ขอพักใจอยู่กับ "งาน" เยียวยาความเหงา!!

ถึงเป็นงานยากแต่ท้าทาย เมื่อพระเอกหนุ่ม ตูมตาม–ยุทธนา เปื้องกลาง ถ่ายทอดวัฒนธรรม “อีสาน” ละคร “ดอกคูนเสียงแคน” ทางช่อง GMM25 ประกบ นางเอกสาว ลูกน้ำ–ทิดาลัด ร่วมงานเรื่องแรกก็ตกปม “รักซ้อน” จนฝ่ายหญิงถูกมองเป็นมือที่ 3 งานนี้ ตูมตาม ยืนยันเลิกกับ ญิ๋งญิ๋ง ก่อนเดินหน้าสานสัมพันธ์รักกับ “ลูกน้ำ” แต่ไม่ได้ไปต่อขอกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ใน “คนดังนั่งคุย”

“กับละครเรื่องนี้ คาแรกเตอร์คือเป็นพี่ใหญ่สุดในบ้านของ ตรี พิณแคน แดนอีสาน ก็เป็นคนที่อุปนิสัยหัวรุนแรง เป็นคนที่ชอบเตะต่อย และชอบใช้กำลังมากๆ ดูแลปกป้องทุกคนในบ้าน เป็นคนที่โตที่สุดในบ้าน ในยุคนั้นคือเราจะต้องคอยดูแลทุกคนในบ้าน”

ต้องพูดอีสานทั้งเรื่องเข้าทางเราเลยสิ

“ผมเป็นคนอีสานอยู่แล้ว สำเนียงก็ไม่ต้องปรับอะไรเพราะสำเนียงของผมเป็นสำเนียงอีสานบ้านนอก ที่ใช้ในการดำเนินชีวิต มันก็เลยง่าย จริงๆปีนี้ทั้งปี ผมเล่นละครที่ใช้ภาษาอีสานเยอะมาก ดันเป็นปีที่ละครอีสาน มีกี่เรื่องๆก็ติดต่อมาทางผมแทบจะหมดเลยครับ”

โลโก้พระเอกอีสาน

“(หัวเราะ) น่าจะมาทางนี้ล่ะครับ คือกลายเป็นว่าเราจองเส้นนี้ไว้แล้ว คือถ้าละครอีสาน แล้วแบบพี่โตโน่ไม่ว่าง หรืออะไรก็ตาม ก็จะมาทางผมอยู่แล้วครับ”

บทดราม่าในเรื่องนี้หนักหน่วงขนาดไหน

“บทดราม่าเป็นบทที่ผมค่อนข้างถนัด เพราะชีวิตเราตั้งแต่เด็กจนโต ถือว่าเราเป็นคนใช้ชีวิตที่แบบว่าจริงจังมาตลอด ทำงานดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นเหมือนเพื่อนๆ เขา ก็เลยทำให้เราเข้าใจมูสของชีวิตหนักๆ ได้ดีกว่า ชีวิตที่ร่าเริงเกินไป”

...

หลังๆนี่จะเห็นมุมตูมตาม เชิญยิ้ม อยู่ในตัวนะ

“คืออันนี้มันเป็นการโตขึ้นของตัวผมเองด้วย ตอนนี้ก็จะ 30 อยู่แล้ว พอมาถึงจุดนี้ก็เหมือนกับเรากว้างขวางขึ้น ในเชิงของการรู้จักคน ความรู้สึกไม่ได้จะปิดตัวเองอีก คือใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เราจะรู้สึกว่าสิ่งดีๆในงานมันมี ความสนุกในงานมันมีอยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติตัวยังไง”

อยู่ในกองไปปล่อยมุกใส่เขาขนาดไหน

“โอ้โห เละเทะ เฮฮามาก มุกผม สองบาท สามบาทเอง คือเล่นกับทุกคนในกอง ผมสนิทตั้งแต่แม่บ้าน แม่ครัว คนยกไฟ ผมนับถือทุกคนและรู้สึกว่าทุกคนเหมือนคนในครอบครัว มันเลยสนุกมาก บางวันผมขี้เกียจ แกล้ง คือเดินเข้าไปนิ่งๆ ก็ยังมีคนมาแกล้งผม ผมรู้สึกว่าผมทำสำเร็จในการปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่มีพลังบวกมากขึ้น อยู่กับใครก็แฮปปี้มีความสุขได้”

>> อ่านเรื่องย่อนิยายทุกเรื่อง คลิกที่นี่ <<

เรื่องเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ เริ่มตั้งแต่ช่วงไหน

“จริงๆคือมันเริ่มต้น เริ่มพัฒนา จุด แตกโพละ ออกมาจากไข่ ทางปัญญา ทางความคิด เริ่มมา 5 ปีละ เกิดจากการที่เราใช้ชีวิตผิดลู่ทาง แล้วก็รู้สึก คือเหมือนเราใช้ชีวิตตามกระแสสังคม เราใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่นมากเกินไป เราใช้ชีวิตแบบระมัดระวังตัวมากจนเกินไป จนมันไม่มีความสุขเลย แล้ววันนึงผมก็รู้สึกว่า เรากลัวอะไรวะ เราเจออะไร ทำไมต้องคิดแบบนี้ เริ่มค่อยๆเรียนรู้ จนมันแตกโพละ ออกมาว่า ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย อันดับแรกคือ เริ่มจากความเห็นแก่ตัวอะไรบางอย่าง เห็นแก่ตัวในที่นี้หมายถึงว่า เรานึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงความสุขแต่ตัวเอง นึกถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเอง จนมันทำให้เราปิดกั้นตัวเองไปหมด จนวันนึงเรามาเช็กตัวเองว่า ทำไม หาเหตุผลว่าทำไมเราถึงกลัว ทำไมเราถึงรักตัวเองมากเกินไป แล้วก็ อ๋อ...เพราะว่าเราไม่รู้จักตัวเอง การไม่รู้จักตัวเองหมายถึงว่า เราไม่รู้เลยว่า โพสิชันที่เราเป็นอยู่ มันโอเคแล้ว เราไม่รู้เลยว่าชีวิตของเราที่เป็นอยู่พ่อแม่ก็มีอยู่ เสื้อผ้าก็มีใส่ การงานก็ดี เพื่อนฝูงก็มี คือชีวิตน่าอิจฉาจะตาย แล้วทำไมต้องใช้ชีวิตให้มันยากกว่าเดิมอะไรแบบนี้”

เพราะทุกคนเรียกเราว่าซุป’ตาร์ ด้วยหรือเปล่า

“มันทำให้เราหลงผิด โชคดีที่ผมเรียนรู้จากตรงนั้นได้เร็วมาก คือแบบอารมณ์ เราไม่มีความสุข แล้วเราก็พยายามหาคำตอบมัน พอตั้งคำถามก็ได้คำตอบ พอเราผ่านจุดนั้นมาจริงๆ ทุกวันนี้เหมือนเราไม่มีตัวตนละ ไม่สนใจแล้วว่า ความเป็นดาราคืออะไร ตูมตามเป็นใคร รู้สึกแค่ว่า ผมอยากเดินออกไปจากบ้าน อยากทำอะไรก็ได้ในชีวิต มันมีความสุขทุกๆโมเมนต์ที่เราอยากได้ทำ”

ไม่ใช่ว่าชื่อเสียงเราเริ่มแผ่ว แล้วก็เลยทำให้มีความคิดแบบนี้

...

“ไม่เกี่ยวครับ ผมไม่เคยรู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมดัง ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ แต่พอเราหันมามองอีกทีสิ่งที่ผมรู้ตัวอยู่เสมอคือ ผมเป็นคนทำงานคนนึง ไม่เคยหยุดทำงาน ตั้งแต่เข้าวงการมา ดังไม่ดัง ผมก็ไม่ได้สนใจมันด้วย”

ร่วมงานกับลูกน้ำด้วยกันเรื่องแรกก็ตกเป็นข่าวด้วยกัน

“ตอนนี้เราคือเป็นพี่น้องกันครับ เราเริ่มต้นจากการเป็นพี่น้องกัน แต่มันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่เราเริ่มปรึกษาปัญหาต่างๆด้วยกัน คอยช่วยเหลือกันตลอดแบบนี้ มันเลยเริ่มใกล้ชิดสนิทกันมากขึ้น จริงๆเราสนิทกันและเริ่มที่จะใกล้ชิดกันมากกว่าพี่น้อง แค่ 2 สัปดาห์เอง คือผมอยากอธิบายก่อนว่า น้องเป็นคนที่คิดดีอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้อยากทำอะไรให้มันผิด ผมก็เลยบอกน้องว่า เราตกลง คุยกันว่าทิศทางที่เราจะคบกัน เรากลับมาเป็นพี่น้องกันแบบเดิมนะ รู้สึกว่ามันยืนยาวกว่า”

กับคนรักเก่า ตูมตามจะบอกว่าเราได้เลิกก่อนมาคบกับลูกน้ำ

“คือเราไม่ได้คบซ้อน เพียงแต่แค่จังหวะมันใกล้ จนอาจจะเข้าใจผิดได้”

สองคนคือเหมือนกับคุยกันแล้วไม่คลิกถึงถอย

“ไม่ใช่ไม่คลิกครับ แต่เป็นเพราะเราเห็นตรงกันในเรื่องของความยั่งยืนในการคบกัน มันน่าจะสำคัญกว่าความสัมพันธ์ ไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้ เป็นพี่เป็นน้องกันก็โอเคอยู่แล้ว คุยกันตรงๆ น้องก็ใช้ชีวิตของน้องในพาร์ตส่วนตัว ผมก็ใช้ชีวิตของผมไป เพียงแต่พวกเราทุกคนก็ยังเป็นครอบครัว เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”

ความรักของตัวเองตอนนี้ล่ะยังไง

“ตอนนี้ยังไม่มีใครนะครับ เอาจริงๆมันยังไม่พร้อม เพราะว่ามันเหนื่อยเหลือเกินกับความรักครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่เหนื่อยเพราะคนอื่นนะครับ แต่เหนื่อยเพราะตัวเองที่ปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตผิด เลือกทางที่จะยอมให้สิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่เราฝืนทำอะไรแบบนี้ หลายๆอย่าง ผมก็เลยรู้สึกว่า พอเถอะ พักผ่อนก่อน เอาให้ชัวร์จริงๆ วันนึงถ้าพร้อมแล้วจริงๆ ค่อยเริ่มคบใครจริงจัง พอเราโสดแล้วเป็นประโยชน์จังเลย ผมมีเวลามากขึ้นได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกอย่าง ผมทำรายการอาหาร ชื่อรายการคนคลุก และทำรายการจัสคลู รายการท่องเที่ยว ผมยังมีโอกาสได้ทำโครงการแชร์ลิตี้ต่างๆ เป็นแบบให้กำลังใจคน ในเรื่องของทัศนสถาน ซึ่งผมก็ทำทุกเดือน คือมีแพลนทุกเดือน ผมต้องขอบคุณทีม กู้ดบอย ของโกบอย ที่เขามารู้จักกัน และได้สร้างสังคมในแบบยูทูบแชนแนลอะไรแบบนี้ ได้ออกไปทำกิจกรรมดีๆ”

...

เรียกว่า 3-4 เดือนที่โสดก็ไม่เหงา

“ไม่เหงาครับ เพราะมีกิจกรรมเยอะมาก ผมว่าเรื่องดีๆ ที่มันเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงที่มีแฟน มีอะไรแบบนี้ มันก็ถูกพักไว้ตรงนั้น ผมไม่เคยไปมองว่ามันเลวร้ายนะครับ รูปในอินสตาแกรม ของทั้งญิ๋งญิ๋ง ของผม ก็ยังอยู่ แต่ไม่ได้ฟอลโลนะครับ เพราะมันเป็นชีวิตใหม่ของเขา แต่ที่ผมมี ผมก็ยังเปิดดู ยังยิ้ม ยังมีความสุข กับทุกอย่างที่ผ่านมาเพราะผมรู้สึกว่ามันก็คือความทรงจำที่ดี ผมไม่ได้เด็กขนาดนั้น ที่จะแบบเกรี้ยวกราด แล้วแบบล้างทุกอย่างทิ้ง คือสิ่งที่ดี ก็คือสิ่งที่ดีครับ”

ถ้ายังมีโอกาสเจอหน้าญิ๋งญิ๋งสามารถร่วมงานกันได้มั้ย

“ผมยินดีครับ อันดับแรกคือถ้าผมทำอะไรผิดกับเขา ผมอาจจะไม่สามารถไปต่อกับเขาได้ หรืออะไรต่างๆนานา ถ้าสิ่งไหนคือสิ่งผิด ผมก็ยินดีขอโทษนะครับ ผมก็ยินดีที่จะ...คือผมไม่อยากโทษใครเลยล่ะ คือสุดท้ายผมก็มาโทษตัวเองอยู่ดี คือเราเลือกเอง เราปฏิบัติเอง”

อย่างคนจะมองว่าที่ต้องเลิกกัน เป็นเพราะเราเจ้าชู้

...

“ผมเจ้าชู้ครับ แต่การเจ้าชู้ของผมไม่ได้ไปทำใครท้องขนาดนั้น ผมแค่ใช้ชีวิต ผมรู้จักด้วยการใจแลกใจ เราไม่ได้คุยกันแบบชู้สาว บางทีผมไปเจอผู้หญิงสักคนนึงในชีวิต อยู่ดีๆ ที่ผ่านเข้ามาแล้วมารู้จักกัน มันไม่ได้หมายความว่า ผมคิดแต่เรื่องบนเตียงนะ ผมรู้สึกว่า มันเป็นกัลยาณมิตรกันได้ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตอะไรต่างๆ นานา ผมไม่ได้เป็นคนที่แบบ โอ้โห! เจอใครก็...”

อายุจะเข้าเลข 3 แล้ว เริ่มมองในเรื่องของครอบครัวบ้างหรือยัง

“จริงๆผมมองมาทุกรอบ ตั้งแต่มีแฟนนะ ตั้งใจมาก แต่มันก็มีปัจจัยหลายอย่าง คือการมองเนี่ยแน่นอนว่ามันก็มีเป้าหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเหตุผลที่จะซัพพอร์ตไปให้ถึงวันนั้นมันคืออะไร ถ้าเกิดว่าเราเห็นชัดว่าเราไม่ไหว มันอาจจะยากไป ผมก็หยุดดีกว่า คือเราไม่ได้เลือกมากนะ เพียงแต่ว่าเราอยากเลือกเพราะอย่างน้อยๆ คนที่จะอยู่กับเราตลอดไป ได้ครึ่งนึงของแม่เราก็พอแล้วอะครับ”

ต้องแบบไหนถึงจะอยู่กับเรารอด

“คือ หนึ่งต้องมีความเข้าใจ ต้องมีความเป็นไม่รู้สิ แบบแม่ผม ก็ไม่ขี้บ่นนะ ต้องเป็นผู้หญิงที่ดูแลเราได้ ในความหมายที่ไม่ใช่แบบมาโอบอุ้มดูแลนะ แต่เป็นในพาร์ตของผู้หญิงที่เขาจะต้องดูแลผู้ชาย ซัพพอร์ตได้ แบบทำงานเหนื่อยกลับไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเหนื่อยซ้ำ บ้านคือบ้าน พักผ่อนผมกลับรู้สึกว่ามันต้องเป็นแบบนั้นมากกว่าไหม เพราะว่าเราทำงานเราก็เจอเรื่องหนักมาอยู่แล้ว แล้วกลับบ้านมายังต้องมาทะเลาะกันเหรอ กลับมายังต้องมาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอไม่เข้าใจอย่างนั้นน่ะเหรอ ผมว่ามันเหนื่อยไปไหม ถ้ามีอย่างนั้นไม่ต้องมีก็ได้ ผมกลับไปอยู่คนเดียว ผมไม่ต้องไปทะเลาะกับใครเพิ่ม ก็นอนคนเดียว อาบน้ำ พักผ่อนไป ผมว่ามันไม่มีเวลาแล้ว ที่จะมาทำชีวิตให้ยากขนาดนั้น ยิ่งอายุเยอะขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าพอเถอะ กับเรื่องที่วุ่นวายโดยไม่มีเหตุผลอะไรอย่างนั้น”

เส้นทางชีวิตของตูมตาม 8 ปีชีวิตได้เรียนรู้อะไรบ้าง

“โอ๊ย...เมามันมาก เป็น 8 ปี ที่โคตรจะได้เรียนรู้ชีวิตเลยครับ เราไปสุดในทุกทางมากเลย เคยเกเรสุดโต่ง อยากใช้เงินก็ใช้ เคยไม่มีสติ เคยดื้อ เคยซนเรื่องผู้หญิง มากมายหลายอย่าง ตังค์ไม่มีก็เคย เคยล้มลุกคลุกคลานมาเยอะมาก แต่ทุกอย่างมันสอนเรานะครับ ผมรู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่ลึกๆ แล้ว เราไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น มันก็เลยดึงตัวเอง คอยแก้ไขสิ่งที่ผิด ในทุกครั้งที่พลาด”.

ทีมข่าวบันเทิง