เป็นประเด็นฮือฮาทั้งการกลับมาเขย่าวงการเพลงอีกครั้งหลังห่างหายจากการปล่อยเพลงไปกว่า 2 ปี ศิลปินมากความสามารถ เดอะทอยส์ (The TOYS) หรือ ทอย-ธันวา บุญสูงเนิน กลับมาพาเพลง “ไวน์ลดา” (blur blur) กระแสปัง รวมทั้งกระแสข่าวว่าช่วงเวลาที่เบรกหายไป เดอะทอยส์มุ่งมั่นเล่นเกมหมดเงินเป็นหลักล้าน! แต่เป็นการเติมเต็มแพชชันให้ตัวเอง เลยชวนมาเล่าเรื่องราว ทั้งช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง การกลับสู่โหมดทำเพลงอีกครั้ง รวมไปถึงบทบาทใหม่ที่ท้าทายกับการทำค่ายเพลงสุดว้าวในชื่อ “วูฟ (WHOOP)” ที่เจ้าตัวสุดกดดัน

เล่าถึงช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำเพลง 2 ปี และช่วงอยู่บ้านเล่นเกมหน่อย?

“ตอนนั้นก่อนจะมีโควิด-19 สักพักนึง เหมือนเราขอที่ค่ายเพลงหยุดทำงานเพลงเองเลยครับ คือผมรู้สึกเหนื่อย เหมือนเราคิดอะไรไม่ออก เราออกไปข้างนอกบ้านเกือบ 24 ชั่วโมง แล้วเราก็มาคิดว่าได้อยู่บ้านอาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมงเลย มันเลยไม่มีความสุข มันขาดความสุขตรงนั้นไป ตอนเช้าก็อัดเพลง ตอนกลางคืนก็ไปเล่นดนตรี มันเลยทำให้ผมหมดแรง คิดอะไรไม่ออก บางทีจะอัดงานหัวมันก็ตื้อครับ พอเราบอกค่าย มันก็เป็นความโชคดีที่วอท เดอะ ดัก เค้าเข้าใจเรามากๆว่าเราเจออะไรอยู่ พอมาเจอช่วงโควิด-19 ผมก็เลยไม่ต้องปรับตัวก็ใช้ชีวิตปกติครับในบ้าน เล่นเกม”

...

อยู่บ้านแล้วเกิดแพชชันอะไรใหม่ๆ?

“ถ้าไม่ใช่เรื่องเล่นเกมให้เก่งก็ไม่มี (หัวเราะ) หมดเป็นล้าน ขายรถเลยครับ ขายไปคันสองคัน ตอนแรกซื้อรถคลาสสิก แต่ไม่สะสมแล้ว ไม่สะสมรถแล้ว ไปสะสมของในเกม”

คนรอบข้างว่าไง?

“คนรอบข้างเอือมและชิน (ยิ้ม) แต่มันดีต่อใจ”

เคยคิดว่าจะไปอยู่จุดนั้นมั้ย ทำงานเพลงที่เรารักแต่พอมันต้องทำทุกวันกลับรู้สึกหมดแรง?

“ผมพยายามหลบชีวิตเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาเจอหนักกว่าเดิม (หัวเราะ) แต่ก็พอได้ ขอพักสักหน่อยมันก็หาย ซึ่งช่วงเวลาที่ผมพักไป ผมหยุดทุกอย่างทั้งหมดเพื่อที่จะอยู่บ้านเท่านั้น ซึ่งพออยู่เงียบๆผมก็เหมือนยิ่งเห็นยิ่งเงียบยิ่งเห็น ก็มีทั้งใช้เวลาเล่นเกมและทำเพลง ผมเป็นคนติดบ้านตั้งแต่เด็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ คือบ้านมีอยู่ 3 ชั้น ผมเข้าบ้านมาก็ลัดขึ้นไปที่ชั้น 3 เลย และก็อยู่ในนั้น กินข้าวตรงนั้น ไม่ลงมา ไม่ได้ไปไหน ซึ่งการใช้ชีวิตแบบนั้นมันเติมพลังผมได้มากเลย พอได้กลับไปพักมันก็เหมือนกับชีวิตที่หายไปแป๊บนึง ได้กลับมารู้สึกอีกครั้ง”

พอได้พักไปมันเติมพลังในการทำงานให้เรายังไง?

“มันเหมือนเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน เหมือนเรากินน้ำมาตลอด และเราไม่ได้กินน้ำนานๆแล้วเราได้กลับมากินน้ำอีกครั้ง”

กลับมาทำงานเพลงครั้งนี้คาดหวังยังไง?

“เอาสนุกเหมือนเดิมเลยครับ”

การเบรกตัวเองทำให้เรา ได้แรงบันดาลใจทำเพลง ในอัลบั้มใหม่ยังไงบ้าง?

“แรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นมุมมองของผู้หญิงมากกว่า ปกติเวลาเราเขียนเพลง เราจะมองแต่ในมุมมองของผู้ชาย เพราะเราไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคิดยังไง เลยพยายามจินตนาการ คือผู้หญิงจะมีความละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายในบางเรื่อง ก็หยิบตรงนั้นมาเขียน เพราะว่ามันก็เจ๋งดีครับ”

อย่างเพลงแรก “ไวน์-ลดา” ที่กำลังฮอต มีที่มาจากไหน?

“มันเหมือนเวลาที่เราบ่มไวน์ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี เพื่อที่จะได้ไวน์รสเลิศมาสัก 1 ขวด แล้วเราก็จิบแค่สัปดาห์ละครั้งแล้วผมก็ตีความว่าไวน์นั้นเป็นผู้หญิงแล้วก็เศร้า เป็นไวน์ละสัปดาห์ ซึ่งผมตั้งใจว่าในอัลบั้มจะมีสัก 9 เพลง แต่ตอนนี้เสร็จไปแล้ว 6 เพลง ส่วนคอนเซปต์อัลบั้ม พาร์ตดนตรียังเป็นอาร์แอนด์บีอยู่แต่เนื้อเพลงก็ไปเรื่อย รถผ่านก็เล่าเรื่องรถ (ยิ้ม) ไปเรื่อยๆ ทั้ง 9 เพลงเป็นเพลงในสต๊อกที่ผมแต่งไว้ จริงๆ มีเป็นร้อยเดโม่เลยที่ยังไม่ค่อยได้ใช้ครับ เราก็คัดที่มันใช้ได้ ตรงคอนเซปต์อัลบั้มมา”

ในอัลบั้มนี้มีสีสันดนตรีใหม่ๆที่ทอยยังไม่เคยได้ลองทำบ้างมั้ย?

“มีทุกเพลงทุกแนวเลย มันจะมีซาวด์หลายตัวเลยที่เราไม่ใช้ซ้ำกันครับ อย่างเพลง “ไวน์ลดา” จะมีลูกเล่น ฮาร์โมนิก้า ถ้าลองไปฟังจะเป็นเสียงของฮาร์โมนิก้าเยอะมากๆครับ ส่วนชื่ออัลบั้มก็ยังไม่ได้สรุป อัลบั้มนี้เราอยากให้เป็นแบบวินเทจป๊อป ที่มีความอาร์แอนด์บีด้วยครับ”

การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนอกจากการทุ่มเทเล่นเกมเราเอนจอยกับอะไร?

“ดูหนัง ดูซีรีส์เกาหลี ดูต้นไม้ที่ตาย ตอนแรกผมเศร้ามากที่หญ้าตาย แต่พอไปดูมันใกล้ขึ้น ก็เป็นสัจธรรมผมก็แฮปปี้เลย เป็นแนวคิดใช้ชีวิตได้อยู่ครับ”

...

หายไป 2 ปีแอบกลัวคนลืมมั้ย?

“ไม่กลัวนะครับ เพราะคนเค้าก็ลืมกันอยู่แล้ว (หัวเราะ) ที่ค่ายก็ทักมาตลอด บอกให้ผมโพสต์อะไรลงโซเชียลบ้าง เคลื่อนไหวบ้างและผมก็บอกว่าไม่เป็นไรครับ เค้าลืมอยู่แล้ว เลยชิลไป เล่นเกมไปเลย เราไม่รู้จะโพสต์อะไรด้วย ชีวิตเราไม่มีคอนเทนต์”

กับบทบาทเปิดค่าย “วูฟ (WHOOP)” ที่ “ทอย” มานั่งแท่นโปรดิวเซอร์?

“จริงๆมันเหมือนเป็นแก๊งๆเพื่อนพี่น้องที่ชอบดนตรีมาแจม ทำเพลงด้วยกัน ทำคอนเทนต์ด้วยกัน ซึ่งเรานำเสนอดนตรีในแบบที่เป็นเค้าเลย ผมแค่ช่วยซัพพอร์ตข้างหลัง เสริมให้แนวของเค้ามันชัดเจนขึ้น ตอนนี้ทั้งค่ายมีศิลปินคนเดียวชื่อ “ยัวร์มู้ด (YourMOOD)” ส่วนที่ผมช่วยปรับให้มันชัดเจนขึ้น ก็น่าจะเป็นเรื่องของสไตล์ดนตรี เพราะเสียงร้องของเค้าดีมากอยู่แล้วครับ”

ปกติเราทำเพลงคนเดียว เข้าใจคนเดียว พอมาเป็นช่วยดูและทำเพลงให้ศิลปินคนอื่นต้องปรับเปลี่ยนมุมมองมั้ย?

“ทำเพลงให้คนอื่นเรามีความหวังมากกว่าทำเพลงให้ตัวเองอยู่แล้วครับ เรากลัวเค้าไม่ชอบกลัวโน่นนี่ ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำเพลงให้ตัวเองเพราะจะชอบไม่ชอบฉันจะทำ (ยิ้ม) มันคิดคนละแบบ ก็กลายเป็นกดดันมากกว่าอีกแต่สนุก มันยากคนละแบบนะคือเราโปรดิวซ์เองอยู่แล้วก็เหมือนเอาตรงนั้นมาใช้ ผมเป็นโปรดิวเซอร์หลักในค่าย ซึ่งผมจะดูแค่เรื่องดนตรี มันเหมือนผมทำเพลงแต่ผมไม่ได้ร้องผมก็ทำพวกโปรดักชัน เรื่องภาพ เสื้อผ้า รวมถึงลุคให้ศิลปินคนอื่น ซึ่งมันกดดันมากๆ เครียดครับถ้าเค้าไม่ดัง (ยิ้ม)” ในค่าย “วูฟ (WHOOP)”

จะได้เห็นดนตรีแนวใหม่ที่ไม่เคยได้เห็นจาก “ทอย” บ้างมั้ย?

...

“มีแน่นอน เช่น ร็อกมากๆ ส่วนแดนซ์ก็น่าสนใจ” 

ช่วงที่ได้อยู่กับตัวเอง มองการทำงานที่เข้มข้นของตัวเอง รู้สึกชื่นชมตัวเองบ้างมั้ย?

“ภูมิใจนะครับ แต่จริงๆไม่ได้ถือว่าเราทะลุเป้าอะไรสักอย่างขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ทำทุกๆชิ้นงาน ก็คือการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ภูมิใจแล้วหยุด เราก็มองดูมันและเรียนรู้ต่อไป”

แล้ว ณ วันนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง?

“ความสำเร็จจริงๆของผมมันเสร็จไปตั้งนานมากแล้วครับ ผมเป็นคนชอบทำเพลงอินดี้ พอเวลาที่คนฟังเยอะขึ้น มันไม่อินดี้อีกต่อไป มันก็ค่อนข้างเกินเป้าหมายที่เราทำเอาไว้ครับ ส่วนเป้าหมายต่อไปของผมตอนนี้ยังไม่มีเลยครับ”

แล้วจากวันแรกถึงวันนี้ คิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นในด้านไหนเป็นพิเศษบ้างมั้ย?

“ผมคิดว่าเราชาขึ้น กร้านโลกขึ้น เราได้เรียนรู้อะไร มากขึ้น คือผมไม่รู้สึกอะไรกับพวกเรื่องดราม่าเลยเป็นศูนย์ครับ ผมคิดว่ามันเป็นตั้งแต่วันแรกแล้ว ผมเชื่อเรื่องนึงคือตอนแรกที่ผมทำคนก็มาคอมเมนต์เรื่องเสียงไม่มีเรื่องลุค แต่งตัวอะไรเนี่ย คือเราก็แบบจริงเหรอ! มันเจ๋งจะตายแล้วก็ทำต่อ (ยิ้ม) มีความดื้อ”

...

ยากมั้ยกับการที่เราดื้อจนคนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น?

“ไม่ยาก เราแค่ดื้อ (หัวเราะ) ส่วนเรื่องพวกข่าวลือ หรือพูดถึงสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ผมว่าเรื่องพวกนี้มันโดนทุกคน แต่สำหรับผมไม่เครียดเลย เพราะเราไม่ได้เป็น ผมมีความเชื่อในความคิดบางอย่างที่ผมคิดมาแล้ว ก็เชื่อในตรงนั้น แล้วมันกลายเป็นว่าอย่างอื่นมันจะเล็กลง”

ในชีวิตมีใครสามารถปราบดื้อเราได้บ้าง?

“น่าจะมีคนเดียวคือคุณแม่ครับ ตอนเด็กๆมีเข็มขัดที่ปราบดื้อ (ยิ้ม) แต่พอโตมาก็ไม่มีแล้ว คุณแม่อาจเชื่อในความคิดของเรา”

แปลว่าเราดื้อจนคนยอมรับในตัวเรา?

“อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน (ยิ้ม) เอาจริงๆ เราก็แค่อยู่ในโลกของเรา ไม่ได้สนใจอะไรที่เข้ามาเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวที่คนยอมรับเราก็เพราะว่ามันไม่มีใครเปลี่ยนใครได้มากกว่า หมายความว่าไม่มีใครมาเปลี่ยนผมได้ และผมเองก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ดังนั้น เราก็ทำในสิ่งที่เราชอบให้สุดไปเลย มันสนุกกว่า”

เรื่องเพลงล่ะ มองเพลงตัวเองช่วงแรกๆ กับเพลงตอนนี้ แรงบันดาลใจต่างกันมั้ย?

“สำหรับผมไม่เปลี่ยนเลย เพราะยังไงผมก็เอาความรู้สึกตัวเองเป็นหลักในการทำเพลง ถึงไม่ค่อยได้ทำเพลงกับทีมงานทำเพลงเยอะ เพราะเราทำคนเดียว เราจะเข้าใจของเราคนเดียว”

เวลาเรียนรู้อะไรใหม่ๆเราเป็นคนเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันดีหรือไม่ดียังไง?

“ข้อดีคือมันเร็ว อยากรู้อะไรก็วิ่งเข้าไปหาสิ่งนั้นได้ แต่ข้อเสียคือมันไม่มีใครเตือนเรา ไม่มีใครชี้ทาง”

ความสุขของเดอะทอยส์ในวันแรกเริ่มต้น กับวันนี้ต่างกันเยอะมั้ย?

“ต่างกันนิดหน่อย มีความสุขง่ายขึ้น เมื่อก่อนความสุขมันขึ้นอยู่กับการที่เราคิดอะไรออก เหมือนเราแก้ไขปัญหาในหัวได้ทีละข้อมันก็สนุก”

ความรักล่ะ “น้อง เกียร์” คนข้างกายดูแลแบบโตขึ้นมั้ย?

“ส่วนใหญ่ก็ดูแลเรื่องปกติทั่วไป”

ดูเป็นพาร์ตเนอร์ชีวิตรู้จักเราดี?

“ใช่ครับ คือในชีวิตเราไม่ได้มีใครคุยกับเรารู้เรื่องเท่าไหร่ เราก็ต้องขอบคุณเค้าที่คุยกับเรารู้เรื่อง”.

สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย