ปล่อยซิงเกิลใหม่ล่าสุด “ตราบที่ยังหายใจ” เพลงรักเนื้อหาดีให้กำลังใจคนที่อาจเคยท้อแท้กับโชคชะตา แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็จะทำเพื่อคนที่รักสุดหัวใจ มาให้ได้ฟังกันแล้ว

ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่นักร้องหนุ่ม เอ๊ะ จิรากร สมพิทักษ์ ตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริงของตัวเอง ที่ต้องเจอเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แต่ก็ผ่านมันมาจนได้ เป็นเรื่องของคนที่เรารักและรักเราฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน

โดยเพลงนี้เอ๊ะมีโอกาสได้ร่วมงานกับคนดนตรีดังทั้ง ปิ๊ด บอดี้สแลม และ โป โปษยะนุกูล ผู้แต่งเพลง “แสงสุดท้าย” ให้กับวงบอดี้สแลมด้วย

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ชวน เอ๊ะ มาพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงานเพลงนี้ที่เจ้าตัวตั้งใจทุ่มเทสุดพลัง แม้แต่โลโก้ที่ใช้ในงานเพลงครั้งนี้

ที่แว่วว่าเจ้าตัวให้ซินแสดัง อ.เป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร ออกแบบให้เพราะมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยเสริมดวง ไปจนถึงชีวิตส่วนตัวหลังจากภรรยา ชมพู่ วรัญญา บุญล้ำ กำลังจะคลอดลูกคนที่ 3 รวมไปถึงเรื่องงานแต่งงานว่าจะมีโอกาสได้เห็นจริงๆ เมื่อไหร่ด้วย

...

การทำงานเพลง “ตราบที่ยังหายใจ” เป็นยังไงบ้าง?
“เหมือนได้กลับไปทำงานกับเพื่อนเก่านะครับ แต่เรื่องของเนื้อเพลงที่ได้พี่โป โปษยะนุกูล มาเนี่ย เรียกว่าใหม่เลยจริงๆ เมโลดี้ตอนแรกคิดว่าที่พี่ปิ๊ดคิดมา เราคิดว่าน่าจะใส่เนื้อร้องยากอยู่พอสมควร พอพี่โปแต่งเนื้อร้องจริงๆ เออ...มันก็สวมยากอยู่เหมือนกัน

ตอนแรกนึกว่าเสื้อจะไม่พอดีตัว คือเหมือนตัวเราเหมือนเมโลดี้อะ เสื้อเหมือนเนื้อร้อง แต่พอใส่เสร็จปุ๊บ เฮ้ย...มันได้ว่ะ ตอนแรกนึกว่าจำเนื้อยาก มันจะมีจำเนื้อผิดกันนิดๆ หน่อยๆ หมดเลย แต่ถ้าเราเรียงร้อยเรื่องราวอยู่ในหัว มันจะไปอัตโนมัติ ปากมันจะพาไปเลย

แต่ว่าการออกเสียงมันยากมาก การร้องยากมาก ยังไม่เห็นคน cover เลย สูงแบบสูงปี๊ด...เลยอะ เออ...ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะขนาดนั้น ร้องสดยังคิดอยู่ เมื่อวานร้องสดไปเพลงนึงมั้ง ถ้าต่อมาต่อด้วยเพลงตราบที่ยังหายใจและต่อด้วย Zombie เพลงต่อไปควรจะเข้า รพ. ละครับ (ยิ้ม)”

ฟีดแบ็กที่กลับมาถึง เอ๊ะ เป็นไงบ้าง?
“ดีครับ อยู่ในทัศนคติที่ดีของทุกๆ คน พูดถึงตอนแรกเหมือนกับว่าทุกคน จะคิดว่าเอ็มวีจะดราม่ามั้ย ด้วยอาชีพด้วยหน้าตาด้วยของนักแสดงอย่างเนี้ย คนที่ได้ดูจะพูดว่ายังไง แต่ออกมาทุกคนก็โอเค กลับมาในทัศนคติที่บวกสำหรับทุกๆ คน

เหมือนตอนจบที่เคยถาม ทำไมตอนจบให้เป็นอย่างนั้น มันอยู่ที่จิตเราเองจิตใต้สำนึกเราเองว่าเราจะตอบคำถาม ถ้ามันเกิดสถานการณ์นั้นเราจะตอบคำถามกับตัวเองว่าอะไรดี คนมันรักไปแล้วอะ เฮ้ย...ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนมันมีตำหนิหมดทุกคนอะ ถ้าจะหาคนที่บริสุทธิ์ต้องหาที่ไหนถามจริง”

มีโอกาสได้เอาไปร้องแบบสดๆ บ้างรึยัง?
“ร้องเรียบร้อยแล้วครับในงานเลี้ยง ในงานเค้าก็จะแบบ เอ๋อๆ งงๆ นิดๆ ว่านี่เพลงอะไร เราก็จะโชว์ความเป็นโอเปร่านิดนึง เค้าก็จะงงหน่อย เค้าก็จะแบบ เฮ้ย...ร้องขนาดนี้เลยเหรอ

มันก็เป็นเทคนิคการร้องใหม่ การร้องใหม่ที่แปลกมาก เพราะตามปกติ ถ้าใช้ Zombie หรือว่าเป็นเพลงทิ้งรักลงแม่น้ำ มันก็จะมีเสียงแตกเข้ามาด้วย แต่อันนี้คือไม่แตกเลย คลีนล้วนๆ แต่เนื้อมาเต็ม แต่ร้องกระชับร้องยานไม่ได้เดี๋ยวเป็นลม”

เรื่องเทคนิคการร้อง หลายคนสงสัยว่าทำไมมันดูแปลกๆ?
“มันเหมือนว่าเราต้องมานั่งเรียนรู้ใหม่กับการร้องการหายใจใหม่หมดเลย เพราะตอนนั้นในห้องอัดเขาก็บอกว่า เฮ้ย...ลองมาทำอย่างนี้ ลองทำอย่างนี้ดิ ให้มันเป็นเพลงร็อกจริงๆ

หลักการที่เราร้องอย่างนี้ อย่างเช่น ทิ้งรัก หรือว่า ปาใส่หน้า ก่อนหน้านี้ก็แล้วแต่ มันไม่ได้การร้องในแนวร็อกที่เป็นบาลานซ์ ร็อก คือป๊อปร็อกนั่นแหละ ที่เราร้องมันคือแบบมีคำรามมีเสียงแตกแบบพี่แนป เรโทรสเปกต์ อันนั้นไป แต่อันนี้มันจะคลีน แต่ว่ามันต้องเป็นร็อก มันจะกระชับขึ้น”

ถามเรื่องมิวสิกวิดีโอ บางคนบอกว่าในเอ็มวีไม่น่าจบแบบนั้น ทำไมผู้หญิงต้องไปขายตัว ทำไมไม่จบแบบเอ็มวีอื่นที่ดูแล้วซึ้งกว่า มีการเปรียบเทียบกันอีก ได้เข้าไปดูมั้ย?
“ได้เข้าไปดูอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราต้องสร้างความแปลกใหม่ มันคือวิวัฒนาการของเรา ของตัวเราทางด้านเพลงทางด้านเอ็มวี ถ้าผมถามกลับว่า ถ้าจะมีแบบเพลง “จากนี้ไปจนนิรันดร์” เวอร์ชั่น 1 2 3 4 5 เบื่อมั้ย

...

ผมกลัวคนเบื่อ คือมันมี จากนี้จนนิรันดร์, สิ่งที่กำลังเกิด, ระหว่างเราสองคน มาแล้ว มันก็คล้ายกันมาหมดแล้ว ถ้ามันจะกลับไปซ้ำรอยเดิม ผมก็กลัวว่าทุกคนจะเบื่อ แต่ถามว่ามันจะกลับมาสู่จุดเดิมมั้ย มันก็มีกลับมาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราทำเพลงให้คนฟังคนจะได้ไม่เบื่อเราเท่านั้นเอง”

พูดถึงการกลับไปสู่จุดเดิม บางคนก็บอกว่าอยากฟังพี่เอ๊ะร้องแบบเมื่อก่อน?
“มันจะมีอยู่ในโชว์ใช่มั้ย อย่างโชว์เอ๊ะ จริงๆ มันก็มีแบบบางๆ เบาๆ เราไปดูคอนเสิร์ตเราก็ยังเห็นอยู่ มันก็ยังมี แบ็กกิ้งแทร็กตามอีเวนต์ก็จะได้ฟัง”

ถ้าจะทำเพลงใหม่อีกจะมีโอกาสกลับไปทำแบบ Easy Listening มั้ย?
“เดี๋ยวก็น่าจะมี easy สลับกันไป เราไม่ได้มาแบบมานั่งกฎเกณฑ์อะไร เหมือนตอนแรกๆ แล้ว เพราะว่าตอนแรกๆ ผมรู้สึกว่า เฮ้ย...เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำแล้วน่ะ แต่ผมจะเป็นคนที่บ้าบอไปเลยๆ นับ 1 2 3 4 ไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นดนตรีทดลอง

แต่ถ้ามันเลี่ยนเกินไป หวานจนเกินไป หรือว่าพาทัวร์จนคนจับไม่ได้ก็ไม่เอาขนาดนั้น เราค่อยๆ ไปทีละสเต็ป พอ easy listening มาเป็นป๊อปร็อกอะไรอย่างนั้น แต่ถามว่าจะแดนซ์จะขนาดนั้นมั้ย ไม่ใช่ เราจะไม่ไปถึงขนาดนั้น”

ตั้งแต่ทำเพลงแนว Easy แล้วเริ่มมาร้องเพลงร็อก ทำเพลงป็อปร็อก ชอบแบบไหนที่สุด?
“ผมว่าป็อปร็อกนะ มันเป็นอะไรที่ลงตัวมากที่สุดแล้ว มันมีทั้งความเป็นป็อป มันเป็นอะไรที่เป็นเมนสตรีมอยู่แล้ว สแตนดาร์ดของคนเรา แต่ถ้าเป็นร็อกแหกปาก...อยู่สักชั่วโมงมันก็ไม่ไหวถูกป่ะ”

คิดว่าเราจะไปต่อกับความเป็นป็อปร็อกถึงแค่ไหน?
“ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะสิ่งที่คนย่อยง่าย คนฟังย่อยง่ายไม่ว่าเราจะเป็นอีเวนต์หรือว่าจะเป็นงานกลางคืนก็แล้วแต่ คือมันจะอยู่ได้หมดตลอดถูกป่ะ อย่างเช่นรุ่นพี่เนี่ย ปูทางไว้ให้จะเป็นอะไรที่สบายๆ ดูพี่ป้าง (นครินทร์ กิ่งศักดิ์) สิ ไม่ต้องร้องขนาดนั้นก็ได้

...

ผมก็ดูโซเชียลฯ เยอะ ต้องติดตามว่าเค้าฟังอะไรกัน แต่ว่าเรายังคงเมนสตรีมตัวเองไว้ ถ้าไม่พูดเรื่องความรักไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรสำหรับกระบวนการของเราเอง เพราะว่าเราพูดเรื่องความรักมาตลอด พูดเรื่องความเข้มแข็งของความรักมาตลอด ถามว่าอ่อนแอได้มั้ย ก็อ่อนแอได้ แต่อ่อนแอถึงขนาดกับจะตายไปกับความรักไม่ใช่ครับ เรามาให้กำลังใจคนดีกว่า”

แสดงว่าเพลงแนว easy ก็มีโอกาสได้ฟังอยู่เหมือนกัน?
“ใช่ๆ ได้ฟังอยู่แล้วครับ มีหลายๆ โปรเจกต์ให้เรารู้สึกว่าอยากทำโน่นทำนี่”

โปรเจกต์ต่อไปพอจะแง้มๆ ได้มั้ย?
“ยังแง้มอะไรไม่ได้เลย เพราะนี่มันเพิ่งล่าสุดเอง โดยส่วนใหญ่งานที่เข้ามาก็จะเป็นแบบเพลงอลังการอย่างเนี้ย เดี๋ยวล่าสุดต้องไปร้องเพลงกับพี่สันติ ลุนเผ่ ไปร้องเพลงออกรายการ เป็นการให้กำลังใจคน”

ถามถึงเรื่องโลโก้ที่มากับเพลงล่าสุด เห็นว่าอาจารย์เป็นหนึ่งออกแบบให้?
“ใช่ มีเลข 8 อยู่ในนั้น ด้วยที่ว่าเราเบรนสตรอมกันในค่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ผมไม่อยากรู้สึกว่ามันตกตะกอนตรงคำที่ว่า เราจะใช้โลโก้อันเนี่ย ไปจนความสมบูรณ์ละ ถามว่าใช้อันนี้ตลอดเลยเหรอ ใช่ ไม่เปลี่ยนละ จะใช้อันนี้

...

สุดท้ายแล้ว อาร์ตไดจะงงเลย อยู่ดีๆ เอางี้เลยเหรอ ถามว่าถ้าเกิดเพลงหน้ามันไม่ใช่สไตล์ที่มันเข้ากับอันนี้มันก็ยังได้อยู่เหรอ ผมว่ายังได้อยู่ เราก็จะเล็กๆ ลง แต่ผมว่ามันก็น่าจะไปได้ (ต่อให้มีอีกกี่ซิงเกิลก็จะใช้โลโก้อันนี้แหละ?) ใช่”

แล้วทำไมจะต้องเป็นอาจารย์ที่มาออกแบบให้?
“หลักฮวงจุ้ยครับ คือหลักฮวงจุ้ยของการออกแบบโลโก้มันจะมีเลข 8 ซ่อนอยู่ข้างใน 8 ก็คืออินฟินิตี้”

อินฟินิตี้ที่ต้องการคืออยากให้งานเข้ามาเยอะๆ?
“ผมจะมีไอดอลด้านชื่อเสียงอยู่คนนึง คือพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) อยู่ยังไง พี่เบิร์ดอยู่ตั้งแต่อัลบั้มแรกประมาณปี 2526 มันเลยรู้สึกว่าพี่เบิร์ดอยู่จนปัจจุบันเนี่ย คิดดูว่าการดูแลร่างกาย การพัฒนา การเปิดสมอง การเปิดจิตใจของพี่เบิร์ด

เฮ้ย... ทุกวันนี้ร่วมงานกับเด็กก็ยังเปิดโลกทัศน์ของตัวเองตลอด คุณภาพของเสียง คุณภาพการเต้น อายุ 60 แล้วอ่ะ แต่ยังไหวอยู่เลย นี่ผมเพิ่งได้ครึ่งพี่เบิร์ดเองนะเนี่ย หมายถึงอายุนะ (ยิ้ม)”

คือเราอยากที่จะยังอยู่ตรงนี้ไปได้เรื่อยๆ?
“ใช่ ยังอยู่ตรงนี้ได้ เพียงแต่ว่าเอาอันนั้นมาเป็นเรียกว่าแรงบันดาลใจดีกว่า เอาโลโก้มาเป็นแรงบรรดาใจ เอาพี่เบิร์ดมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเรา เคยได้ยินมั้ยโบราณเค้าบอกว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว

ถ้าคุณรู้ว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะตาย คุณจะทำอะไร คุณต้องทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำไป เกิดพรุ่งนี้ไม่ตาย แต่อย่างน้อยได้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำ คนเป็นมะเร็งตายจะเป็นตายพรุ่งนี้มั้ยละ

บางทีคนเราก็ 3 เดือนตาย 3 ปีตาย เพียงแต่ว่าความสุขของตนเองมันอยู่ตรงไหนแค่นั้นเอง ถ้าทำแล้วมีความสุขอะ ไม่เดือดร้อนใครนี่หว่า มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยู่วันต่อๆ ไปได้”

ใช้โลโก้แล้วแบบเป็นยังไงบ้าง?
“ยังไม่รู้ครับ มันสบายใจขึ้น เราได้ฉีกกฎทุกกฎ (หัวเราะ) แต่จริงๆ เนี่ย อย่างอันล่างที่เขียน JIRAKORN ทีมงานส่งมาให้ แต่ตัวหลักก็คือข้างบน ข้างล่างนี้ทีมงานก็ส่งมาให้อยู่แล้ว”

แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงเรื่องฮวงจุ้ยพอสมควรเลย?
“พอสมควรเลย ถามว่าเชื่อถึงขั้นไหนไม่ได้เชื่อถึงขึ้นงมงาย อยู่หลักการของเหตุผล อย่างที่อาจารย์สอนคือมานะตนมาที่ 1 ดวงมันช่วยได้แค่ 0.1 เอง ตนคือ 99.9 เปอร์เซ็นต์ ต่อให้คุณบอกพรุ่งนี้รวย แต่ยังนั่งอยู่อย่างนี้จะรวยมั้ยอ่ะ เพียงแต่ว่าส่วนนี้มันคือแรงบันดาลใจพลังใจให้เราเท่านั้นเอง”

เราคิดว่าส่วนนึงคือเราเชื่ออาจารย์แล้วทำตามที่อาจารย์สอน วันนึงเราเลยมาถึงแบบนี้ได้ในทุกวันนี้?
“ตั้งแต่รายการ The Mask Singer แล้ว อาจารย์บอกทำไปเลย ไม่เป็นไร เดี๋ยวสักวันมานะตนมันก็จะแสดงผลดีให้กับชีวิตเราเอง ช่วงนั้นผมไปขายเอ๊ะ เอ๊ะ ทะเลนึ่ง อาจารย์ก็ไปอุดหนุน

แล้วมีวันก่อนถ่ายรายการด้วยกัน แกถามว่าประทับใจอะไรตรงไหน ผมก็บอกว่าประทับใจตรงแกไปซื้อของวันนั้นแล้วจะเอาไปแจกโน่นนี่นั่น สรุปอีกสองวันต่อมา ไปบ้านอาจารย์เปิดประตูตู้เย็นมา กุ้งที่แกซื้อมามันเน่าอยู่ในตู้เย็นอ่ะ ประทับใจแกตรงเนี้ย

แล้วผมก็ถามแกว่าประทับใจอะไรตรงไหน แกก็บอกว่าประทับเราใจวันนั้นที่แกมีคอนเสิร์ตครั้งแรกของแก แล้วไม่มีศิลปินไปเลย แกไม่รู้ว่าการออกสื่อคืออะไร แล้วก็ไปทุกที่เลยตั้งแต่เช้ายันเย็น ยันงานสุดท้ายอ่ะ แกเลยบอกครั้งนั้นเธอซื้อใจฉันมาก แต่ฉันไม่ใช่อะไรหรอก สนุก ว่าง การออกสื่อการเจออย่างนี้มันสนุก”

หลังจากนั้นมาเราก็เลยสนิทกับอาจารย์?
“ก็สนิทกับอาจารย์ แล้วเราเข้าหาอาจารย์โดยที่เราไลน์ไปโดยที่เราไม่ได้บอกว่าเป็นดารา แต่เราเป็นคนธรรมดา เราไม่ได้เป็นนักร้อง ซึ่งอาจารย์เห็นหน้าเราอาจารย์ก็ไม่รู้ เธอร้องเพลงเหรอ ร้องเพลงอะไรอ่ะ อาจารย์ก็ไม่รู้จัก”

ทุกวันนี้เราคิดว่าแบบเราจะไปต่อในเส้นทางดนตรียังไง?
“ก็ไปต่ออย่างนี้แหละครับ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนสร้างความสุขให้กับคน ผมว่าการสร้างกำลังใจให้กับคนมันจะเป็นสิ่งบวก ให้คนที่รู้สึกว่าท้อ

มันมีด้านตลกด้านเอ็นเตอร์เทนอยู่แล้ว มีโลกโซเชียลฯ ให้ทุกคนได้เสพความสุขอยู่แล้ว แต่ด้านพลังงานที่คนท้อๆ ลุกขึ้นมา มันไม่มีใคร นอกจากพี่โป่ง (ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์) ตั้งแต่เพลงใจสู้หรือเปล่า แล้วตอนนี้มันไม่มีใครเลย”

การเป็นหน้ากากอีกาดำมันทำให้เราไปบนเส้นทางดนตรีได้ดีขึ้นมั้ย?
“ได้ดีขึ้น ได้กว้างขึ้น เรามารับเรามากขึ้น ไม่ว่าผู้ใหญ่และเด็ก เด็กเห็นเราเป็นมาสคอต แต่ผู้ใหญ่เห็น เฮ้ย...ไอ้นี่มันคนจะกลับย้อนไปสู่ยุค 90 เชื่อว่านักร้องแต่ก่อนมันต้องแบบพลังหน่อย ไม่เสียงสูง ไม่ต้องเสียงอลังการ”

ถามเรื่องชีวิตส่วนตัวบ้าง เห็นว่าภรรยาใกล้จะคลอดลูกแล้ว?
“คลอดวันที่ 10 แล้วครับ ไปเยี่ยมกันได้ ที่ รพ.นนทเวช ครับ ก็ได้ลูกสาวครับ ชื่อเล่นก็ตกลงกันอยู่ว่าจะชื่อเอวาหรือเชอรีน ส่วนชื่อจริงยังครับ เดี๋ยวรออาจารย์เป็นหนึ่งตั้งให้ครับผม หลังจากนี้คงปิดอู่แล้วครับ”

แล้วเรื่องงานแต่งงานล่ะ?
“ตอนแรกว่าจะแต่งปีนี้ แต่แบบโห เขาเพิ่งคลอดลูกเลย น่าจะอีกนานครับ สัก 45 กะรัตก็ค่อยแต่ง (ยิ้ม) ดูอย่างพี่เปิ้ล (นาคร ศิลาชัย) ไง คลาสสิกดีออก ถามว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนชอบที่มีลูก 2-3 คนแล้วค่อยจัดงานแต่งงาน คืออย่างบางคนน่ะ ปัจจุบันที่ผมรู้จักมา บางคนกู้เงินเพื่อจะไปแต่งงาน”

เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น?
“ใช่ ชีวิตไม่พร้อม เมื่อเราพร้อมเราจัดงานแต่งแล้วเราเที่ยวสบายใจ ลูกเรียนไปหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ชีวิตธุรกิจเรามันเป็นไปตามของมันเอง

เราแค่ไปนั่งเช็กว่าอะไรเท่าไหร่แค่นั้นเอง ไม่ต้องมานั่งซีเรียสว่าจะมีตังค์เลี้ยงลูกมั้ย จะมีตังค์แต่งงานมั้ย กู้ตังค์มาแล้วเอาตังค์ที่ไหนล่ะ (ไม่ใช่ว่าเราตามกระแสนะ?) ไม่ๆๆ เราเลยเขียนไปว่า เฮ้ย...มันมีประโยชน์มากกว่ากับครอบครัวเรา”

เราก็อายุเยอะแล้วนะ เค้ารอได้มั้ย?
“เค้ารอได้ เพราะตอนนี้เค้า 30 หน่อยๆ เอง บางคน 30 ยังไม่มีแฟนเลย (ยิ้ม) แล้วลองคิดดูว่ากว่าจะมีลูก สมมติว่ามีลูกอายุ 33 กว่าลูกจะ 18-19 ปี บรรลุนิติภาวะ ตอนนั้นอายุ 60 แล้ว มีลูกทีรอลูกรับปริญญาเราก็แบบอ้อแอ้แล้วอ่ะ (รีบมีเพราะจะได้ไม่แก่เกินไป?) ใช่ๆๆ รอดูความสำเร็จของลูกได้”

ดังนั้นเรื่องงานแต่งจะแต่งตอนไหนก็แล้วแต่เรา?
“แล้วแต่เราแล้วละตอนนี้ แต่เราขอขมาไปเรียบร้อยแล้ว”

สุดท้ายฝากผลงาน?
“ฝากผลงานเพลง “ตราบที่ยังหายใจ” ซิงเกิลล่าสุด ติดตามข่าวสารที่ facebook.com/aejirakorn แล้ว facebook.com/grandmusik ขอบคุณมากครับ”.