคนรอบข้างเยอะๆ รู้สึกอย่างไร เสียใจ มีความน้อยใจบ้างหรือเปล่า พิม พิมประภา บอกกับเราว่า
"พิมรู้สึกว่ามันไม่แปลก เพราะมันก็เป็นเรื่องของจังหวะ อย่างตอนที่มีละครเรื่องกาลครั้งหนึ่งในหัวใจ กระแสดีมากๆ มีไปออกอากาศที่จีนมันก็เป็นเรื่องของจังหวะ
คือพิมไม่ได้มีละครหลังจากเรื่องนั้นถึง 2 ปีเต็มๆ มันก็เป็นเรื่องที่อยู่ในใจ พิมก็เสียดายถ้าจังหวะมันดีกว่านี้ มันอาจจะไปได้มากกว่านี้
ตั้งแต่ตอนนั้นมันทำให้พิมคิดขึ้นมาได้ว่าจังหวะเป็นเรื่องสำคัญมาก ต่อให้เราทำดีแค่ไหน จังหวะไม่ได้ อย่างที่หลายคนชอบพูดกันว่า เรามาอยู่ถูกที่ถูกเวลามันก็จะได้ แต่ถ้าเราอยู่ถูกที่ผิดเวลา จังหวะมันไม่ได้มันก็คือไม่ได้

หลังจากละครเรื่องนี้มันทำให้ความคิดพิมเปลี่ยนไป ถามว่ามีเฟลมั้ยมันก็เฟลนะ แต่ความเฟลตรงนั้นมันทำให้พิมเข้าใจและถ้าเรามัวแต่รู้สึกแย่มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
2 ปีนั้นที่ว่างพิมทำอะไรกับมันได้บ้าง เราไปพัฒนาตัวเองมั้ย ถ้าเราได้ละครเรื่องใหม่ เราก็จะแสดงให้มันดี ถ้าระหว่างนั้นมัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจทำไมไม่มีงานเลย
ทำไมเขาไม่ให้ละครเรามันก็คงทำให้ชีวิตไม่พัฒนาอะไร ก็คงอยู่ที่เดิม ถ้ามันไม่มีก็ทำตัวเองให้ดีขึ้น พร้อมที่จะรับโอกาสใหม่ๆ ถ้าจังหวะไม่ได้ มันก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนตัวเอง
และประโยคที่คนพูดว่าเราเป็นนางเอกแต่ไม่ดังมากมันเป็นข้อเท็จจริงนะคะ เป็นสิ่งที่เขารู้ว่าเราเป็นอย่างนั้น ถามว่าจริงมั้ย ก็ยอมรับนะว่าจริงๆ
และถ้าถามว่าเราต้องหยุดทำเหรอ ก็ไม่นะ เราก็ต้องทำต่ออยู่ดี (ยิ้ม) ทำในสิ่งที่เราชอบ พิมคิดว่าคำพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรพิมได้ คอมเมนต์เหล่านั้นก็เป็นแค่ข้อเท็จจริง
เราไม่ใช่นางเอกตัวท็อป แต่เราก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราทำเต็มที่หรือยัง นอกเหนือจากนั้นมันคือเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ มันคือจังหวะ มันคือเวลา เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
บางทีละครบางเรื่องไม่คิดว่าจะปังแต่ก็ปัง หรือบางเรื่องที่คิดว่าน่าจะดีแต่ก็ไม่ดีก็มี แต่ถามว่านักแสดงทุกคนทำเต็มที่มั้ย ทุกคนทำเต็มที่แล้ว ซึ่งทุกอย่างมันอยู่ที่เวลาด้วย และพิมทำอะไรกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ค่ะ ต้องเข้าใจตัวเราเอง (ยิ้ม)"

สัจธรรมของชีวิตในวงการบันเทิง
พูดคุยกันมานานพักหนึ่ง ทำให้เราเห็นว่า นางเอกหน้าหวานคนนี้เป็นคนที่เข้าใจโลก เข้าใจกระแส แม้ตัวเธอเองนั้นจะต้องเสียใจกับคำพูดพวกนี้มามากน้อยแค่ไหน ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับกับเราตรงๆ ว่า
"ก็เสียใจมาก แต่ก็ไม่ได้เจ็บกับคอมเมนต์ของใคร แต่เจ็บกับความเป็นจริง ที่มันต้องยอมรับว่า อ๋อ จังหวะ เวลา คือเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเราเลือกจังหวะไม่ได้ เราเลือกเวลาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็อยู่กับปัจจุบัน
พิมยอมรับว่า ชีวิตพิมโชคดีที่ได้รับโอกาสมาอยู่ตรงนี้ ถ้าคนมองว่าน่าอิจฉา แต่อยากจะบอกว่า คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า
บางอย่างคนจะมองว่าสิ่งที่คนอื่นมี ดีกว่าเราเสมอ (ยิ้ม) มันเป็นเรื่องปกติ อาชีพทุกอาชีพมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ได้มองว่าอาชีพนักแสดงสบายกว่าอาชีพอื่น หรือไม่อยากจะพูดว่าเหนื่อยกว่าอาชีพอื่น เพราะทุกอาชีพมันมีความเหนื่อยแตกต่างกัน
และชีวิตเรามันคือสัจธรรม มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ มันมีช่วงที่ละครปังมากแต่อยู่ดีๆ ก็หายไป มันคือสัจธรรมอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับว่ามันมีขึ้นและก็มีลง มันเป็นสิ่งที่พิมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก
ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมันมีจังหวะที่ขึ้น จังหวะที่ดีมาก และจังหวะที่มันลง และเราต้องพร้อมที่จะรับทั้งจังหวะที่ขึ้นและลง ตอนขึ้นไม่เหลิง หลงระเริงและลงกลับไม่ได้ เราต้องเข้าใจว่ามันถึงจุดที่เราต้องลง
ตอนช่วงที่ท้อ พิมจะบอกตัวเองเสมอว่า ต้องทำให้ดีอย่าหยุดที่จะทำ เพราะถ้าหยุดเมื่อไหร่เราจะไปไม่ถึง และแม้จะยังไปไม่ถึงแต่มันก็ยังไกลกว่าเมื่อวาน การไม่หยุดเดินแต่มันก็ยังเดิน ช้าหน่อยแต่ก็ถึง ท้อได้แต่อย่าท้อนาน อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งหยุด อย่าหยุดทำ
ใช้เวลาที่เรารู้สึกว่าเรายังไม่ได้รับโอกาสหรือที่มันยังมาไม่ถึงทำทุกอย่างให้พร้อม เมื่อวันที่โอกาสมาถึงเราก็พร้อมที่จะรับมันเอาไว้ คว้ามันเอาไว้และทำให้ดีที่สุด ไม่ให้โอกาสนั้นเสียไป (ยิ้ม)"

ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก
อยู่ในวงการมานาน ทำมาก็หลายอย่าง แต่ พิม พิมประภา ยังไม่เคยชิมลางเล่นหนังเลยสักครั้งเดียว และหลังจากที่ออกมาเป็นนักแสดงอิสระ สาวพิมก็มีโอกาสได้เล่นหนังเรื่องแรกในชีวิตของเธออย่างเรื่อง วัยอลวน ฮ่า! ภาพยนตร์สุดคลาสสิกของไทย ซึ่งสาวพิมได้พูดถึงการเล่นหนังเรื่องนี้ว่า
"พิมอยากลองเล่นหนังมานานแล้ว พอมีติดต่อมาก็ไม่ได้ตัดสินใจยาก เพราะเราอยากลองอยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างไร พอมาลองแล้วมันแตกต่างกันในส่วนของการถ่ายทำ แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ต่างจากละครมากเท่าไร เป็นการเริ่มที่ดี เป็นการแสดงอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เคยลอง พิมชอบมากอยากเล่น อีกในหลายๆ เรื่อง ถือเป็นประสบการณ์ใหม่
ดีใจที่ได้เล่นหนังที่เป็นตำนานของรุ่นพ่อรุ่นแม่ ตอนที่รับเล่น ก็ดีใจเพราะรู้ว่าเป็นหนังที่แม่ชอบ และแม่เป็นแฟนคลับของอาไพโรจน์ด้วย พอได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็ดีใจและภูมิใจ คิดว่าพ่อกับแม่น่าจะแฮปปี้ตอนที่ได้มาดู (ยิ้ม)
ความรู้สึกตอนถ่ายหนังเรื่องนี้ไม่เครียดหรือกังวลอะไรเลยเพราะเป็นหนังที่ไม่เครียดด้วยเนื้อเรื่องที่ต้องการสร้างความสุขให้คนดูอยู่แล้ว เพระาฉะนั้นเวลาเราทำงานมันก็เป็นความสุขมากกว่า สนุกกับการทำงาน เนื้อเรื่องมันไม่ได้หนักมันจะเบาๆ ไม่ได้เครียดมาก

และเรื่องนี้นักแสดงเยอะมาก จะรวมคนในยุคออริจินัลในวัยอลวนมาแทบจะหมดเลย จะมีรุ่นใหม่ๆ มาด้วย สนุกมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ เหมือนมารียูเนียนกัน
พอเราได้เห็นก็รู้สึกว่ามันอบอุ่น มันน่ารัก เราทำงานก็มีความสุขและพี่ๆ ทุกคนน่ารักและอบอุ่นเวลาอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เวลาเล่นก็ไม่เกร็งที่ต้องเล่นกับรุ่นใหญ่ บรรยากาศในกองมันน่ารักอบอุ่น เราเหมือนลูกหลานที่มาทำงานด้วย เป็นกองที่มีบรรยากาศอบอุ่นมากๆ ค่ะ
ส่วนเรื่องความคาดหวังเรื่องรายได้ ต้องบอกตรงๆ ว่าไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้กระแสหรืออะไร รู้สึกแค่ว่าเราได้ทำงานที่เรามีความสุข เราก็โอเคแล้ว เพราะในยุคที่สถานการณ์แบบนี้การดูหนังมันก็เปลี่ยนไป
เพราะฉะนั้นเราจะมาคาดหวังให้รายได้ถล่มทลายก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นแต่หวังว่าคนดูจะได้รับความสุขกลับไปมากกว่าเพราะมันคือหัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยที่ต้องการให้คนในครอบครัวจับมือกันไปดูหนังเรื่องนี้แล้วมีความสุขกลับบ้าน เราหวังว่าคนดูจะได้อะไรกลับไปมากกว่า มากกว่าที่จะคาดหวังเรื่องรายได้"
ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : sathit chuephanngam
ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย





