- ฮาน่า ทัศนาวลัย สะใภ้เจ้าที่สาวๆ หลายคนอิจฉา
- ไร้กังวล ฮิวโก้ สามีไม่มีบ้านเล็ก
- ไม่สปอยล์ลูก หวังสร้างภูมิต้านทานให้ในวันที่เติบโต
ต้องบอกเลยว่า ฮาน่า ทัศนาวลัย จักรพงษ์ กลายเป็นผู้หญิงที่สาวๆ หลายคนอิจฉา ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นภรรยาของ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ที่ดูหล่อเหลาและมีเชื้อเจ้าแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะว่าสามีของฮาน่านั้นเป็นผู้ชายที่รักลูกรักเมียมากนั่นเอง ไม่นอกลู่นอกทาง ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาให้กวนใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ฮาน่ากลายเป็นผู้หญิงที่สาวๆ หลายคนอิจฉานั่นเอง
บทบาทการเป็นภรรยาของ ฮิวโก้ จุลจักร
วันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ ฮาน่า ทัศนาวลัย ภรรยาสุดที่รักของ ฮิวโก้ จุลจักร เราก็เลยไม่พลาดที่จะพูดคุยเรื่องราวชีวิตครอบครัวของผู้หญิงที่โชคดีคนนี้ในอีกมุมหนึ่งที่หลายคนไม่เคยได้รู้ ว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตของฮาน่านั้นน่าอิจฉาจริงหรือไม่ งานนี้เราเลยเริ่มที่คำถามแรกแบบเบาๆ ว่า
การทำหน้าที่เมียให้กับ ฮิวโก้ มันเหนื่อยมากน้อยแค่ไหนเพราะทุกคนคิดว่า ฮิวโก้ น่าจะเป็นผู้ชายดูแลยากมาก งานนี้ฮาน่ายิ้มและตอบคำถามนี้ของเราว่า
“ที่จริงแล้วเขาดื้อ แต่เขาจะดื้อกับเรื่องงาน แต่เรื่องอื่นเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย มีอะไรทำให้เขาก็กินได้ อยู่บ้านทานจานเวฟทั้งวันก็ได้ แค่ต้องอยู่ปรนนิบัติ แค่เมียเอาอาหารที่วางไว้เข้าอุ่นไมโครเวฟให้จะดีที่สุด แม่บ้านทำไม่ได้ พี่เลี้ยงทำให้ไม่ได้ รู้สึกไม่อร่อย
อย่างเช่นอาหารเช้า เราทำทอดไข่ดาว เราทอดเขาก็จะบอกว่าไม่เคยกินที่ไหนที่มันพอดีเท่านี้ เขาจะหยอดเก่ง โห เมียทำอร่อยมาก สมมติทำสปาเกตตีให้ เขาก็จะบอกว่า เปิดร้านได้เลยนะ (ยิ้ม)
...
เขาเป็นคนที่ชอบให้เราทำอะไรให้ทุกอย่าง เขาจะรู้สึกว่ามันดีเลิศประเสริฐศรี สมมติสั่งอาหารมาแล้วกลับดึก 5 ทุ่มเที่ยงคืน เขาก็จะรอ เพราะอยากให้เป็นเมียเท่านั้นที่ทำให้ (ยิ้ม)”
ไม่เหนื่อยเหรอ ต้องคอยดูแลทำทุกอย่างให้ ให้พี่เลี้ยงทำให้ก็ไม่ถูกใจ เพราะฮาน่าก็เป็นผู้หญิงทำงาน ต้องไปทำงานนอกบ้าน ดูแลธุรกิจ งานนี้ฮาน่าตอบคำถามนี้ของเราด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะอธิบายให้ฟังว่า
“มันก็เหนื่อยนะ แต่เขาก็น่ารักของเขา (ยิ้ม) เขาเป็นคนน่ารักตรงที่เขารู้นะว่าเราไม่ได้กลับบ้านตรงเวลาจริงๆ (ยิ้ม) สมมติฮาน่าโทรหา ถามเขาว่าจะกินไร จะกลับบ้านแล้ว เขาก็จะไม่บ่นไม่ด่าไม่ว่า แค่โทรถามถึงยัง (ยิ้ม) ทั้งๆ ที่เขาก็หิวหนักมาก
แล้วเขาก็จะรู้ว่าเราชอบทำงาน ชอบอยู่กับเพื่อน เขาก็จะให้เราทำอะไรที่เราชอบ แล้วก็จะไม่ยุ่งเรื่องงาน เพราะถ้ายุ่งแล้วเดี๋ยวจะมีปัญหาทะเลาะกัน เขาติสต์ๆ กับทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความรักค่ะ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นเราเป็นความรักของเขา เขาจะไม่เยอะกับเรา เพียงแต่เราต้องรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง รู้เขารู้เรา ทำอะไรแล้วเราจะโมโห เราก็จะต่างคนต่างไม่ทำ”
กรี๊ด นั่งฟังมาถึงประโยคที่ว่า “เราเป็นความรักของเขา” ทำไมดูเป็นผู้ชายที่ละมุนและอ่อนโยนขนาดนี้ ฟังแล้วเคลิ้มอยากจะโคลนนิ่งผู้ชายที่ชื่อว่า ฮิวโก้ เพิ่มขึ้นในโลกนี้อีกสักคนจะได้หรือเปล่า
เคยบอกเลิก ฮิวโก้ ทุกช่วงวันนั้นของเดือน
จากนั้นเราถามต่อว่า เพราะเป็นภรรยาของฮิวโก้ ในช่วงที่สามีต้องไปทำเพลงที่เมืองนอก ความรู้สึกของฮาน่าตอนนั้นเป็นอย่างไร มีท้อบ้างมั้ยช่วงที่ต้องห่างกัน ซึ่งเจ้าตัวเล่าเรื่องราวในช่วงเวลานั้นให้เราฟังพร้อมกับหัวเราะไปด้วยว่า
“ก่อนแต่งงาน ในช่วงวันนั้นของเดือน แทบจะบอกเลิกเขาตลอดเวลา ว่าทำไมต้องมารอเธออะไรอย่างนี้ เหมือนต้องมารอเขา 3-4 เดือนกลับมาที เป็นเหมือนช่วงอารมณ์เหวี่ยง
พอไม่มีประจำเดือนก็โอเคไม่เป็นไรเลย ด้วยความที่เขารู้ว่าฮาน่านิสัยเหมือนผู้ชาย ฮาน่าชอบทำงาน ชอบอยู่กับเพื่อน เราก็เลยไม่ได้มีอะไรแบบนั้น
แต่พอตอนคลอดลูก มีลูกใหม่ๆ ตอนนั้นฮิวโก้คลอดอัลบั้มที่นิวยอร์ก เขาต้องกลับไปทัวร์หนักมาก เราก็ไม่อยากไปทำให้เขาไม่สบายใจในการทำงานของเขาที่นู้น เราก็จะบอกให้เขาเต็มที่เลย ไม่เป็นไร
แต่ด้วยความที่เราเพิ่งมีลูกคนแรกแล้วเลี้ยงลูกคนเดียว ตอนนั้นก็เศร้าเลย เหมือนเป็นซิงเกิลมัม สามีไม่อยู่ 2-3 เดือน เลี้ยงลูกเอง ทำอะไรไม่ถูก อยากให้มีพ่อมาช่วยบ้าง ก็มีแค่ช่วงนั้นเพราะมีฮอร์โมนด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) พอหลังจากนั้นเราก็ดีขึ้น"
...
เลือกสามีไม่ผิด
จากนั้น ฮาน่า ทัศนาวลัย เล่าความน่ารักของสามี และความโชคดีของตัวเองที่เลือกผู้ชายคนนี้มาเป็นสามีและเป็นพ่อของลูกๆ ของเธอให้เราได้ฟังว่า
"แต่สุดท้ายแล้วฮิวโก้ก็เลือกครอบครัว พอหมดอัลบั้มแรกเขาก็ไม่ทำต่อ เราก็เสียดายแทนเขานะคะ เพราะเขากำลังไปได้สวย หลายค่ายที่นู้นก็ใช้เพลงเขา เพลงเขาคือดังในระดับหนึ่งเลย มีเพลงติดชาร์ต แต่สุดท้ายเขาก็คงรู้ว่าบินไปมาลำบาก ระหว่างอเมริกากับไทย เพราะไกลกันมาก
แล้วเขาก็ไม่อยากทิ้งลูกในช่วง 3 ขวบแรก เพราะเป็นช่วงที่ต้องให้เวลากับลูกมากที่สุด เขาก็เลือกที่จะอยู่กับลูกไม่ต่อสัญญากับที่นั่น พอครบสัญญา ครบสองอัลบั้ม เขาก็บอกว่า เขารู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืออะไร อยากทำเพลงทำที่ไหนก็ได้เพราะมันไปทั่วโลกแล้ว
เราก็รู้สึกว่าเราโชคดีตรงนี้ ที่เราได้สามีดี ฮาน่ารู้สึกเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดเลย มันก็ทำให้เรายังยืนยันคำนั้นอยู่ เขาก็เหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ก็ 16 ปีแล้ว เราก็ไม่คิด เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายจะค่อยๆ หายไป แต่เขาจะกลายเป็นผู้หญิงที่ค่อยๆ รักมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันนี้เขายังหยอดคำหวานเติมเสน่ห์ เขาเป็นคนสวีต เหมือนให้ความรู้สึกว่าเขายังรักเรามากขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกโชคดี แล้วเขาเป็นพ่อที่ดีมาก ส่งลูกทุกเช้าที่โรงเรียน สอนหนังสือลูก เป็นแฟมิลี่แมนมากๆ (ยิ้ม) จากที่เราเห็นภาพหนุ่มร็อกเซอร์ๆ ดูอาร์ติสต์จับต้องยาก กลายเป็นพ่อที่ดีมาก สามีที่ดีมาก"
...
หมดห่วงฮิวโก้มีบ้านเล็ก
นอกจากนี้ ฮาน่า ยังเล่าให้ฟังว่า จริงๆ ไม่คิดว่าจะได้แต่งงานกับฮิวโก้ด้วยซ้ำ เพราะว่าแม่ของเธอนั้นหวงมาก แม่ไม่อยากให้แต่ง แต่วันนี้ก็อยู่ด้วยกันจนมีลูก 3 คน พร้อมกับบอกถึงเคล็ดลับของชีวิตคู่ของเธอและสามีว่า ต้องเป็นตัวของตัวเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะเล่าแบบติดตลกให้เราฟังต่ออีกว่า
"ฮาน่าไม่ต้องมาเครียด เพราะเขาเป็นคนซื่อสัตย์กับความรัก รักเดียวใจเดียว มันทำให้ไม่เหนื่อย กลัวว่าเขาจะไปยุ่งกับใคร มีบ้านเล็กบ้านน้อยมั้ย เป็นเขาต่างหากที่ต้องโทรตามเรากลับบ้าน (หัวเราะ)”
เราเชื่อว่า ผู้หญิงหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ต้องรู้สึกอิจฉาและอยากให้คุณผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มีความรักเดียวใจเดียวและซื่อสัตย์เหมือนอย่างที่ฮิวโก้เป็นอย่างแน่นอน ว่าแล้ว เราก็ยังมีความคิดที่อยากจะโคลนนิ่งผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกเหมือนเดิม
ถูกวิจารณ์ไม่เหมาะสมกับฮิวโก้
แต่เพราะตอนช่วงที่คบกัน ฮิวโก้ จุลจักร คือพระเอกหนุ่มสุดหล่อ โปรไฟล์เริด ที่สาวๆ หลายคนหมายปอง แต่จู่ๆ กลับมาปิ๊งรักกับ ฮาน่า ทัศนาวลัย นางแบบ-นักแสดง ซึ่งตอนนั้นต้องยอมรับว่า การเปิดตัวคบกันของทั้งคู่ ต้องมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนๆ อยู่ไม่น้อย ตอนนั้น ฮาน่า รับมือกับกระแสนี้อย่างไร
“มีค่ะ เพราะเราก็ไม่คิดว่าเราเป็นคนสวยอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนทำให้ฮาน่ารู้สึกว่าฮาน่าสวยที่สุด เขาจะชมฮาน่าตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เขานะ แม่ของเขาด้วย ชมว่าสวยเหลือเกิน แม่ฮาน่ายังบอกเลยว่า ดีใจจังเลยค่ะที่ชมฮาน่าสวย
คือเมื่อก่อนฮาน่ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหน้าแปลก หน้าเก๋ แต่เราไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนสวย เพราะแม่เราสวยมาก สวยเหมือนนางเอกเลย ไปที่ไหนตอนเด็กๆ เราก็จะได้ยินว่า ทำไมลูกไม่ได้เธอเลย เพราะเราเหมือนพ่อมาก พ่อไทยแท้เลย ผิวแทน ผมหยิก
...
เราก็เป็นคนเก๋ๆ คนที่พูดๆ มาเราก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเพราะเขาไม่ได้อยู่กับเรา แล้วความสวยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฮาน่าเชื่อว่าฮิวโก้เขาไม่ได้มองแค่หน้าตาอย่างเดียว เขาต้องมองเข้าไปข้างใน
แล้วเขาเป็นคนที่ไว้ตัวมาก ส่วนมากจะไม่เห็นว่าเขามีข่าวกับผู้หญิงเลย แล้วเขาก็ภูมิใจนำเสนอฮาน่ามาก เวลาไปอยู่ที่อังกฤษ หรืออเมริกาเพราะทุกคนต่างชมว่าทำไมภรรยาสวยจัง มันก็เลยกลายเป็นกำลังใจว่าเขานี่แหละ ทำให้เรารู้สึกว่าสวย (ยิ้ม)”
คำตอบของฮาน่าทำให้เรารู้สึกอึ้งและทึ่งในคำตอบไม่น้อย เราเลยขอคำแนะนำกับวิธีการรับมือกับการบูลลี่ การถูกวิจารณ์แรงๆ จากคนที่ไม่รู้จัก เพราะคนสมัยนี้จะพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น เรื่องนี้ ฮาน่า ทัศนาวลัย เลยบอกกับเราว่า
“จริงๆ แล้วฮาน่าโดนบูลลี่ โดนวิจารณ์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ เหมือนตอนเด็กเราชอบตากแดดผิวก็จะแทน ก็โดนล้อตัวดำ หัวหยิก เมื่อก่อนเราก็ เอ่อทำไม แต่เราไม่เคยคิดอยากจะขาวนะ เพราะฮาน่าคิดว่าเราขาวก็คงไม่สวย บางทีคิดว่าสิ่งที่เขาบูลลี่มา ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเราต้องยอมรับ แล้วเราต้องคิดด้วย
อย่างฮาน่าดำ แล้วทำไม วันนี้ฮาน่าได้สามีเป็นฮิวโก้ก็นะจ๊ะ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่บูลลี่เราคุณยังไม่รู้เลยว่าจุดจบของคุณหรือใครจะดีกว่ากัน
เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดสนใจในสิ่งนั้น แต่ถ้ามันเป็นความจริงก็ยอมรับแล้วอยู่กับมันให้ได้ ตัวดำแล้วทำไม ตัวดำแล้วสวยได้สามีเป็นฮิวโก้ ผมหยิกแล้วทำไมทุกวันนี้ฉันมีโปรดักต์ผมขายได้เป็น 10 ล้าน
เราต้องอยู่กับมันให้ได้และยอมรับมันอันไหนจริงก็ยอมรับมันแล้วไง ไม่ได้หนักหัวใครอันไหนไม่จริงก็คิดซะว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง คือตอนนี้นักเลงคีย์บอร์ดเยอะมากจะด่าอะไรก็ด่าเยอะมาก คิดซะว่าเป็นเสียงนกเสียงกา ถ้าให้มาอยู่แบบประจันหน้าไม่มีใครกล้าด่าหรอก (ยิ้ม)
เหมือนเจอโรคจิตแล้วยิ่งไปกลัวไปกรี๊ดเขา เขายิ่งได้ใจ เขายิ่งทำ เพราะฉะนั้นยอมรับกับมันเลย แล้วไง ทำไมเหรอ แต่สิ่งอื่นสิ่งใดเลยเราต้องรักตัวเราก่อน ให้ความทุกข์ไปอยู่กับคนที่บูลลี่เรา อย่าให้ความทุกข์มาอยู่กับเรา แล้วทำให้มันเป็นสิ่งดี ปรับจุดด้อยที่เขาบูลลี่ให้เป็นจุดเด่น”
บทบาทการเป็นแม่ลูกสาม
จากนั้นเราถามต่อว่า บทบาทเมียกับบทบาทความเป็นแม่อันไหนเหนื่อยกว่ากันสำหรับฮาน่า งานนี้คุณแม่ลูกสามหัวเราะก่อนตอบคำถามนี้ของเราว่า
“เป็นแม่เหนื่อยสุด เพราะว่าลูกเรา 3 คน (หัวเราะ) แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย มีการตบตีกัน มีการอิจฉา มีการแย่งชิงเดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกตลอดเวลา เมื่อก่อนเราจะไปห้ามทุกการทะเลาะวิวาท แต่ทุกวันนี้เต็มที่เลยลูกตีกันไปเลยเดี๋ยวมันก็หยุดเอง
ถ้าเราไปเครียดไปตามเราจะประสาทกิน เพราะฉะนั้นคือเต็มที่เลยลูกเดี๋ยวเขาก็หยุดเอง มันจะเหนื่อยแค่ตรงที่คนโตฮาร์เปอร์ 10 ขวบ ชอบทานอาหารฝรั่ง คนกลาง ฮันเตอร์ ลูกแม่มากไทยมาก ทานแต่ข้าวไข่เจียว กะเพรา ส่วนคนเล็ก นาดา กินทุกอย่างได้หมดกินไม่หยุด
กลายเป็นว่าเราเหนื่อยกับการต้องมานั่งหาอาหาร กลายเป็นว่าลูกอ้วนท้วนมากเลยช่วงโควิด น้ำหนักขึ้นมา 5-10 กิโลฯ กัน (ยิ้ม) ต้องมานั่งลดกลายเป็นว่าตอนนี้ลดไม่ได้ กลายเป็นห่วงเรื่องสุขภาพร่างกายกว่ากลัวโควิดอีก ทุกข์ของแม่ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเรียนการศึกษา มันเกี่ยวกับสิ่งรอบข้างที่ต้องผจญ
เขาจะเจอโรคอะไร โควิดจะติดไหม หรือจะ RSV หรือจะโรคมือเท้าปาก ไปโรงเรียนดีมั้ย คือมันต้องคิดแทนหมดเลย ไหนจะฝุ่นอีก ก่อนหน้านี้ฮาร์เปอร์โดนฝุ่นจนไอไม่หยุดอ้วกออกมาเลย มันกลายเป็นว่าสิ่งแวดล้อมตอนนี้มากกว่าที่เราต้องเป็นห่วง
ตอนนี้ก็พยายามให้ลูกอยู่กับธรรมชาติเยอะๆ พอหยุดได้จะไปเขาใหญ่อยู่กับธรรมชาติกับดินกับทราย ปลูกผักปลอดสารพิษทาน ต้องมาคอยดูแลเรื่องสุขภาพเขาเป็นหลักมากกว่า"
สร้างภูมิต้านทานทางสังคมให้กับลูก
จากนั้น ฮาน่า ทัศนาวลัย เล่าให้เราฟังต่ออีกว่า นอกจากเรื่องสุขภาพของลูกๆ แล้ว งานนี้ คนเป็นแม่อย่างเธอก็ต้องดูแลสุขภาพจิตให้กับลูกๆ ด้วย ซึ่งเจ้าตัวเล่าถึงเรื่องนี้ให้กับเราฟัง
"นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพจิตก็ต้องดูด้วย เพราะเด็กสมัยนี้ถูกสปอยล์โดยไม่รู้ตัว ไม่ได้รับภูมิ อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่มีความอดทนรอคอย รอไม่ได้คอยไม่ได้ เป็นรุ่นที่มีความอดทนน้อยมากมัน ต้องฝึกสร้างภูมิให้เขา
เพราะว่าวันหนึ่งที่เขาโตไป เขาจะรับอะไรไม่ได้เลย เขาจะต้องทนความผิดหวังไม่ได้ ทนความเสียใจไม่ได้ เราจึงสร้างภูมิตรงนี้ให้เขามาตลอด เขาไม่ได้อะไรในสิ่งที่เขาอยากได้
พ่อแม่หลายคนมากเลยที่รู้ว่าลูกชอบอันนี้ พอวันรุ่งขึ้นซื้อมาเลย 10 แพ็กเกจ สมมติชอบไดโนเสาร์ ก็ได้มาหมดเลย ส่วนเขาไม่รู้แล้ว และอยากได้อย่างอื่นอีกเพราะอันนี้ได้มาครบแล้ว มันจะทำให้สมาธิหรือความสนใจเขาต่ำมาก
แต่ที่บ้านฮาน่าก็จะบอกว่าที่บ้านเรามีเยอะแล้ว ฮาน่าพาลูกไปห้างนั่งเล่น 5 นาทีพอเสร็จแล้ววางกลับบ้านนะไม่ซื้อให้ (หัวเราะ) เพราะว่าเราไม่อยากสปอยล์เขาด้วยวัตถุ
กลายเป็นว่าลูกเราจะมีความอดทนรอคอย เขาจะได้อะไรก็ต่อเมื่อวันเกิดเขา หรือปีใหม่ หรือเขาได้อะไรจากรางวัลที่โรงเรียน เรียนเก่งหรือทำอะไร เขาก็จะได้แบบนั้น
ลูกๆ ก็จะน้อยใจ มีช่วงหนึ่งเขาถามว่า คุณแม่บ้านเราจนมากมั้ย ทำไมเพื่อนเขามีทุกอย่าง มีเกมอันนู้นอันนี้ ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจะเห็นเพื่อนมาโชว์ รองเท้าเปลี่ยนมาแล้วไม่รู้กี่รุ่น แต่ลูกยังใส่อันเดิมขาดอยู่เลย
เราก็บอกเขาว่า ลูกยังหาเงินไม่ได้ ลูกรู้มั้ยว่าของที่ลูกอยากได้แต่ละอย่างสมมติว่าอันนี้ 1 หมื่นบาท แม่ต้องขายฮาริสกี่ขวดกว่าจะซื้อมาได้อันนี้ให้ลูก แล้วลูกรู้มั้ยว่าแม่ซื้ออันนี้ให้ลูกแล้ว และถ้าแม่ขายของไม่ได้ แม่ต้องอดข้าวนะ ให้เขาเห็นถึงความยากลำบาก
เพราะว่าลูกอยู่โรงเรียนอินเตอร์ทุกคนรวยหมด ไม่มีใครไม่รวย โรงเรียนนั้นเพื่อนเขาจะมีทุกอย่างที่แพงขนาดไหนก็มี เขาไปบ้านเพื่อนใหญ่มาก มีสระว่ายน้ำ มีของเล่นเยอะมาก เขาก็มองว่าทำไมเขาไม่มี
นี่แหละลูกในวันที่หนูไม่มี หนูอยู่กับมันได้ ลองเพื่อนหนูไม่มีของพวกนี้เขาอาจจะอยู่ไม่ได้เลยในชีวิต เพราะฉะนั้นฮาน่าคิดว่าภูมิคุ้มกันในชีวิตเขาเยอะมาก เขาสามารถจะอยู่ได้โดยที่ไม่มีอะไรพวกนี้
ลูกฮาน่าเล่นกับต้นไม้ ใบไม้ได้ แต่เด็กในยุคนี้อาจจะเล่นไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าอยากให้เขาอดทน อยากให้เขารอคอยได้ เหมือนให้เขารู้ว่าทำอะไรถึงได้มา โตขึ้นต้องทำงานถึงจะได้เงินแล้วถึงจะเอาไปซื้ออะไรได้”
ฮิวโก้ คุณพ่อจอมเฮี้ยบ
เวลาที่ลูกมีคำถามว่าบ้านเราจนเหรอ ฮิวโก้และฮาน่า มีวิธีรับมือและจัดการกับมันอย่างไร งานนี้ฮาน่ารีบพูดถึงความเฮี้ยบของสามีให้เราฟังทันทีว่า
“ฮิวโก้เลยค่ะ เขาเฮี้ยบยิ่งกว่าฮาน่าอีก เรายังมีใจอ่อนซื้อให้ลูกแต่เขานี่ไม่เลย ทำไมต้องได้ ทำอะไรเหรอถึงให้ เพราะตอนเด็กๆ เขายังไม่เห็นต้องได้อะไรแบบนี้เลย ในบทบาทความเป็นพ่อเขาโหดกว่าฮาน่าเยอะเลย
เมื่อก่อนฮาน่าคิดว่าเป็นแม่ที่ใจร้ายนะ จะดุลูก เป็นคนเข้มงวด แต่กลายเป็นว่าเขาเป็นคนเข้มงวดเป็นคนมีระเบียบมาก เขาอยากให้ลูกมีระเบียบ เช่น ไม่เดินกิน ถ้ากินต้องมานั่งบนโต๊ะ ไม่เดินป้อนตั้งแต่เด็ก ถ้านั่งรถต้องนั่งคาร์ซีต เขาเป็นคนเน้นเรื่องมารยาทต้องสวัสดี
แต่เราคิดว่ามันดี เพราะลูกเราไปไหนใครก็ชม มันเป็นความภูมิใจจากที่เราเห็นเด็กบางคนไม่เคยยกมือไหว้เราเลย ทำไมพ่อแม่สอนมายังไง คือมันส่งไปถึงพ่อแม่ ทุกครั้งที่เราไปรับลูกบ้านเพื่อน ยายจะมาชมว่าทำไมฮาร์เปอร์เป็นเด็กน่ารักจังเลย มารยาทดีมาก
มันกลายเป็นว่านี่แหละที่เราเคี่ยวเข็ญกับเขา แต่ถ้าไปเจอแล้วไม่ไหว้มันเป็นเรื่องมหากาพย์ของบ้านเลยนะ กลับบ้านต้องโดนอบรมชุดใหญ่ การที่เราต้องเคี่ยวเข็ญกับลูกปากเปียกปากแฉะมันเหนื่อยตรงนี้แหละ เหนื่อยกับการที่อยากให้เขาได้ดีในวันข้างหน้า ให้คนที่เจอเขารู้สึกว่าใช้ได้ ไม่เหมือนเด็กทั่วไป (ยิ้ม)”
บทบาทการเป็นนักธุรกิจ
นอกจากจะเป็นภรรยาและแม่ให้กับลูกๆ แล้ว งานนี้ ฮาน่า ทัศนาวลัย ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่เธอต้องทำ นั่นก็คือ การเป็นเจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม งานนี้เราเลยให้ ฮาน่า พูดถึงการเป็นนักธุรกิจของเธอหน่อย ซึ่งฮาน่าเล่าให้เราฟังว่า
“ตอนแรกๆ ฮิวโก้ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาทำธุรกิจ เพราะเขาถามฮาน่าว่าเธอไม่มีเงินใช้เหรอ เขารู้สึกว่าต้องทำให้เมียลำบากรึเปล่า ต้องมาทำงาน เขาอยากให้เราอยู่บ้านเลี้ยงลูกเป็นแม่บ้าน ไม่อยากให้ทำงาน อยากให้เลิกเล่นละครเพราะต้องเดินทางไปนู่นไปนี่
เราก็บอกว่าเขาว่ามันเป็นความชอบของเรา ยิ่งปัญหาเรื่องผมมันเล่นกับความเจ็บปวดของคน ถ้าคนที่มีปัญหาเรื่องนี้เขายิ่งทุกข์ใจกับมัน เมื่อก่อนตอนที่ฮาน่าผมร่วงเยอะๆ หน้าผากเถิกมากๆ เราใส่หมวกตลอดเลย
เราเลยคิดจะทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม อยากจะทำแต่ของดีจริงๆ เราต้องทำเองจะได้ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดต่างๆ แล้วมันก็ดีสำหรับเราด้วย วันหนึ่งอยู่แต่บ้านมันก็เฉาไป
พอได้ทำงานทำธุรกิจก็ช่วยให้เราพัฒนาตัวเอง ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ผมมีเยอะมาก กลายเป็นว่าต้องแข่งขันกันก็เลยเครียด ต้องรับบทบาทแม่ ครูสอนหนังสือลูก เป็นเมีย ทำทุกอย่าง กลายเป็นว่าเราต้องเหนื่อยขึ้นนิดหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรพอมันอยู่ตัวแล้ว เราเชื่อว่ามันไปได้ของมันเอง เพราะทุกวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 4 อย่างไม่รู้ตัว
แต่ด้วยความที่เราไม่ได้โปรโมตสินค้าเพราะทำด้วยใจ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจทำมากๆ เหมือนให้บอกต่อมากกว่า ก่อนจะมีผลิตภัณฑ์ตัวนี้ เรารีเสิร์ช ทดลองอยู่ 2 ปีเต็ม ลองผิดลองถูกเจ็บมาเยอะจนได้มาเป็นตัว Hairitz ตัวนี้ และเรานำเข้าสารสกัดมา เราใช้ของดีมาก
เราคิดว่าเรามีความสุข ไม่ได้คิดว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราทำมาจากปัญหาที่เราประสบเอง เพราะยิ่งเครียดยิ่งร่วง และเราไม่อยากหัวล้าน การมีผมเยอะมันบ่งบอกถึงความเด็ก ความสาว ความสวย ความหนุ่ม เพราะฉะนั้นเราจึงทำด้วยความรัก
และขอบอกเลยว่าธุรกิจไม่อยากมาเอาเงิน ได้โกยเงินร้อยล้านเสร็จแล้วหายไป คนตอบผลลัพธ์กลับมาว่าใช้แล้วดีขึ้น มันเป็นความสุขมากกว่าที่เราจะได้เงินอีก เหมือนเป็นการทำกุศล เพราะว่าเราเคยมีปัญหานั้นมาแล้ว เราขอเน้นเลยว่าของดีมันไม่มีวันตาย เราคิดว่าเราต้องซื่อสัตย์”
ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : phantira thongcherd