ขึ้นแท่นผู้กำกับภาพยนตร์หน้าใหม่ไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ เอ็ม บุษราคัม วงษ์คำเหลา ลูกสาวคนโตสุดรักของตลกชื่อดัง หม่ำ จ๊กมก ที่ฝากฝีไม้ลายมือการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรก “ส่ม ภัค เสี่ยน” ค่ายเอ็ม พิคเจอร์ส พร้อมสร้างเสียงหัวเราะเปื้อนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า 31 ส.ค.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์ “บันเทิงไทยรัฐออนไลน์” ชวนผู้กำกับหนังคนใหม่มาพูดคุยถึงเรื่องการทำงานในฐานะผู้กำกับครั้งแรก ไปจนถึงชีวิตในวัยเด็กของเธอ ที่ต้องพบเจอความลำบากมาพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงเรื่องราวข่าวคราวต่างๆ ของเธอที่เป็นกระแสในโลกโซเชียลอยู่เรื่อยๆ บอกเลยว่าสาวเอ็มพร้อมเปิดใจแบบหมดเปลือกทุกเรื่องแบบเต็มๆ
พูดถึงการทำงานภาพยนตร์ “ส่ม ภัค เสี่ยน” ถือเป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต?
“ใช่ค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับแบบเต็มตัว ก่อนที่จะได้มาทำเรื่องนี้เคยเป็นโปรดิวเซอร์มาก่อน คุณพ่อทำเรื่อง “ทาสรักอสูร” และอีกเรื่องนึงคือ “อาม่า” อันนั้นจะเป็นพี่อีกคนนึงเป็นผู้กำกับ ก็เลยได้สะสมประสบการณ์จากการเป็นโปรดิวเซอร์แล้ว พอรู้สึกว่าเฮ้ย ได้เวลาแล้วนะที่จะโชว์ฝีมือเป็นผู้กำกับเอง ก็เลยคุยกับคุณพ่อว่าอยากทำหนังเรื่องนึง คุณพ่อก็ถามว่าทำหนังแนวไหน เอ็มบอกว่าอยากทำดราม่าแบบเศร้า ร้องไห้หดหู่เลย
...
คุณพ่อก็เลยบอกว่าหนักไปไหมสำหรับการจะเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องแรก และเขาก็เลยแนะนำว่าตลาดตอนนี้คนไทยชอบดูหนังที่เบาสมองนะ ทำไมไม่ทำหนังเบาสมองหน่อย คุณพ่อก็เลยเล่าให้ฟังว่ามีเรื่องย่อแบบนี้ๆ ซึ่งก็คือเรื่อง “ส่ม ภัค เสี่ยน” นี่แหละ เอ็มฟังเรื่องย่อแล้วรู้สึกว่าเออ น่าสนใจ เลยเอามาพัฒนาบทต่อ คือเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากคุณพ่อค่ะ”
ความยากง่ายในการทำหนังเรื่องนี้?
“เอ็มว่าเป็นความกดดันที่คนอื่นเขาหยิบยื่นมาให้เรามากกว่า เช่น พ่อเก่งขนาดนี้ ลูกจะขนาดไหน จะทำได้เหมือนคุณพ่อไหม มันเป็นความกดดันมากกว่า ทำให้เอ็มรู้สึกว่ามันยากกับการที่จะฝ่าฟันคำพูดเหล่านี้ แต่พอคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ให้กำลังใจและบอกว่าพ่อไม่เคยคิดแบบนั้นว่าเอ็มต้องเหมือนพ่อซะทุกอย่าง เพราะในเมื่อคนเรามันคนละคน เรามีวิธีการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกันแล้ว วิธีการทำงานก็ไม่เหมือนกันเช่นกัน เพราะฉะนั้นเอ็มคิดอยากทำอะไรก็ทำที่มันเป็นทางของเอ็ม มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนในครอบครัวเข้าใจ เพราะฉะนั้นใครจะคอมเมนต์เราหรือกดดันเรายังไง ปิด ไม่ต้องไปรับ เพราะไม่อย่างนั้นเป็นแม่เหล็กที่ยึดเราไว้แล้วทำให้เราทำอะไรไม่ได้”
นักแสดงแต่ละคนในเรื่อง ทำไมถึงเลือกพวกเขามาร่วมงาน?
“ที่เลือกโตโน่ (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) เพราะว่าโตโน่เขามีความน่ารัก เขาเป็นคนอีสานอยู่แล้ว น้อยคนมากที่จะเคยได้ยินเขาพูดภาษาอีสาน เท่ากับว่าเอ็มหยิบเขามาเป็นคาแรกเตอร์ “เสี้ยน” เป็นผลงานชิ้นแรกเลยที่เขาได้พูดภาษาอีสานออกสื่อให้คนอื่นได้รู้ว่าเขาพูดภาษาอีสานได้นะ แล้วเวลาเขาพูดภาษาอีสานเขาน่ารักในตัวของเขาเอง มันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นโตโน่ ส่วนน้องไข่มุก (ไข่มุก เดอะวอยซ์) ก็เหตุผลเดียวกับโตโน่เลยคือไม่เคยมีใครได้ยินเขาพูด อันนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกด้วยที่เขาได้โชว์ฝีมือในการพูดภาษาอีสาน
น้องวาว (ภคภรณ์ เลิศช่ำชองกุล) เขาเด่นในเรื่องการแสดง เขาแสดงดีมาก และเขาเป็นคนอีสานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการพูดอีสานไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แล้วเวลาเขาเล่นคู่กันกับคริส เขาเข้ากันได้ดีมาก แล้วเขาชงอารมณ์จนบางซีนร้องไห้ไปกับเขา ส่วนเหตุผลที่เลือกคริส (คริส เดอะสตาร์) เพราะแค่ฝรั่งพูดไทยได้ก็น่ารักแล้ว แต่ฝรั่งพูดภาษาอีสานได้น่ารักเข้าไปอีก เอ็มเลือกคริสเพราะว่าเอ็มอยากให้คนไทยที่ดูแล้วรู้สึกไม่อายที่จะพูดภาษาอีสานพื้นบ้าน ฝรั่งยังพูดอีสานเลย แล้วเราเป็นคนอีสานแท้ๆ ทำไมเราถึงไม่ยอมพูด ทำไมเราต้องอายด้วย”
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกว่าจะเป็นหนังเรื่องนี้มีอะไรบ้าง?
“ความยากน่าจะเป็นการประสานงานคิวแต่ละคนนี่แหละ เพราะแต่ละคนคิวทองมาก ไม่ว่าจะเป็นโตโน่ ไข่มุก หรือคริส วาว รวมไปถึงคุณพ่อด้วย คุณพ่อนี่คิวแทรกยากมาก มันเหนื่อยตรงที่ว่าต้องแมทช์ทุกคนให้มันอยู่ในการทำงานของเราในช่วงเวลาที่เราอยากจะได้ ส่วนทีมงานที่ทำงานด้วยก็รู้จักกันมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะได้อะไรยังไงก็สามารถบอกเขาได้เลย คุยกันเหมือนพี่น้อง เวลาเข้ากองถ่ายรู้สึกไม่อึดอัด เพราะทุกคนอยู่กันอย่างครอบครัว รวมไปถึงนักแสดงด้วยค่ะ”
...
เป็นหนังที่แสดงความสามารถของเราแบบเต็มตัว เพราะเห็นว่าจบด้านภาพยนตร์จากอเมริกาด้วย?
“ใช่ เอ็มก็เอาที่เอ็มเรียนมาจากเมืองนอกมาใช้ด้วย แต่เราเอามาใช้ประยุกต์ให้มันมีความเป็นไทย เพราะอะไรที่มันเป็นเมืองนอกมันไม่แมทช์กับไทยสักเท่าไร โดยเฉพาะการทำงาน อย่างการทำงานที่โน่นเขาจะต่างคนต่างอยู่ แต่ที่เมืองไทยมันไม่ได้ ต้องทำงานด้วยกัน เวลาเดือดร้อนอะไร แผนกอื่นก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ เอ็มเลยชอบการทำงานในกองถ่ายของคนไทยมากกว่า”
คาดหวังไหมกับหนังเรื่องนี้?
“คาดหวัง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าต้องเท่าคุณพ่อ เพราะสิ่งที่เอ็มรู้สึกว่าเอ็มประสบความสำเร็จไปครึ่งนึงแล้วคือเอ็มได้ทำมัน คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรู้สึกของเอ็มคือคนที่คิดอย่างเดียวแต่ไม่ได้ทำ แต่ของเอ็มประสบความสำเร็จไปในระดับนึงแล้ว คือเอ็มได้คิดและได้ลงมือทำมันจริงๆ ผลออกมาจะเป็นยังไงเอ็มไม่ได้จะเอาไปบั่นทอนการทำงานของตัวเอง แต่จะเก็บไว้เป็นประสบการณ์เพื่อพัฒนาและปรับปรุงตัวเองในวันข้างหน้ามากกว่าว่าอันนี้เราผิดพลาดตรงนี้ พรุ่งนี้ต้องไม่เป็นแบบนี้อีกค่ะ”
...
คุณพ่อได้เห็นหนังที่เราทำแล้วว่าไงบ้าง?
“คุณพ่อเอ็มเป็นคนปากแข็งมาก เขาจะไม่พูดกับเอ็ม ถ้าอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงต้องไปถามเขา เพราะเอ็มเคยไปสัมภาษณ์คู่กันกับเขา แต่สัมภาษณ์คนละช่วง เขาสัมภาษณ์คุณพ่อก่อน พอถึงส่วนที่เอ็มต้องสัมภาษณ์ เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อชมนะ ภูมิใจมากๆ พอเราได้ยินก็รู้สึกว่าจะร้องไห้ คือเขาเป็นคนปากแข็งมาก เขาจะไม่ชมต่อหน้าเรา แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีคือเขาชมให้คนอื่นฟัง เอ็มว่าอาจจะเพราะไม่อยากให้เอ็มเหลิงรึเปล่าเลยไม่พูดกับเรา”
เหมือนเอ็มเองก็ได้ความเป็นนักสู้ของคุณพ่อมาเยอะ เพราะที่ผ่านมาชีวิตของคุณพ่อคุณแม่เราก็ไม่ง่ายเลย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง?
“เอ็มอยู่ในทุกโมเมนต์ตั้งแต่จนมากๆ (ลากเสียง) จนถึงช่วงที่พ่อรุ่งมากๆ เพราะฉะนั้นเอ็มเห็นพัฒนาการของชีวิตคุณพ่อคุณแม่ค่อยๆ ขึ้นไปจนถึงพุ่งปรี๊ดไปเลยก็มี และช่วงที่พุ่งปรี๊ดที่สุดคือช่วงที่เอ็มไปเรียนเมืองนอก เคยมีหมอดูทักว่าเอ็มกับคุณพ่ออยู่ด้วยกันแล้วไม่เวิร์ก ถ้าแยกกันอยู่จะรวย แล้วมันประจวบเหมาะกับไปเมืองนอกพอดี เลยทำให้รู้สึกว่าเอ็มอยู่กับพ่อไม่ได้ ดวงทับกันหรือยังไง แต่จริงๆ ก็ได้เห็นคุณพ่อมาตั้งแต่เล่นคาเฟ่คืนนึง 7 ที่ บางทีก็ไปคาเฟ่กับคุณพ่อด้วย ไปทุกที่กับคุณพ่อตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงที่คุณพ่อเข้ามาเล่นทีวีแล้ว เลยได้รู้ว่าคุณพ่อมีพัฒนาการชีวิตที่ดีขึ้น
แต่กว่าเขาจะมีวันนี้ได้มันยากมาก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดดูถูกนู่นนี่ มีบางครั้งที่คุณพ่อมานั่งคุยกับเอ็มตอนยังเด็กว่าเขาไม่อยากให้เอ็มเป็นตลก โตขึ้นมาไม่เป็นตลกคาเฟ่นะลูก ตอนนั้นเขาเป็นตลกคาเฟ่ เขาบอกว่าเขาไม่อยากให้เอ็มมาเผชิญคำดูถูก ไม่มีเกียรติ ไม่อยากให้ใครมองลูกเขาแบบนั้น และใจผู้หญิงผู้ชายไม่เหมือนกันไง เขากลัวเราจะรับตรงนี้ไม่ได้ พอเขาเริ่มออกทีวี คนก็เริ่มให้เกียรติเขามากขึ้น จากที่ทุกคนเรียกไอ้หม่ำๆ ตอนนี้เป็นคุณหม่ำ
...
เอ็มอึ้งมากเลยนะ เพราะตอนเด็กเอ็มโดนเพื่อนล้อตลอดว่านี่ไงลูกไอ้หม่ำ ลูกตลกคาเฟ่ แล้วบางทีเอ็มรู้สึกน้อยใจว่าพ่อเราเป็นตลกคาเฟ่มันผิดตรงไหน พ่อฉันไม่ได้ไปขโมยใครกิน ทำงานสุจริต ทำไมต้องมาล้อ แต่ด้วยความเป็นเด็กเราก็ไม่เข้าใจ เราแค่อยากหนีจากจุดนั้น บางทีมีคิดนะตอนเด็กๆ ว่าไม่อยากให้พ่อเป็นตลกคาเฟ่ แล้วยิ่งพ่อมาพูดแบบนั้นยิ่งรู้สึกว่าพ่อคงไม่อยากให้เราต้องมาฟันฝ่าอะไรแบบนี้ ณ จุดนั้นอาจจะไม่ได้คิดหรอก แต่พอเราเริ่มโตขึ้นเราถึงเริ่มคิดได้ว่าคนมองภาพตลกคาเฟ่ไว้ยังไง แต่ ณ จุดนี้พ่อเขาเก่งมากที่สามารถลบทุกอย่างในอดีต ทั้งคำดูถูกต่างๆ จนตอนนี้เขาได้รับคำยกย่องว่าเป็นตลกสู้ชีวิต เอ็มรู้สึกดี”
ช่วงชีวิตของคุณพ่อตอนที่ลำบากที่สุดเป็นยังไงบ้าง?
“ที่เคยสัมผัสได้และคุณแม่เคยเล่าให้ฟังคือไม่มีเงิน ตอนเอ็มคลอดก็คลอดที่ รพ.ศิริราช ห้องผู้ป่วยอนาถา จำได้ว่าค่าคลอด 500 บาท จนมาก ระหว่างที่คุณแม่ท้อง แค่แพ้ท้องก็แย่แล้ว พอหายแพ้ท้องก็ไม่มีตังค์ที่จะซื้ออะไรกินอีก กินได้ดีสุดก็คือข้าวคลุกน้ำปลา พอเอ็มเกิดมาเป็นช่วงที่คุณพ่อยังไม่มีตังค์ขนาดนั้น เวลาทานข้าวกับแม่ก็ต้องทานจานเดียว แล้วคนที่เลือกได้คือเอ็ม เอ็มมีสิทธิ์เลือกได้ว่าเอ็มอยากจะกินกับอะไรราดข้าว แล้วพอเอ็มกินไม่หมด แม่ถึงจะได้กิน ถ้าเอ็มกินเยอะขนาดไหน ปริมาณน้อยๆ เขาก็กินได้แค่นั้นแหละ ถึงเขาจะลำบากแค่ไหน แต่เขาไม่ให้เราอดค่ะ เงินซื้อเสื้อผ้าซื้อนมก็ไม่มี ต้องไปรอให้คนในแฟลตโละชุดหรือรอคนที่เขาเอ็นดูเขาซื้อให้ ช่วงไหนมีงานมีเงิน คุณพ่อจะรีบซื้อนมมาตุนไว้ค่ะ”
พอเรารู้แบบนี้ เราได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่พ่อแม่ทำให้กับเรามากแค่ไหน?
“เห็นมากนะ ยิ่งเราโตขึ้นยิ่งเห็น ยิ่งแต่งงานยิ่งเห็นชัดขึ้น เอ็มว่ายิ่งถ้ามีลูกน่าจะยิ่งเห็นชัดอีก อาจเป็นเพราะว่าเราก้าวสู่จุดที่กำลังจะเป็นพ่อคนแม่คน ยิ่งถ้าเรามีลูก อะไรหลายอย่างที่พ่อแม่เคยทำให้เรามันจะสะท้อนให้เราเห็นว่าที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ก็ทำเพื่อเขาจริงๆ เนอะ ทำเพื่อลูกอย่างเดียว พอ่พูดเสมอว่าอะไรที่พ่อสอนพ่อบอก เอ็มอาจไม่เชื่อพ่อในวันนี้ แต่มีลูกแล้วเอ็มจะเข้าใจไปเอง ไม่ว่าเอ็มจะโตอายุเท่าไร มีลูกแล้ว แต่สำหรับพ่อ เอ็มก็คือเด็ก พ่อก็ยังเป็นห่วง อย่ามาบอกพ่อว่าไม่ต้องเป็นห่วงเอ็ม พ่อทำไม่ได้ เพราะยังไงแล้วพ่อแม่ก็ต้องเป็นห่วงอยู่ดี ไม่ว่าลูกจะประสบความสำเร็จขนาดไหน มันจะมีจุดที่เขารู้สึกว่าเป็นห่วงเหมือนเป็นเด็กๆ”
เวลาพ่อแม่เห็นข่าวเราตามสื่อต่างๆ อย่างเช่นเรื่องอวดรวย เรื่องเกาเหลา ติดศัลยกรรม ฯลฯ เขาเป็นห่วงหรือว่าไงบ้าง?
“ถ้าเป็นคุณพ่อ คุณพ่อไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลอยู่แล้ว แต่คุณแม่เล่น เวลาคุณแม่เล่นแล้วอ่านอะไร คุณแม่เขาไม่ได้ทำงานเบื้องหน้าและไม่ได้อยู่เบื้องหลัง เขาไม่ได้สัมผัสว่าเขาควรจะต้องวางตัวยังไงดีเวลาเจออะไรแบบนี้ บางทีก็มีนะที่เขาอ่านแล้วไม่ชอบที่มีคนมาว่าลูกเขา เขาก็จะปรี๊ดขึ้นมา บางทีเราก็ต้องบอกแม่ว่าอย่าไปสนใจเลย เขาเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักเราแต่ก็มาเขียนด่าเรา คือแม่เป็นคนที่ใครมาว่าอะไรฉันได้ แต่อย่ามาว่าลูกฉันผัวฉัน
อย่างข่าวเอ็มอวดรวย ติดศัลยกรรม เอาจริงๆ เอ็มไม่ซีเรียสนะ เอ็มแค่รู้สึกว่าโซเชียลมันเป็นทางนึงที่เอ็มจะได้อัพเดตรูปของเอ็ม คือบางทีเอ็มระวังมากจนเอ็มไม่ได้ลงอะไรที่เอ็มอยากลง บางทีเราลงเฉยๆ ว่าวันนี้เราไปกินซูชิร้านที่เราอยากกิน ทำไมคนถึงมองว่าอวดรวย ในเมื่อเราลงรูปของกินเหมือนคนอื่นที่เขาลง เวลาจะลงรูปตัวเองสะพายกระเป๋า เอ็มต้องพลิกแบรนด์ไม่ให้เห็นแบรนด์เลยอะ เพราะกลัวคนมาว่าอ๋อ จะอวดกระเป๋า
เอ็มอยากให้เขาเข้าใจว่าเฮ้ย เราก็เหมือนเขาน่ะแหละ เวลาไปร้านดีๆ เราก็อยากจะลงบ้าง แล้วเราก็ไม่ได้ไปทุกวัน อย่างเวลาซื้อของเอ็มจะไม่ลงรูปเลยนะ เพราะเอ็มรู้สึกว่าคนจะมองว่าเราอวดรวย ทั้งที่เราอาจจะรู้สึกว่าของชิ้นนี้อยากได้มากเลย เก็บตังค์มาตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นลงก็จะไม่โดนว่า แต่พอเป็นเราลงปุ๊บก็เรียบร้อย จะโดนว่าพ่อแม่ติดดินแต่ทำไมลูกใช้ตังค์เยอะจัง
มีวันนึงเอ็มโพสต์แฮปปี้เบิร์ธเดย์วันเกิดคุณพ่อ แล้วมีภาพคุณพ่อตั้งแต่ทุกช่วงที่มีความสุขตั้งแต่เอ็มยังเล็กมาจนถึงพ่อจูงเอ็มเข้าพิธีแต่งงาน แล้วพ่อร้องไห้ในงานแต่งงาน เอ็มก็พิมพ์ไปว่าเอ็มไม่ได้ภูมิใจนะที่พ่อเอ็มเป็นซุปเปอร์สตาร์ เอ็มภูมิใจที่เอ็มได้เกิดมาเป็นลูกพ่อมากกว่า เราก็โพสต์อวยพรคุณพ่อปกติเหมือนทุกปีที่เอ็มลง แต่พอลงก็มีคนนึงมาคอมเมนต์ว่าถ้าพ่อมึงไม่รวย ไม่มีชื่อเสียง จะมาพิมพ์อย่างนี้ไหม
เอ็มก็เลยตอบเขาไปว่าอย่าอคติกับเอ็มนักเลย เอ็มก็แค่อยากจะลงอวยพรวันเกิดพ่อ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นที่จะขึ้นกูขึ้นมึง คำว่าพ่อมันไม่มีข้อแม้หรอก คุณเลือกพ่อได้เหรอ เอ็มก็เลือกพ่อไม่ได้เหมือนกัน เอ็มจับสลากได้พ่อคนนี้มา และนี่คือโชคที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเอ็ม แล้วคนอื่นก็มารุมด่าคนนี้ว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า (หัวเราะ) คือบางทีมีใครมาว่าเราก็ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่พิมพ์เบาๆ ที่เหลือคนที่รักเราเขาจะเข้ามาปกป้องเราเอง
อย่างเวลามีข่าว บางคนมาเขียนว่าทำไมขยันเป็นข่าวจัง เป็นดาราก็ไม่ใช่ แล้วบางทีเอ็มอยากบอกเขานะว่าบางทีเอ็มก็ลงรูปของเอ็มเฉยๆ บางทีเขาดูดรูปเอ็มไปทำเป็นข่าว เอ็มไม่ได้อยากเป็นข่าว เพราะเอ็มรู้ว่าเอ็มไม่ใช่ดาราอยู่แล้ว อยากให้เขาเข้าใจว่าเอ็มไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองแล้วส่งให้นักข่าวนะ คือนักข่าวเขาทำเอง แล้วถ้าเขาไม่ชอบเอ็ม เอ็มอยากให้เขามองเอ็มเป็นขี้ ขี้มีใครอยากยุ่งบ้างล่ะ อยากเหยียบยังไม่อยากเหยียบเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ชอบเอ็มก็ไม่ต้องสนใจเอ็ม ยิ่งมีข่าวเอ็มแล้วคุณมาคอมเมนต์ด่าเอ็มมากเท่าไร นั่นน่ะคือคุณให้ความสนใจเอ็ม แล้วมันก็จะมีข่าวเอ็มอีก เพราะพอลงก็มีคนเข้ามาด่า มีกระแส ถ้าเขาไม่สนใจเอ็มซะอย่างเอ็มก็จะหายไปเอง นักข่าวก็จะไม่ทำข่าวของเอ็ม”
ต้องระวังมากขึ้นไหม?
“ระวังมากขึ้น เพราะว่าโซเชียลถ้าไม่ให้ผลกับเราก็ให้โทษ จะพิมพ์อะไรต้องระวังอย่างแรง”
แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร ปล่อยวางมันได้?
“บางทีก็มีบ้างเหมือนกันที่รู้สึกว่าเกินไป อย่างข่าวอะไรที่เอ็มไม่รู้เรื่องแล้วไปชงให้ตีกันเอ็มไม่ชอบ อย่างข่าวเกาเหลากันเนี่ยเอ็มงง แล้วมันทำให้คนโจมตีเอ็ม อย่างข่าวเอ็มกับขวัญ (อุษามณี ไวทยานนท์) เอ็มงงมากเลย ตื่นเช้ามาก็งงว่าอะไรหว่า แล้วมีคนมาด่าเอ็ม เอ็มก็บอกว่าเดี๋ยว อย่าเพิ่ง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไปเขียนข่าวโยงฉันซะงั้น ตอนนั้นก็เครียดนะ น้อยใจ แค่รู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมเขียนอย่างนั้น แล้วเอ็มไม่ใช่ดารา แต่ขวัญเป็นดารา คนก็ต้องมองเอ็มลบมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาเขียนเอ็มแย่อะ”
อยากบอกอะไรคนที่อ่านข่าวเราแล้วมักจะวิจารณ์ด้านลบไหม?
“เอ็มอยากให้เขาเสพข่าวด้วยการอ่านให้มากกว่านี้ ไม่ใช่อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วด่าเลยซึ่งมีเยอะมาก และเขียนด่าเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่อ่านเนื้อหาอะไรเลย อยากให้เสพข่าวอย่างมีสติ ไม่ใช่เขาเขียนแบบไหนก็เชื่อเขาแบบนั้น เอ็มรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้พวกโซเชียลเชื่อคนง่ายมาก เขาพิมพ์ให้เป็นยังไงก็เชื่อว่าเป็นคนแบบนั้น อย่างตอนนี้มีคนว่าเอ็มเป็นคนขี้เหวี่ยง ขี้วีน เอ็มอยากให้เขารู้สึกว่าคนเราอยู่เฉยๆ จะไปเหวี่ยงไปวีนไหม มันก็ไม่เหวี่ยงไม่วีน มันต้องมีอะไรสิ มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาแสดงกิริยาแบบนั้น อยากให้เขากลับไปคิดถึงใจเขาใจเรา และอย่าตัดสินว่าใครเป็นคนแบบไหน คุณก็ไม่ได้รู้จักเขา แต่บางคนด่ายังกับสนิทกับเขา”
สุดท้ายฝากผลงานให้แฟนๆ ติดตาม?
“ยังไงก็ฝากภาพยนตร์ “ส่ม ภัค เสี่ยน” ด้วยนะคะ เข้าโรงภาพยนตร์ 31 ส.ค.นะคะ ยังไงฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย เพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เอ็มได้เป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ตั้งใจมาก หวังว่าจะทำให้คนดูดูออกมาพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะค่ะ”.