ยังเป็นเรื่องราวน่าสะเทือนใจสำหรับการจากไปก่อนวัยอันควรของ น้องอิน ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ล่าสุดเมื่อย้อนดูเฟซบุ๊กของ น้องอิน พบว่าครั้งหนึ่งสาวน้อยสู้ชีวิต เคยไลฟ์สดเปิดเผยชีวิตที่กว่าจะมีวันนี้เธอกับแม่เคยขึ้นสูงสุดและดิ่งลงต่ำสุด
"ตอนนี้ซื้อบ้าน ซื้อรถเป็นชื่อของตัวเองในอายุแค่ 19 เท่านั้น วันนี้มาเล่าเรื่องของตัวเอง อยากให้ทุกคนฟังเรื่องของเราเป็นแรงบันดาลใจ บางคนอาจจะเจอปัญหาแบบเรา บางคนที่บ้านอาจโดนดูถูกอยากให้ใช้ตรงนั้นเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิต
ตอนเด็กๆ อินเป็นนักแสดง ทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ถ่ายละครตอนอายุประมาณ 5 ขวบชอบทำงานมากๆ เป็นคนที่ไม่รู้หรอกว่าเงินมันคืออะไร รู้แค่่ว่าทุกครั้งไปทำงาน ไปกองถ่าย แม่ก็จะบอกว่าไปถ่ายละครจะได้กินไอติม คุณแม่ก็เป็นผู้จัดการให้
จนป.3 ก็ซื้อบ้านให้แม่ได้หลังหนึ่ง ราคาประมาณ 5-6 ล้าน เราไม่รู้หรอกว่าเงิน 5-6 ล้าน มันมากขนาดใหญ่ แต่เรารู้ว่ามันทำให้เรามีบ้านหลังละ 90 ตารางวามีบ้าน มีรถ โดยที่เราคิดว่าเอาเงินให้แม่หมดเลย เราก็เห็นแม่มีความสุขมากๆ แต่ระหว่างทางจุดพลิกผัน
...
เล่าแต่แรกเลยดีกว่า ครอบครัวอินไม่ได้สมบูรณ์แบบ อินอยู่กับคุณแม่มาสองคนตั้งแต่เด็กๆ คุณแม่เก่งมากๆ พาอินไปทุกที ทำงานดูแลกันทุกอย่าง เราไม่เคยรู้สึกขาด คุณพ่อคุณแม่เลิกกันตั้งแต่อินอยู่ในท้อง อินจะบอกคนที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์ว่าไม่เป็นไร แต่เรายิ่งต้องทำงานหาเงินให้มากๆ เพื่อช่วยซัพพอร์ตคุณแม่ เพราะคุณแม่ไม่มีใคร แล้วคุณแม่อายุมากแล้ว คุณแม่มีลูกตอนอายุมาก อินจึงต้องรีบทำงานหาเงิน
แต่มีจุดพลิกผัน คือตอนเด็กเราดังมาก แต่มีจุดที่ดังได้ก็ไม่ดังได้ เป็นช่วงที่เราอยู่ในจุดที่กำลังจะเด็กก็ไม่เด็ก โตก็ไม่โต ซึ่งคาแรกเตอร์จะยากมากๆ จะเล่นเป็นเด็กก็ไม่ได้ ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ ตอนนั้นก็เลยเฟดออกไปจากวงการบันเทิง
พลิกผันมากที่สุดเพราะงานหายไปหมดเลย จากเคยมีบ้าน 5-6 ล้าน ซื้อรถให้แม่เงินสด ทุกอย่างค่อยๆ เฟดหายไป เงินไม่พอใช้ ไหนจะค่าเรียน ค่ากินอยู่ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ร้องไห้บ่อย ตอนนั้นดิ่งลงมาเลย รวดเร็วมากจากประถมต้นๆ ยังดีพอประถมปลายดิ่งลงมาเลย บ้านหลังนั้นก็ขายทิ้ง คุณแม่ไม่มีเงินในช่วงนั้น เพราะตอนที่มีเงินคุณแม่ก็ซื้อความสุขให้ตัวเองและลูก เราต้องขายทิ้งทุกอย่าง เพราะไม่มีเงินจริงๆ
จากคนที่เคยมีทุกอย่าง ยอมรับว่าเราอายมาก พูดตรงๆ จากที่ไปโรงเรียนแม่ขับรถไปส่ง ก็กลายเป็นต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไป มันช่วงเวลาแป๊บเดียวจากเคยรุ่งๆ แล้วดิ่งเลย คุณแม่ก็เครียดมากๆ ทุกอย่างที่ทำมาหายหมดเลย คนสบประมาทก็เยอะ ด่าว่าแม่พาลูกไปเต้นกินรำกินแล้วเป็นไงล่ะ (น้ำตาซึม) เราร้องไห้เลยนะ ตอนนั้นร้องไห้บ่อยมาก แม่ก็เครียด เราก็จะทะเลาะกับคุณแม่บ่อย เป็นเด็กเครียดไปเลยไม่มีความสุข
ส่วนคุณพ่อก็ไม่อยู่ หนีไปมีครอบครัวใหม่ ไม่เคยสนใจอะไรเลย อันนี้อินไม่ได้ว่าคุณพ่อนะ แค่เล่าให้ฟัง แม้กระทั่งค่าเลี้ยงดูค่าคลอดแม่หาเองหมด อินเลยรักคุณแม่มากๆ แต่ถ้าย้อนกลับไปคุณแม่คือคนที่ดุ ดุจริงๆ แต่ถ้าแม่ไม่ดุก็คงไม่อยู่ถึงทุกวันนี้ แม่เลี้ยงเราเลี้ยงเราจนโตขนาดนี้มาคนเดียว ทำได้ยังไง อินอยากจะบอกทุกคนว่า คุณแม่ดุหรือบ่น เราอาจจะรำคาญ แต่ถ้าย้อนคิดไปจะรู้ว่าถ้าไม่มีคุณแม่ค่อยดุเราจะไม่มีวันนี้
พอตกๆ ช่วงนั้นก็เลยกลับตั้งใจเรียนมากๆ ไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลดีๆ เพราะแม่ไม่มีเงินส่งเอกชน ในความคิดเราไม่ช่วยแม่ไม่ได้แล้วจริงๆ จึงไปสอบเทียบ อยากเข้ามหาวิทยาลัยอยากทำงานแล้ว อายุ 15-16 เข้าปี 1 เลย
...
แต่ประเด็นคือไม่ง่ายขนาดนั้น เรียนมหาวิทยาลัยซ้ำไปซ้ำมา ตอนนี้ 19 ก็ยังเรียนไม่จบ เราไม่ใช่คนเรียนไม่เก่ง เรียนยังไม่ทันจบปี 1 ตายละอินเรียนอินเตอร์ปีละเป็นแสน เลยคิดว่าจะทำยังไงให้หาเงินค่าเทอมด้วยตัวเอง
อินก็เลยลองขายของออนไลน์ดู แต่มันไม่ง่าย คนขายเยอะ ขายไปก็แค่พอมีพอกิน แต่ยังไม่พอจ่ายค่าเทอม ก็เลิกขาย ก็คิดว่าจะกลับเข้าวงการ ลองไปคุยกับผู้ใหญ่ ก็เลยเร่ิมมีข่าวว่าน้องอินดาราเด็กเป็นสาวแล้วนะ ก็มีงานติดต่อเข้ามา ดีใจมากตอนนั้น ไม่ได้ดีใจที่จะได้กลับเข้าวงการนะ แต่ดีใจที่ได้ค่าเทอม
จากนั้นเลยกลับไปลองทำงานในวงการดู บอกตรงๆ ว่าอยู่ในวงการหาเงินค่อนข้างง่ายและเร็ว แต่แลกกับความเหนื่อย แต่อินก็ยังรู้ดีว่าดาราเป็นอาชีพที่ไม่ยั่งยืน
อินยอมรับว่าสำหรับอิน คนเคยมีแต่ไม่มีมันหนักกว่าคนที่ไม่เคยมีมาแต่แรก หนักมากช่วงนั้นคุณแม่เป็นโรคเครียดด้วย อินอยากบอกว่าทุกคนมีปัญหาชีวิต แต่อย่าเอาปัญหามาเป็นจุดตั้ง เราต้องหาการแก้ไขปัญหาให้เจอ อย่าไปโฟกัสที่ปัญหา
เราอยากช่วยคุณแม่ เราก็คิดว่าเรามีจุดเด่นอะไร เรารู้ว่าเราพูดเก่ง จากนั้นอินก็ไปทำงานที่ RCA ทุกวัน ตอนนี้ดร็อปอยู่ หาเงินก่อน มีเงินค่อยไปเรียน".