เรียกว่าเป็นวันที่แฟนๆ หลายคนรอคอยมานานถึง 7 ปีเต็ม สำหรับการกลับมาอีกครั้งของ แคลช (Clash) วงร็อกชื่อดังที่มีเอกลักษณ์ทั้งเสียงร้องและดนตรี หลังจากที่ทั้ง 5 หนุ่ม แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์ (ร้องนำ), พล คชภัค ผลธนโชติ (กีตาร์), แฮ็ค ฐาปนา ณ บางช้าง (กีตาร์), สุ่ม สุกฤษณ์ ศรีเปารยะ (เบส), ยักษ์ อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์ (กลอง) ตัดสินใจยุบวงและแยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง

จนวันนี้พวกเขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง “Clash Awake Concert” ในวันที่ 15 ก.ย. 2561 ณ ไบเทคบางนา ฮอลล์ 98 หลายคนก็คงจะสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจกลับมาอีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้จะมีความพิเศษยังไงบ้าง และ 7 ปีที่ผ่านมาชีวิตของแต่ละคนเป็นอย่างไร “บันเทิงไทยรัฐออนไลน์” ชวนทั้ง 5 หนุ่มมาพูดคุยกันแบบเต็มๆ

พูดถึงคอนเสิร์ตใหญ่ หลังจากไม่ได้รวมตัวกันมานาน 7 ปี?
สุ่ม : สาเหตุที่ตัดสินใจรวมตัวอีกรอบ คือเราได้คุยๆ กันบ้างครับ ก่อนหน้านี้เราก็มีเจอกันบ้างอยู่แล้ว ไม่ได้ห่างจนไม่ได้เจอกัน ยังมีมาช่วยงานกันบ้าง มีการพูดคุยกันว่าน่าจะกลับมาเล่นดนตรีด้วยกัน

...

จริงๆ เหมือนเราอยากมาเล่นดนตรีก่อน ยังไม่ได้มองว่ากลับมาทำคอนเสิร์ตใหญ่กันเถอะ เพราะเราเล่นดนตรีด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เราก็อยากกลับมาเล่นดนตรีด้วยกันก่อน ทีนี้มีช่วงนึงที่แบงค์เขาไปเล่นคอนเสิร์ตกับพี่แฮ็คที่ยุโรปครับ

แฮ็ค : ก็เลยรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว ความรู้สึกมันควรจะกลับมารวมตัวกันได้แล้ว พอคุยกับแบงค์เสร็จ ผมก็นำสาส์นนี้มาคุยกับเพื่อนๆ คือ พล สุ่ม ยักษ์ ก็เลยเห็นตรงกันว่ามันมีความรู้สึกอยากกลับมาเล่นดนตรีร่วมกันแล้ว ก็เลยเกิดคอนเสิร์ตนี้ขึ้นมา"

แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์
แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์

หลายคนก็รอคอยที่จะให้แคลชกลับมารวมตัวอีกครั้งมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา รู้สึกยังไงบ้าง?

แบงค์ : จริงๆ ผมว่ามันถึงวาระของมันแล้ว อย่างที่พี่แฮ็ค พี่พล พูด คือมันไม่ได้มีแผนว่าจะต้องกลับมาในปีที่ 7 คือมันเป็นสัญชาตญาณมากกว่า เรารู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเราแก่กว่านี้ กลับมาคงไม่สนุกแล้วนะ หรือถ้ามันเร็วกว่านี้คงไม่ใช่ ผมว่าเวลานี้มันเหมาะแล้ว

จริงๆ เราก็กลัวเหมือนกันว่าคนจะลืมแคลชรึเปล่า เพราะมันเป็นชื่อหนึ่งในชีวิตเรา และเรารู้สึกว่าเออ ที่ผ่านมาคนดูก็เรียกร้องมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะรวมตัวกันสักที ผมว่าตอนที่โปสเตอร์ถูกโปรโมตออกไป ทุกคนอาจจะไม่เชื่อว่าจริงหรือเปล่า แต่วันนี้จะมาบอกว่าเป็นเรื่องจริงครับ

ส่วนฟีดแบ็กที่กลับมาผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไร คือมันเลยจุดที่คาดหวังมาแล้ว เราให้สัมภาษณ์แบบนี้มาตั้งแต่อัลบั้มที่ 3 แล้วว่าไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราแค่รวมตัวแล้วกับแฟนๆ แล้วสนุกกันแค่นั้นเอง เพราะวันนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องพิสูจน์ด้วยยอดขาย การขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตเพลงของคลื่นวิทยุต่างๆ เดี๋ยวนี้มันวัดอะไรยาก ก็เดากันไม่ได้ ฉะนั้นเอาสนุก เอามันล้วนๆ ครับ

อันนี้ก็เป็นการรวมตัวอย่างเป็นทางการ ไม่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตโชว์ความฟิตแล้วหายไป เป็นการรวมตัวทำซิงเกิลอีกครั้ง เพลงใหม่ได้ฟังแน่นอน แต่ถามว่าเพลงใหม่อยู่ในคอนเสิร์ตไหม รอดูแล้วกันครับ

ในส่วนการเตรียมงานตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
แบงค์ : ก็อยู่ในกระบวนการพีอาร์ พอว่างเจอกันก็ซ้อม ซึ่งจะไปหนักช่วงเดือน ส.ค.ครับ เพราะอย่าง พี่ยักษ์ พี่สุ่ม ก็ไม่ได้ยืนเล่นยาวๆ 30 เพลงมานานแล้ว

ส่วนพี่แฮ็คกับผมก็ยังออนสเตจตลอดเวลา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องหยุดพักเพื่อทำแคลชเลยครับ เรื่องของโชว์ก็ค่อยๆ เรียบเรียงไปเรื่อยๆ ก็ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ครับ ทีนี้มันมีเรื่องของสคริปต์อีก กระบวนการมันเยอะ ที่จะเหนื่อยก็เป็นทีมงานที่จะเหนื่อยพอสมควร

พล คชภัค ผลธนโชติ
พล คชภัค ผลธนโชติ

...

 

แฮ็ค ฐาปนา ณ บางช้าง
แฮ็ค ฐาปนา ณ บางช้าง

7 ปีที่ผ่านมาต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ต่างจาก 7 ปีที่แล้วยังไงบ้าง?
แฮ็ค : ก็โสดเหมือนเดิมครับ โสดมา 3 ปีแล้ว (ยิ้ม) 7 ปีที่ผ่านมาก็ไปทำวง S.D.F ก็ตะลุยมาจนสร้างชื่อได้ในระดับนึงครับ และมาจนถึงกลับมารวมตัวกัน

ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมายกับการที่เราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ ได้พบเจอสิ่งที่แบบ...เออว่ะ ถ้าเราไม่เป็นแคลช เราก็มาเจออะไรที่ไม่เคยเจอเยอะเหมือนกันนะ มันก็จะได้เรียนรู้น่ะครับ ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีครับ

พล : จริงๆ จากจุดที่มันสูงๆ แล้วไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับการทำเบื้องหลังตั้งแต่โปรดิวซ์ จนมาทำค่ายเพลง ไปทำในสิ่งที่ตอนเป็นแคลชเราอาจจะไม่ต้องรู้หรือทำเลยก็ได้ แต่ว่าพอเราไปเริ่มตรงนั้นใหม่ ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนพนักงานออฟฟิศคนนึง

บางครั้งก็เอาเสื้อไปขายตามงานที่เป็นทาร์เก็ตของเรา เราก็พาศิลปินในค่ายเราไป ผมรู้สึกได้เรียนรู้ชีวิตอีกแบบนึง เราไม่ได้อยู่ข้างบนอย่างเดียว เรารู้จักที่จะเดินลงไปข้างล่าง บางคนเจอผมก็แปลกใจ คงเซอร์ไพรส์ว่าทำไมมาอยู่งานแบบนี้ ต้องออกมาทำแบบนี้ด้วยเหรอ

...

ผมรู้สึกว่าเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่สนุกมากเลยใน 7 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังอยู่ในวงการเพลงนะ ไม่ได้หายไปไหน แต่แค่ไปอยู่ในฝั่งที่เป็นอินดี้ครับ 7 ปีมันทำให้เราโตขึ้นเยอะ เห็นทั้งสองฟาก

เมื่อก่อนเห็นแค่ความเป็นศิลปินของเรา แต่ตอนนี้เราเห็นความเป็นทีมงาน คนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ คนที่เป็นแฟนเพลงอาจไม่เคยรู้เลยว่าวงหนึ่งวงมีทีมงานข้างหลังอีกเยอะมากครับ

ยักษ์ : ตอนนี้อาการป่วยหายแล้วนะครับ ผอมลงเพราะวิ่ง หมอก็บอกว่ายาที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกาย เราก็ค้นพบทางสว่างในการวิ่ง ที่หายไป 7 ปีก็ทำหลายอย่าง ไปเป็นนักเขียนเต็มตัว เขียนเนื้อเพลง ทำงานกับพี่พลที่ Boxx Music และทำที่ Music Move

มีความสุขทีไ่ด้ทำเบื้องหลังและได้ทำวงด้วย วงแรกคือวง Shade (เฉด) วงที่สองคือ Troop Tower (ทรูปทาวเวอร์) ได้ร้องเพลงบ้าง มีความสุขกับตรงนั้น 7 ปีที่หายไปจริงๆ เราเจอกันบ่อยนะ แต่สมัยก่อนเราใช้ชีวิตเฟี้ยวฟ้าวมาก เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น สุขุมขึ้น ออกกำลังกายกันเยอะมาก ดูแลตัวเอง รู้สึกหนุ่มกว่าเดิมด้วยซ้ำ (ยิ้ม)

ก็ได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยรู้หลายอย่าง ตอนเป็นศิลปินเราคิดว่าการทำวงมันง่ายมาก แต่พอได้ไปดูแลในส่วนนั้นจริงๆ การที่จะให้หนึ่งศิลปินมันได้ดั่งใจเรายากมากจริงๆ ครับ เราไม่รู้ว่าทำไมมันถึงต้องใช้พลังในการสร้างหลายอย่างขนาดนั้น พอถึงวันที่เรากลับมา เรารู้แล้วว่ากระบวนการทำงานมันเริ่มยังไง เรามีความรู้มากขึ้น ได้เห็นส่วนงานต่างๆ เข้าใจทุกๆ อย่างมากขึ้น

สุ่ม สุกฤษณ์ ศรีเปารยะ
สุ่ม สุกฤษณ์ ศรีเปารยะ

...

สุ่ม : ของผมแทบไม่ได้ยุ่งกับเรื่องดนตรีเลย เพราะว่าเราไปทำงานเกี่ยวกับจักรยาน ไปช่วยเพื่อนขายจักรยาน เพราะเป็นแบรนด์ของเพื่อนที่รู้จักกันและทำด้วยกัน

และไปแข่งเหมือนเป็นนักกีฬาอาชีพ เราก็ไปอยู่ตรงนั้น บางสนามเราได้ร่วมเหมือนอยู่ในสนามเดียวกับระดับเยาวชนทีมชาติ แต่ก็ไม่ได้เก่งขนาดชนะเขาได้ เราก็จะอยู่ในระดับมือสมัครเล่นครับ

ที่มาตรงนี้คือ อยากลองด้วยครับ ร้านที่ไปทำเป็นเพื่อนที่สนิทกัน ก็เลยลองไปอีกสายงาน แรกๆ ก็งงเหมือนกัน แต่พอเราเข้าไปทำก็ได้รู้ว่าจริงๆ มันก็คล้ายกับค่ายเพลงที่ผลิตศิลปิน ทำยังไงให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก

เรามีทีมไปแข่ง พยายามทำผลงาน เพียงแต่เป็นลักษณะของกีฬาชัดเจนมากกว่าครับ มันก็ดีตรงที่บางอย่างตรงนั้นมาช่วยเรา พอเรากลับมาทำงานเพลง ไม่ว่าจะเป็นการมีวินัยในตัวเอง

ต้องฝึกซ้อม พอมาเล่นดนตรี ทำไมเราจะกลับมาฝึกให้เก่งขึ้นไม่ได้ มันก็เอาตรงนั้นมา แต่ก็ไม่ได้ทิ้งงานดนตรี ก็ยังมีไปช่วยงานคนนั้นคนนี้บ้างครับ

แบงค์ : พอมาทำงานเพลงคนเดียวจริงๆ มันก็มีข้อดีนะ คือมันง่ายดี คิดคนเดียว ทำเองคนเดียว ดังไม่ดังไม่สนใจ สำเร็จไม่สน ทำเอาสนุกและเอามัน ฉันชอบแบบนี้ก็ทำแบบนี้

แต่ว่าพอเวลาผ่านไปเราก็มีความเหงาๆ และรู้สึกว่าอาจจะอิสระเกินไปบางที พอมารวมวงอีกทีจะรู้สึกเริ่มเยอะ เพราะว่าแคลชมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตอยู่แล้ว ฉะนั้นอาจจะไม่ชิน

พี่พล กับ พี่แฮ็ค ก็ถามว่าพร้อมแล้วจริงๆ เหรอ เพราะที่ผ่านมามันอิสรภาพมากเลยนะ ก็ต้องมาคุยกันว่าต้องแก้นะ ตึงไปหรือหย่อนไปก็ไม่ได้ ต้องดึงกลับมา

ดังนั้นข้อดีระหว่าง 7 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าทุกคนในวงพยายามเป็นคนดีขึ้นทุกวัน ซึ่งผมถือว่าผมเชยที่สุดเพราะผมยังสูบบุหรี่ แต่คนอื่นเลิกหมดแล้ว ตอนนี้ผมก็พยายามอยู่

พล : เดี๋ยวพอจบคอนเสิร์ตแบงค์ก็เลิกบุหรี่แล้ว (ยิ้ม)

แบงค์ : เฮ้ย (หัวเราะ) คือมนุษย์ควรจะเป็นแบบนี้ ควรจะโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่มีปัญหาเยอะๆ ก็ได้พวกเพื่อนๆ นี่แหละคอยด่า คอยตบซ้ายตบขวาให้มันดีขึ้น คือยิ่งโตเรายิ่งต้องรู้มากครับ

ยักษ์ อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์
ยักษ์ อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์

แยกวงกันมา 7 ปี แต่ที่ผ่านมาคนยังเรียกว่าวงแคลชเหมือนเดิม รู้สึกยังไงที่คนยังจำภาพเดิมที่เคยเป็น?
แบงค์ : 7 ปีที่ผ่านมาเราก็จะไปเจอ Avatar ของแบงค์ แคลช สักแบบนี้ แล้วมาโชว์ตัวตามที่เล่นต่างๆ ผมว่าคำว่าแคลชมันเป็นเรื่องของเพลงด้วยล่ะ มันอยู่กับคนหลายกลุ่ม ตลกก็เอาไปล้อ ก็ขอบคุณพี่ตลกๆ ด้วยนะครับ

เพลงมันก็ยังอยู่ในชีวิตประจำวันของหลายคน S.D.F ก็ขับเคลื่อนตัวเองไป แบงค์ แคช ก็เป็นอาร์แอนด์บีไป ตอนนี้มันถึงวาระที่รวมตัวกันก็คิดถึงทุกคนนะ เพราะ S.D.F หรือแบงค์ แคช เล่นก็ไม่เหมือนกันนะ มันคนละแบบ

รวมตัวกันแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยอัลบั้มแรกๆ มั้ย?
แบงค์ : นึกถึงครับ อย่างล่าสุดที่พี่แฮ็คไปเล่นดนตรีที่ใต้ แล้วเขาตีกันก็ตกใจ ซึ่งเมื่อก่อนจะไม่มีอารมณ์นี้เลยนะ สมัยก่อนเล่นในงานกาชาด คน 2-3 หมื่นคนตีกันยับ เราก็ชินชา

แต่วันนี้ด้วยโลกมันหมุนไป การดูคอนเสิร์ตของคนเริ่มพัฒนาขึ้น ฉะนั้นถ้าเราไปเจอแบบนั้นอีกทีเราจะไม่ชิน เพราะไม่ได้เจอแบบนี้นานแล้ว แต่เราอยากให้ดูแบบน่ารักๆ มากกว่า

กลับมารวมตัวครั้งนี้จะไปต่อเรื่อยๆ หรือว่าจะรวมตัวแค่เฉพาะกิจ?
แบงค์ : ก็คงจะรวมไปเรื่อยๆ แหละครับ แต่ใครมีโปรเจกต์อะไรของตัวเองก็ยังทำต่อไป ส่วนการออนทัวร์ตามที่ต่างๆ ก็มีอยู่แล้วครับ เพราะว่าคิดถึงทั้งประเทศแหละ บางจังหวัดไม่ได้ไปนานมาก

สุ่ม : ก็อยากไปสนุกสนาน ไปเจอน้องๆ ตามต่างจังหวัดเหมือนเดิม น่าจะโตกันหมดแล้วล่ะครับ ส่วนเพลงก็จะทำเป็นซิงเกิล เป็นอีพีไปมากกว่า

พล : เดี๋ยวนี้ขาย 10 เพลงคงยากมากครับ เพราะด้วยตลาดที่เปลี่ยนไป การที่จะมีศิลปินออกเพลงครบ 10 เพลงจะเห็นแบบนับตัวได้ แต่ฝั่งอินดี้ที่ผมไปอยู่ยังทำอัลบั้มกันอยู่โดยไม่ได้สนใจว่าตลาดจะเป็นยังไง เขาจะโฟกัสที่แฟนเพลงเขาเป็นหลักและอาจจะทำไม่เยอะครับ

ผมว่าทำพอดีๆ ดีกว่า และอีกอย่างแฟชั่นหรือโลกหมุนเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก กระแสแร็ปเปอร์มาเต็มไปหมด ทำให้แนวเพลงอื่นๆ ยังไม่ถึงช่วงเวลารึเปล่า เราก็ต้องดูด้วย เพราะเราก็อยากให้ความเป็นแคลชมันพัฒนาไปตามยุคสมัยด้วยครับ

แคลชกลับมาในช่วงที่ศิลปินมีเยอะมาก กลัวมั้ยว่าการตอบรับอาจจะไม่ได้เท่าเมื่อก่อน?
พล : จริงๆ แล้วผมไม่กลัวเลย เพราะสิ่งที่เราคุยกันก่อนเริ่มทำงานร่วมกัน เราวิเคราะห์หมดเลย แต่ไม่ได้วิเคราะห์เพื่อให้ถูกใจทุกคนหมดนะ

แต่เรามองว่าเราจะทำยังไงให้แคลชกลับมาแล้วมันสนุก แล้วพวกเราสนุกกับการสร้างงานใหม่ๆ ด้วย มันเป็นหน้าต่างบานใหม่ของชีวิตเราให้เราตื่นเต้น และผมเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังทำหรือคิดอยู่ตอนนี้ มันตื่นเต้นพอที่จะกระชากความรู้สึกของแฟนเพลงได้ครับ

แบงค์ : เราเคยคุยกันว่าเพลงเราเนี่ย เราโตขึ้นแล้วควรจะพูดเรื่องอะไรอีก ผมรู้สึกว่าเราแต่งเพลงสู้เพลงเก่าไม่ได้ อย่างเพลงที่มันเป็นอุดมการณ์ของลูกผู้ชายคนนึงที่จะมุ่งมั่นไปข้างหน้า

เพราะอินเนอร์เราวันนั้นมันจริงไง แต่วันนี้เราก็นิ่งพอ ฉะนั้นวันนี้ความสนุกนำ ยิ้มแย้มแจ่มใสนะ ผ่อนคลายมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าแบกแล้วมันเหนื่อยคนดูจับได้นะว่าจะต้องพยายามอุดมการณ์

เราเป็นธรรมชาติดีกว่า เพลงต่อไปก็จะไม่เครียด แต่ความแสบสัน โหดร้ายเบาๆ ก็ยังมีอยู่ในร่าง คอนเสิร์ตก็สนุกตามกระบวนการคอนเสิร์ตครับ

สุดท้ายฝากคอนเสิร์ตให้แฟนๆ มาดูกัน?
พล : ก็ฝากคอนเสิร์ต “Clash Awake Concert” ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ จัดที่ไบเทคบางนา ฮอลล์ 98 ครับ ตัวบัตร Early Bird ขายวันที่ 1-5 ส.ค. ครับ

พวกเราก็ตั้งใจทำคอนเสิร์ตนี้อีกครั้งหลังจากหายไปตั้ง 7 ปี ผมว่ามันคงเป็นพลังของเรา 5 คนที่มารวมตัวกันเพื่อนำเสียงเพลง หรือความสุขไปเจอกับแฟนเพลงของพวกเราด้วย และอีกอย่างแฟนเพลงก็รอเราเหมือนกัน พวกเราก็รอแฟนเพลงที่จะได้กลับมาเจอกัน

ถ้าคราวที่แล้วใครไม่ได้ดู รอบนี้ให้รีบซื้อบัตร ถามว่าจะมีรอบสองมั้ย ผู้ใหญ่ก็มาถามเหมือนกัน แต่แนวคิดนึงคือปกติ แคลช จะทีเดียวแน่นๆ หนักๆ เป็นภาพที่น่าจดจำมากกว่า

เลยรู้สึกว่าการมีคอนเสิร์ต 2 รอบ ถ้าหากว่าบัตรมันถล่มทลายก็อาจจะมี แต่ตอนนี้โฟกัสที่รอบเดียวก่อนครับ ก็ฝากทุกคนกลับมาเจอกัน กลับมาบ้านของพวกเรากันครับ.