เรียกว่าเป็นข่าวดีของนักแสดงรุ่นใหญ่ มอริส เค เอามากๆ ที่เจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ข้อความว่าเจอตัวพ่อแล้ว หลังจากตามหาและรอคอยมานานกว่า 54 ปี ล่าสุด มอริส เค มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่อง ONE31
ดีใจด้วยที่วันนี้เจอคุณพ่อแล้ว แต่เห็นว่าได้เจอพี่น้องร่วมสายเลือดด้วย?
"ญาติมาเป็นกระบุงเลย ผมยังตื่นเต้นไม่หายจนถึงเวลานี้ ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่คุยถึงเขา"
ทำไมชีวิตนี้ถึงมุ่งมั่นที่จะเจอพ่อให้ได้?
"พี่ล้มความมุ่งมั่นที่จะเจอพ่อไปหลายรอบแล้ว เพราะพี่ไม่รู้เลยว่าพ่อชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไง พอพี่เริ่มมีชื่อเสียงหลายคนต้องการช่วยเหลือตามหาพ่อ เพราะเขารู้ว่าเราขาดสิ่งนี้ แล้วการที่เราจะเดินไปสถานทูตไปตรวจสอบว่าใครเป็นพ่อมันทำไม่ได้
จนเรามีความรู้สึกว่าอยากเจอมาก แต่สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะได้เจอ คือเราขอกับพระเจ้าที่เราเชื่อ เราขอมาตลอดเป็นเวลานานมาก ตอนแรกแม่ก็ไม่เจอ พ่อไม่เจอ แต่พระเจ้าให้เจอแม่ก่อน แต่ก่อนจะเจอใช้เวลาเกือบ 20 ปี"
...
ข้อมูลที่พี่ได้มาคือคุณพ่อเป็นทหาร เป็นชาวอเมริกัน แต่ไม่มีชื่อ พี่ได้ข้อมูลนี้มาจากใคร?
"คุณแม่ ตอนแรกเรามโนไปเองว่าพ่อเราน่าจะเป็นชาวฝรั่งเศสหรืออะไร ตอนนั้นยังไม่ได้เจอแม่นะ เราก็คิดว่าพ่อเราคงเป็นชาวผิวสีที่ฝรั่งเศส อิตาลี แต่วันที่เจอแม่ ถามแม่ แม่บอก เราก็โอเค แต่ทำไมแม่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย แม่บอกว่า เนื่องจากแม่ยากจนต้องย้ายที่อยู่บ่อยแม่ไม่สามารถเก็บหลักฐานอะไรได้มาก สิ่งเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป"
จนวันนึงมีเพื่อนมาแนะนำว่าให้ตรวจ DNA ?
"ใช่ ซึ่งการตรวจก็ไม่มีอะไรมาก เอาแค่ชุดตรวจของเขามา เสร็จแล้วในชุดตรวจนั้นจะมีหลอดเหมือนหลอดวิทยาศาสตร์ คุณตื่นเช้ามาไม่ต้องล้างหน้า แปรงฟัน คุณบ้วนน้ำลายลงไปในนั้น แล้วคุณก็ปิดฝาส่งไปอเมริกา คือก่อนหน้านี้เพื่อนเขาทำแบบนี้แล้วเขาเจอ นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้เรา"
แล้วผลตรวจออกมายังไงบ้าง?
"ผลตรวจคือเจอญาติประมาณ 30 กว่าคน เราก็เลยเริ่มตามจากคนที่ใกล้ชิดที่สุด ก็คือ ญาติอันดับ 1 ซึ่งเราก็เขียนจดหมายไปคุยกับเขา ตรงนี้ผมก็เลยได้ตัวนางฟ้ามาช่วยผม คือ คุณบี ผมหน้าตาแบบนี้คุณพ่อให้เชื้อ แต่ไม่ได้ให้ภาษา
ฉะนั้นการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากเขา ผมไม่มีปัญญา ผมให้คุณบีเขียนให้ แต่ฟีดแบ็กจากญาติคนที่ 1 เขาไม่ไว้วางใจเรา แล้วเขาก็มองวว่าเราต้องการอะไรที่มาทำแบบนี้ ผมรู้ว่าผมมีญาติตั้งแต่เดือนมีนา แต่กว่าญาติจะตอบจดหมายอีก 2 เดือนถัดมา แต่คนที่ช่วยสานต่อให้เราก็คือ คุณธัญญ่า"
แล้วพอมีญาติประสานให้แล้วอะไรที่ทำให้มั่นใจว่านี่คือพ่อของเราจริงๆ?
"ผมไม่รู้หรอกว่าใช่ แต่รู้อยู่อย่างเดียววันแรกที่เรามองหน้ากันผ่านโทรศัพท์พ่อพูดไม่เยอะ แต่พ่อมองหน้าผมตลอด ความสัมพันธ์ที่เรามองตากัน แล้วเรารู้สึกอิ่ม รู้สึกฟูอยู่ในใจ"
ได้พูดอะไรกันบ้าง?
"คือการเจอพ่อผมตั้งปณิธานไว้หนึ่งอย่าง ผมจะไม่ทำอะไรให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ผมเอาวันนี้ ผมปล่อยให้ทุกอย่างในอดีตผ่านไป และวันเสาร์นี้เราจะนัดรวมญาติกันผ่านโทรศัพท์"
...
เราจะมีตรวจ DNA อีกครั้งไหม?
"คือพ่อเขียนมาในจดหมายว่าฉันไม่สนใจ เพราะฉันรู้แน่ว่ายูคือลูกฉัน เราก็ถามว่าทำไมมั่นใจ เขาก็บอกว่า หน้าผมเหมือนเขาตอนวัยเท่านี้ แต่เราก็บอกว่าเพื่อความสบายใจและพี่น้องทุกคนหายข้องใจตรวจเถอะ เขาก็ตรวจ รอผลอีกประมาณเดือนนึง"
ถ้าเกิดตรวจแล้วผลมัน…ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน?
"ก็ยอมรับนะ อาจจะต้องช็อก แต่พี่มั่นใจในผลตรวจตรงนี้ เขาเจอหน้าแม่เขาจำได้"
วัยเด็กพอพี่เกิดมาปุ๊บ คุณแม่ส่งไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์เลย?
"คุณแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ เนื่องจากยากจนมาก แล้วพี่เกิดจากคนต่างชาติคนนึงแล้วแม่ก็เลยไม่สามารถอยู่ในครอบครัวได้ เพราะเราแตกต่าง"
วันที่เจอแม่ได้ถามไหมว่าทำไมให้อยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์?
"ท่านยอมรับว่าท่านกลัวครอบครัวใหม่จะรับท่านไม่ได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกเสียใจนะ แต่นั่นคือเรื่องที่ผ่านมาได้"
ย้อนไป 50 ปี เรื่องการเหยียดสีผิวในกลุ่มเด็กด้วยกัน มันเป็นเรื่องประหลาด?
"เหมือนตัวประหลาดเลย ตอนแรกเราจะเดินหนี แต่ครั้งที่สองเราหนีไม่ได้เราต้องไฟต์ เพราะเราจะโดนครอบครัวที่มีปัญหาเล่นเรา เพราะเราไม่มีใคร คือเวลาเรามีปัญหาที่โรงเรียน เราโดนที่โรงเรียนตีแล้ว เรากลับมาโดนที่บ้านกระทืบไม่มีใครอยู่ข้างๆ เราเลย พูดง่ายๆ คือเลี้ยงเหมือนคนรับใช้ในบ้าน แต่ดีหน่อยได้เรียนหนังสือ"
...
เก็บกดจนไปโรงเรียนใครมารังแกเรา เราก็สู้?
"เพราะเราพยายามเดินหนีแล้ว แต่ไม่เลิก เราก็เลยต้องทำตัวเลวเพื่อไม่ให้เขามายุ่งกับเรา"
ล้ออะไรที่รับไม่ได้?
"เรื่องลูกไม่มีพ่อนี่แหละ แล้ววันแรกที่เจอพ่อ ผมโพสต์เลยผมมีพ่อเป็นของผมแล้วครับ"
แล้วใครใช้ประโยคนี้ว่า เลว เพราะผิวดำ?
"ตอนนั้นเรามีปัญหาที่โรงเรียน ผมทำร้ายเพื่อนหนักมาก แล้วคุณครูก็โกรธมาก เพราะผมมีเรื่องกับเพื่อนๆ บ่อยมาก คุณครูก็เลยว่าผม เขาโกรธมาก เขาบอกว่า มันเลวอย่างนี้มันเป็นพันธุกรรม
คือมันเป็นคำที่คุณครูโกรธ มันเป็นคำที่ฝังอยู่ในใจเรา ตอนนั้นประมาณ ป.5 ป.6 เราไม่รู้ว่าพันธุกรรมมันคืออะไร แต่เรารู้สึกเจ็บปวดมาก เขาไม่ได้ถามหรือคิดสักนิดเหรอว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เจออยู่"
โดนทั้งโรงเรียน ที่บ้าน ไม่เคยคิดหนีออกจากบ้านเลยเหรอ?
"หนีบ่อยมาก แต่ไม่รอด ตอนที่ผมโดนเอามือมัดกับขื่อแล้วโดนตีด้วยไม้ไผ่ ผมแกะเชือกออกได้ ผมวิ่งออกจากบ้านประมาณครึ่งกิโล แล้วผมไปตั้งสติอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านแล้วผมก็คิดว่าจะทำยังไงดี ในที่สุดผมก็ต้องกลับมา เพราะผมไม่รู้จะนอนที่ไหน ผมกลับมาแล้วผมก็โดนหนักกว่าเดิมทุกครั้ง ซึ่งที่เขาทำไปเขาบอกว่าเขาสอนเรา
...
แต่ถ้าเขาสอนลูกหลานเขา เขาจะใช้เหตุผลนำ แต่เราเขาจะใช้อารมณ์นำ ถามว่าแค้นไหม มันเป็นความเจ็บปวดและความโกรธอยู่ข้างในว่าเห็นเราเป็นอะไร พี่บอกตัวเองเสมอว่าเราโตได้ทุกวันนี้เขาก็ทำให้เรามีข้าวกิน ได้เรียนหนังสือถึงแม้แค่ ป.6 แต่เราก็โตขึ้นมาได้ ถึงเขาทำร้ายยังไงพี่ก็ไม่เคยขาหัก เต็มที่ก็แค่เย็บหัวแตกนิดหน่อย".