• หลงรักศิลปะตั้งแต่เด็ก ก่อนจะค้นพบชอบเพลงที่สุดเพราะได้เป็นตัวเอง
  • จากเด็กน้อยเก็บตัว โตขึ้นกลายเป็นศิลปินตามรอยพ่อแม่
  • ชีวิตศิลปินฝึกหัดที่ไม่ง่าย ฝึกหนักจนท้อ เป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ อยากทำให้ดีทุกอย่าง

เติบโตเป็นศิลปินตามรอยคุณพ่อคุณแม่แบบเต็มตัวแล้ว สำหรับ ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ นักร้องหนุ่มหน้าใสขวัญใจสาวๆ วัย 18 ปี จากค่ายเพลงน้องใหม่ G’NEST ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ลูกชายสุดรักของ 2 ศิลปินดัง นิโคล เทริโอ และ แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม ซึ่งก่อนที่จะเป็นศิลปินก็กวาดคะแนนหัวใจจากสาวๆ เพราะความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งยังมีความสามารถทางด้านเพลงด้วย เรียกว่าดีเอ็นเอความเป็นศิลปินไม่ต่างจากคุณพ่อคุณแม่เลยทีเดียว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนน้องทิกเกอร์มาร่วมพูดคุยย้อนรอยเส้นทางศิลปินที่ฉายแววมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งเริ่มฝึกด้านดนตรีอย่างจริงจังเมื่อคุณแม่อยากให้ลองเรียนกีตาร์ ก่อนจะไปเรียนร้องเพลงและได้โอกาสดีไปออดิชันจนได้รับเลือกเป็นศิลปินฝึกหัด แต่เส้นทางนี้ไม่ง่าย เพราะต้องใช้เวลาฝึกฝนนานนับปี กว่าที่จะมีผลงานเพลงแรกในชีวิตออกมา

...

ลูกไม้หล่นใต้ต้น

ด้วยความที่ทิกเกอร์เติบโตมาในครอบครัวศิลปิน เพราะทั้งคุณพ่อคุณแม่ต่างเป็นศิลปินเหมือนกันทั้งคู่ ถามว่าซึมซับเรื่องเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยไหม ทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ ซึมซับแต่ไม่ได้โดยตรงจากพ่อแม่ ผมเปิดฟังเพลงแม่ เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตว่าดนตรีมีความน่าสนใจ แตกต่างจากเพลงอื่นๆ ตอนนั้นผมไม่รู้ทฤษฎีดนตรีเลย แค่ฟังแล้วไลน์ประสานเสียงเจ๋งมาก หรือคอร์ดในเพลงนี้เจ๋งมาก

ถามว่าเริ่มชอบฟังเพลงเมื่อไร จำไม่ได้ครับ แต่น่าจะก่อนอายุ 10 ขวบ ประมาณ 6-7 ขวบมั้งที่เริ่มฟัง คือตอนนั้นผมซึมซับศิลปะเยอะมาก เปิดการ์ตูน เปิดหนัง เครื่องเล่นซีดี ผมจะดูหลายอย่างมากๆ หลงรักศิลปะตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยมีโอกาสเข้ามาเริ่มเรียนกีตาร์หรือการถ่ายทำหนังครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็ชอบเพลงที่สุดเพราะมันเป็นตัวเรา มันน่าจะอยู่ในดีเอ็นเอด้วยครับ แต่ถ้าเป็นความสามารถในการทำเพลงอันนั้นผมต้องไปเรียนเองครับ

ส่วนเพลงของคุณพ่อ ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้ฟัง แต่ช่วงที่ผมเป็นศิลปินฝึกหัดผมก็จะฟัง เพราะรู้ว่าเขาเป็นมือแจ๊สที่ทำเพลงร็อก ก็มีกิมมิกอะไรเล็กน้อยที่เขาใส่เข้าไป มีความแจ๊สในเพลงร็อก ฟังแล้วจำได้ ฟังออกครับว่าอันนี้คือความเป็นศิลปินของคุณพ่อครับ

แต่จริงๆ มีช่วงนึงที่ผมไม่ค่อยอินกับเพลง เป็นช่วง 10-11 ขวบ ช่วงนั้นเป็นนักเรียน เป็นเด็กซนๆ ไม่มีอะไรที่อินกับดนตรี แล้วคุณแม่ก็อยากให้ผมเรียนกีตาร์ เพราะวันแม่เราจะมีโชว์ที่ จ.เชียงใหม่ อยากให้ลูกเล่นกีตาร์แล้วแม่ร้อง ผมก็โอเคได้ เพราะผมอยากเรียนมานานแล้ว แต่ไม่เคยขอเรียน ก็เลยเรียนไป ช่วงแรกๆ ก็ยังไม่อินเพราะมันฝึกยาก แต่พอเล่นไปสักพักก็เริ่มอิน เล่นได้โดยธรรมชาติ ไม่ต้องคิดมาก เป็นช่วงที่โอเค อยากเป็นศิลปินแล้ว

ถามว่าโชว์แรกที่เล่นกีตาร์กับคุณแม่เป็นยังไง ดีครับ แต่ผมไม่ได้มองคนดูเลยครับ เพอร์ฟอร์มแย่มาก (ยิ้มเขิน) คุณแม่เพอร์ฟอร์มอยู่คนเดียว คือผมเขิน กังวลครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่รู้ว่าการเพอร์ฟอร์มสนุกขนาดไหน เพราะผมกังวลเกินไป เป็นโชว์ที่ผมแค่อยากเล่นกีตาร์ให้ถูกต้อง โฟกัสแค่กีตาร์ ไม่ได้โฟกัสกับการเพอร์ฟอร์ม ก็ตื่นเต้นนิดนึง”

เราถามต่อว่าหลังจากนั้นต่อยอดมายังไง ทิกเกอร์เล่าว่า เขาก็เรียนกีตาร์ต่อ ฟังเพลงเยอะมาก พอฟังเพลงไปก็ชอบไลน์กลอง ก็ขอคุณแม่ซื้อกลอง ซึ่งคุณแม่ก็บอกว่าได้ เพราะถ้าเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองเขาก็สนับสนุน

...

“เขาก็ซื้อกลองอิเล็กทริกให้ หลังเลิกเรียนทุกวัน ผมกลับบ้านและฟังเพลงว่ามือกลองเขาตียังไง ตีตรงไหน บางทีดูคอนเสิร์ตที่เขาเล่นสด แต่ไม่เคยเรียนกลองเลย แค่นั่งฟังคนเดียวและแกะเอง ฝึกหลาย ชม.ทุกวัน ฝึกเองสนุกกว่าครับ จริงๆ ครูเขาสอนดี แต่พอต้องเรียนมันรู้สึกจริงจังเกินไป ผมชอบค้นหาด้วยตัวเองครับ ก็น่าจะฝึกอยู่คนเดียวในด้านดนตรีอยู่ 3-4 ปี ก่อนที่จะเป็น Trainee (ศิลปินฝึกหัด) ครับ”

ถามว่าเคยคิดอยากเป็นศิลปินตามรอยพ่อแม่หรือไม่ ทิกเกอร์บอกว่า “ในช่วงที่ผมค่อยๆ เก่งขึ้น เริ่มทำเพลงเองตอนปี 2016-2017 จากแอป Garage Band ในโทรศัพท์ ช่วงนั้นผมเริ่มมีความฝันว่าอยากเป็นศิลปิน 100% แล้ว ถ้าไปทางอื่นอาจจะไม่ค่อย Fulfill ครับ”

หนทางสู่ศิลปิน

จากนั้นเราถามถึงที่มาของการมาเป็นศิลปินฝึกหัด ซึ่งทิกเกอร์เล่าว่า ในช่วงนั้นอินกับละครเวทีที่โรงเรียน และเพิ่งเล่นมิวสิคัล ช่วงนั้นร้องเพลงไม่ได้ ร้องแบบไม่มีเทคนิค ก็เสียดาย อยากฝึกร้องเพลงแล้ว ผมก็เลยไปที่ G-vocal ที่แกรมมี่ ผมก็ไปด้วยตัวเองกับคุณแม่ ไปเรียนเองครับ พอเรียนไปประมาณปีนึง ครูสอนร้องเพลงบอกว่ามีค่ายใหม่เปิดออดิชันนะ อยากลองไปออดิชันไหม

เราก็โอมายก๊อด เป็นโอกาสที่เราพยายามหามาตั้งนาน แต่ตอนนั้นยังไม่ชัวร์ เพราะผมไม่เคยเล่นกีตาร์หรือร้องเพลงให้ใครฟังเลยครับ ในห้องออดิชันอันนั้นเป็นวันแรกที่ผมร้องและเล่นกีตาร์ให้ฟังเลย ซึ่งผมตื่นเต้นมากครับ มือสั่น แต่ก็ต้องฝืนนิดนึง (หัวเราะ) ต้องมองพี่ๆ ผู้ใหญ่ที่อยู่ในห้อง ก็เนียนๆ ไป (ยิ้ม) สุดท้ายก็มาอยู่ที่ G’NEST ครับ”

แต่เมื่อถามว่าหลายคนมองว่าการเป็นลูกศิลปิน โอกาสในการเข้ามาน่าจะมีมากกว่าคนอื่นๆ ทิกเกอร์บอกว่า “ผมก็เข้าใจนะครับ คพ่อแม่เป็น Legacy ของจีเอ็มเอ็ม ลูกก็อยู่ในจีเอ็มเอ็ม แต่จริงๆ การมีพ่อแม่ที่มีชื่อเสียง ผมก็ได้รับโอกาสที่ดีมากๆ หลายอย่าง ผมคิดว่าผมโชคดีมากกว่าที่มีพ่อแม่แบบนี้ จริงๆ ผมก็ต้องเทรนด้วยครับตั้ง 3 ปี มันไม่ได้ผ่านอะไรมาง่ายๆ ผมต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย การเป็นศิลปินไม่ได้ง่ายด้วย มันมีรายละเอียดหลายอย่างครับ”

...

เราถามถึงการที่ทิกเกอร์เป็นศิลปินเดี่ยวเบอร์แรกของค่าย G’NEST ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เขาบอกว่าไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นศิลปินเดี่ยวกับค่ายที่ลงทุนและใส่ใจกับคุณภาพของงานมากขนาดนี้ ซึ่งเขาคิดว่าโชคดีมากที่ได้รับโอกาสเข้ามาอยู่ในค่ายนี้ และมาร่วมงานกับพี่ๆ ในค่ายทุกคน ให้อิสระในการทำงานเยอะมาก ให้แชร์ไอเดีย อยู่เบื้องหลังการทำงานด้วย ที่ผ่านมาในช่วงที่เป็นศิลปินฝึกหัดทางค่าย ทุกเดือนเขาจะต้องส่ง Playist รวมเพลงที่ชอบ สไตล์แฟชั่นที่ชอบ วิดีโอที่ชอบ และค่ายจะส่งข้อมูลให้โปรดิวเซอร์ เพื่อดึงตัวตนออกมาให้ได้มากที่สุด

ช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นศิลปินยากมากน้อยแค่ไหน นักร้องหนุ่มบอกว่า “ไม่ได้ยาก แต่ทุกอย่างเป็นชาเลนจ์ตอนเทรนครับ ผมนึกว่าแค่เล่นกีตาร์ได้ ร้องเพลงได้ แต่จริงๆ มีมากกว่านั้น ตอนอยู่บนเวทีถ้าอยากดูแบบธรรมชาติ ต้องมีพื้นฐานการเต้นนิดนึง ตอนนั้นต้องฝึกร้อง เต้น แร็ป พัฒนาตัวเองในการแต่งตัวชีวิตประจำวัน วิธีการทำผม เรียนทุกอย่างเลยครับ ถามว่าอันไหนหนักใจสุด เต้นครับ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ผมเปิดใจมากๆ กับการเต้น เพราะก่อนเข้ามาเทรนผมไม่เคยเต้นเลย ซึ่งมันยากมาก ผมก็เทรนนานกว่าพี่ๆ วง PERSES ด้วยครับ ต้องใช้เวลามากๆ ในการเทรนเป็นศิลปินครับ

...

จริงๆ ผมมีความเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์นิดนึง อยากทำให้ดีทุกอย่าง อยากพัฒนาตัวเองให้เก่ง ตอนที่ผมรู้สึกท้อมันก็มีบ้าง ไม่เคยเต้นมาก่อน แล้วมาเต้นแบบจริงจัง เทรนแบบจริงจังมากๆ ก็เลยมีแอบรู้สึกท้อบ้าง เราก็ดูว่าวันนี้เราพลาดตรงไหน จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ยังไง ต้องพัฒนาตัวเองยังไง ผมก็จะฝึกอยู่คนเดียว เรียนต่อ และเพิ่มคลาสอีกครับ”

ถามว่าคุณพ่อคุณแม่ให้คำปรึกษายังไงในช่วงที่เทรน ทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ เขาเตือนผมตลอดให้เป็นตัวเอง ตอนเทรนก็ทำให้เต็มที่ แต่พออยู่บนเวทีก็ปลดปล่อยทั้งหมด อยู่บนเวทีต้องรู้สึกสบาย ต้องทำให้มันเต็มที่ แฮปปี้ ไม่มีความกังวลครับ แต่เค้าก็สนับสนุนกับเส้นทางนี้มาตั้งแต่วันแรกแล้วครับ ตอนเทรนเขาก็ถามว่าเทรนเหมือนเกาหลีเลยเหรอ ผมก็บอกว่า I think so (ผมคิดอย่างงั้น) เขาก็โอ้ ดีๆ”

R U OK?

ทิกเกอร์เล่าถึงการเดบิวต์ซิงเกิลแรกในชีวิต “R U OK?” ว่า ไม่คิดว่าเพลงแรกจะออกมาดีขนาดนี้ รู้สึกแฮปปี้มากๆ พร้อมทั้งเผยว่า “ตื่นเต้นครับ ตอนฟังเพลงวันแรก และฟัง Finish Product ก็โอเคเพลงนี้ดีมาก (ยิ้ม) เพลงนี้มีพี่ปณต Getsunova เป็น Executive Producer และมีโปรดิวเซอร์จากฝั่งยุโรปกับเอเชียมาช่วยทำดนตรีให้ เป็นป๊อป R&B เนื้อหาเพลงเป็นแนว positive move on ครับ

ผมกับพี่ปณตเรา collaborate ในการคิดคอนเซปต์ของเพลงนี้ครับ แต่พี่ปณตเป็นคนเขียนเนื้อเพลง แต่ผมเป็นคนที่นึกคอนเซปต์อันแรกคือ Are you OK? จริงๆ ไอไม่โอเคแต่ยังแคร์อยู่ ยังอยากรู้ว่าเธอโอเคมั้ย แต่พี่ปณตอยากให้มีความหักมุม มีความพิเศษ น่าสนใจมากขึ้น คือความเป็นมนุษย์ก็มีแอบคิดถึง เศร้าๆ บ้าง แต่สุดท้ายก็มูฟออนครับ เป็นเพลงที่ผมชอบมากครับ (ยิ้ม)

ด้านดนตรี ตอนผมทำเพลงอยู่ที่บ้านเก็บไว้ส่วนตัว เป็นการฝึกทำเพลง ก็จะออกแนวแปลกๆ เหมือนกำลังค้นหาตัวเองอยู่ การทำเพลงป๊อปหรือเพลงที่สดใสสำหรับผมก็ยากนิดนึง แต่พอได้ยินก็คือว้าว มันดีขนาดนี้ได้ ทั้งเป็นการเรียนรู้และเป็นเพลงที่ชอบด้วยครับ ถามว่ามีส่วนร่วมในพาร์ตดนตรีเยอะไหม ก็มีครับ เป็นการ collaborate กับพี่ปณตครับ และผมเพิ่มไลน์กีตาร์เข้าไป ดีไซน์ไลน์ประสานร้อง กับวิธีการร้องบางท่อนครับ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เพลงมาจนถึงวันที่ปล่อย ผมอยู่เบื้องหลังด้วยครับ”

ในส่วนมิวสิกวิดีโอ ทิกเกอร์บอกว่า “พี่วัฒน์ ผู้กำกับ เขาทำไอเดียที่ตรงใจผมมากๆ จากข้อมูลที่ค่ายให้พี่เขา แล้วผมไม่ได้ขอเปลี่ยน พอเห็นบรีฟที่เขาเสนอมาก็แฮปปี้มากๆ ส่วนตอนต้นเอ็มวีที่มีคุณพ่อคุณแม่ จริงๆ อันนี้เป็นเพลงแรกของผม เป็นเพลงเดบิวต์ ผมก็อยากให้มีพ่อแม่อยู่ในเอ็มวีด้วย ผมเคารพ legacy ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ด้วย เพราะคุณพ่อคุณแม่สำคัญใน legacy ของแกรมมี่ครับ”

ถามว่าคุณพ่อคุณแม่ว่าไงบ้าง เขาบอกว่า “เรื่องที่เห็นเขาในเอ็มวีเขาไม่ได้พูดอะไร แต่เรื่องคุณภาพของงานเขาชมตลอด (หัวเราะเขิน) ชมเยอะมากครับ ความเป็นพ่อแม่เหมือนภูมิใจในลูก ผมก็เขิน (ยิ้ม) แล้วจริงๆ ผมก็ชอบเพลงของพ่อแม่ด้วยครับ ผมก็เห็นเขาเป็นศิลปินด้วย”

ฟีดแบ็กที่กลับมาจากแฟนๆ ทิกเกอร์บอกว่าดีกว่าที่คิดไว้ จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ไม่นึกว่าฟีดแบ็กจะดีขนาดนี้ “มีคนบอกว่าภาษาไทยทิกเกอร์ชัดขึ้นเยอะมาก (ยิ้ม) เพลงน่ารักมาก และผมอ่านคอมเมนต์อันนึงที่บอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาก และเพลงนี้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น มูฟออนได้ ฮีลใจด้วย

ผมก็โห...ถ้าเพลงผมทำให้คนฟังรู้สึกแบบนี้ได้ก็แฮปปี้มากๆ ไฟพุ่งเลยครับ (ยิ้ม) กับกระแสตอบรับก็แอบตื่นเต้นมาก มันเป็นผลงานผมเอง ผมอยู่กับมันตั้งแต่วันแรก จะชินแค่ฟังอยู่คนเดียว พอมีคนอื่นได้ฟังแล้วมีกระแสตอบรับดีมาก ก็รู้สึกแฮปปี้มากๆ”

ในการทำเพลงคุณพ่อคุณแม่แนะนำอะไรมั้ย ทิกเกอร์ตอบว่า “จริงๆ ไม่มี เพราะผมเก็บเป็นความลับ เขารู้ว่าผมกำลังทำเพลงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเพลงอะไร จะออกมายังไง ไม่เปิดให้ฟังเลย อยากให้มันเป็นเซอร์ไพรส์ พอเจอแบบนี้เขาก็เซอร์ไพรส์ครับ (ยิ้ม) คุณแม่แฮปปี้จนร้องไห้”

จากนั้นทิกเกอร์เล่าถึงโมเมนต์เล่นโชว์งานแรกในชีวิตว่า “ก็ได้ไปเล่นในงานปีใหม่ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซึ่งเป็นโชว์แรกของผมเลย วันเกิดผมเลย ก็พร้อมที่จะโชว์ให้คนดู พร้อมสนุกบนเวที จริงๆ วันนั้นเกือบร้องไห้เพราะเป็นโชว์แรก แต่ก่อนงานปีใหม่ผมร้องไห้ไม่หยุด ไม่หล่อเลย (ยิ้ม) มันเป็นความรู้สึกดี แฮปปี้จนร้องไห้”

หนุ่มน้อยขวัญใจสาวๆ

เมื่อถามถึงกระแสความฮอตที่ตั้งแต่ยังไม่เดบิวต์เป็นนักร้อง ก็มีโอกาสไปออกรายการต่างๆ บางครั้งก็มีภาพอยู่ในอินสตาแกรมของคุณพ่อคุณแม่ และมีคนกรี๊ดกร๊าด ชมความน่ารัก ถามว่าได้อ่านคอมเมนต์บ้างไหม เขาบอกว่า “อ่านบ้างครับ (ยิ้ม) แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อ่านเยอะ เพราะในช่วงที่ฝึกก็ไม่ได้อยู่กับโทรศัพท์บ่อย เลยโฟกัสไปที่งานมากกว่า แต่พอได้อ่านก็เขินครับ โอมายก๊อด (ยิ้มเขิน) มีคนคิดแบบนี้ด้วยเหรอ”

ถามว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงเรื่องการวางตัวอย่างไรบ้างไหม นักร้องหนุ่มตอบ “จริงๆ น่าจะมีตอนเด็กๆ ครับ เพราะตอนนั้นน่าจะสำคัญ คือมันคอนโทรลเด็กน้อยยากก็เลยต้องสอน แต่พอผมโตขึ้นก็เชื่อว่ารู้วิธีการกระทำเวลาอยู่ข้างนอก เขาก็เลยชิลมากๆ สบายๆ หลักๆ เขาจะสอนเรื่องการเพอร์ฟอร์ม อันนั้นเป็นสิ่งที่ผมเคยกังวลมากๆ ในช่วงเทรน ความมั่นใจเป็นอุปสรรคอันนึงที่ผมเจอบ่อย เพราะผมไม่รู้ว่าคนดูจะคิดยังไง ยังมีความกังวล ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แต่พอเทรนไปสักพักแล้วเหมือนเพิ่มเทคนิคทุกอย่าง ผมก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น จริงๆ การเต้นมันต้องมีความมั่นใจด้วย การเทรนสอนให้ผมมั่นใจในตัวเอง ซึ่งผมรู้สึกดีมากๆ ที่ได้เทรนครับ”

พอถามว่าแม่มีหวงลูกชายไหม สาวๆ กรี๊ดเยอะแบบนี้ ทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ ครอบครัวสบายมากๆ (หัวเราะ) ไม่มีความกังวลเลยครับ เหมือนเขาเชื่อใจว่าวันนึงผมจะหาคนที่เข้ากับเราได้ครับ” ส่วนเรื่องความรักแบบปั๊ปปี้เลิฟ เจ้าตัวบอกว่า “จริงๆ ก่อนมาเป็นศิลปินฝึกหัดเคยมีครับ แต่พอมาเป็นศิลปินฝึกหัดผมโฟกัสที่งาน ก็ไปหมดแล้วครับ (ยิ้ม) คือมันหนักแต่หนักในแง่ที่ดีครับ เพราะผมโฟกัสทุ่มเทพลังกับมันได้ เลยโฟกัสกับงาน 120% ให้ 3000% เลยครับ (ยิ้ม) สนใจแต่เรื่องงานมากกว่า เรื่องความรักยังไม่ได้โฟกัสเลยครับ ถ้ามีตอนนี้ผมก็โฟกัสที่งาน แล้วมันอาจจะไม่แฟร์ อาจจะไม่มีเวลาให้เขา ก็จะรู้สึกผิดครับ”

เมื่อถามถึงสเปกสาวที่ชื่นชอบ ทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ ผมไม่มีสเปกครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องมี ต้องเข้าใจกันและกัน เป็นคนใจดี และสำคัญสำหรับผมคือต้องชอบเพลงแนวเดียวกัน คือถ้าผมเปิดเพลงให้ฟังเขาจะไม่พูดว่าไม่ชอบเพลงนี้ คือต้องเป็นคนที่เปิดใจกับเรื่องดนตรี แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ชอบจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน จริงๆ ผมเป็นคนที่ฟังเพลงหลายแนวเหมือนกันครับ ผมเปิดใจกับดนตรีในหลายแบบครับ แต่ตอนนี้สนใจงานมากกว่า ไม่มีเวลาคุยกับเพื่อนด้วยครับ (หัวเราะ) แต่ก็ยังมีเพื่อนอยู่นะ (ยิ้ม)”

เคยเป็นเด็กเก็บตัว

พอแซวว่าสัมภาษณ์กันมาเป็นครึ่ง ชม. ยังมีเกร็งๆ ไหม เพราะในช่วงแรกดูค่อนข้างเกร็ง หนุ่มทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ ผมเป็นคนนิ่งๆ ครับ ถ้าอยู่คนเดียวจะอยู่นิ่งๆ หลายคนก็จะไม่กล้าทัก กลัวผมจะเกร็งหรือไม่รู้จะพูดยังไง แต่พอทักทายก็พร้อมคุย ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่จริงๆ ก็เคยเป็นคน Introvert (เก็บตัว) ก็เลยอาจจะเป็น Habit (นิสัย) เก่าๆ เคยมีความ Introvert ค่อนข้างสูง แต่ตอนนี้ผมเป็นคนที่โอเพ่นมากๆ แต่อาจจะ Habit เก่าๆ ที่นั่งนิ่งๆ อ่านยากนิดนึง แต่ตอนนี้ก็พยายามสื่อสารความร่าเริงแฮปปี้ของผมให้ทุกคนเห็นครับ

การเป็นศิลปินฝึกหัดทำให้อยู่กับคนรอบข้างตลอดเวลา ความที่ผมเป็นเด็กอินเตอร์ เวลาคุยกับเพื่อนปกติจะพูดภาษาอังกฤษ เลยไม่ค่อยได้ฝึกพูดคุยภาษาไทยในแบบภาษาพูดคุย ผมจะคุยภาษาไทยกับผู้ใหญ่อย่างเดียว ก็จะคุยเป็นแบบสุภาพๆ แต่ไม่เคยมีพูดแบบสบายๆ พอเป็นศิลปินฝึกหัดผมก็ได้คุยกับหลายคนมากขึ้น เข้าใจมุมมอง วิธีการพูดคุยกับเพื่อนๆ มากขึ้น ได้ใช้ภาษาไทยเยอะขึ้น เข้าใจมากขึ้น เลยไม่ค่อยเป็น Introvert แล้วครับ

แต่ก็ยังมีติดพูดคำอังกฤษบ้างเวลานึกไม่ออกครับ แม้ตอนนี้ยังไม่เพอร์เฟกต์ แต่ก็ยังมั่นใจในสิ่งที่ผมมีครับ อย่างกับคุณแม่ก็พูดภาษาอังกฤษ แต่กับพี่เลี้ยงจะพูดภาษาไทย อันนั้นพูดแบบเก่งสุด เพราะพูดกับพี่เลี้ยงตั้งแต่เด็กก็เลยไม่เกร็งเลย แต่พอพูดกับคนอื่นจะมีความเกร็ง ตอนนี้พยายามมากๆ ที่จะพูดให้ชัดๆ ดีๆ ให้คนเข้าใจ ซึ่งแฟนๆ ก็บอกว่าภาษาไทยชัดขึ้นมาก ก็เป็นสิ่งที่ผมกังวลที่สุดครับ”

ถามว่าคาดหวังกับการเป็นศิลปินมากน้อยแค่ไหน ทิกเกอร์บอกว่า “จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมากครับ อยากให้คนดู แฟนๆ ได้เห็นความตั้งใจ ความใส่ใจกับผลงานของผมที่ออกมา เห็นว่าเราตั้งใจทำกันขนาดไหน แค่นั้นก็แฮปปี้แล้วครับ เพราะคุณภาพของงานคือดีมากๆ (ยิ้ม) ก็อยากให้ทุกคนเห็น แม้จะชอบหรือไม่ชอบ ทุกคนมีความคิดเห็นของตัวเอง ไม่มีอะไรเลยครับ แค่เขาได้เห็นผลงานและชอบก็แฮปปี้แล้วครับ”

สุดท้ายทิกเกอร์ฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานว่า “อย่างแรกฝากผลงานเพลงของผมด้วยนะครับ (หัวเราะเขิน) ฟังได้ตามช่องทางสตรีมมิงแพลตฟอร์มทุกอัน ดูเอ็มวีได้ที่ยูทูบ gnest_official ครับ ฝากติดตามโปรเจกต์มินิอัลบั้มของผมด้วยนะครับ รวมถึงช่องทางโซเชียลของผมได้ที่อินสตาแกรม @tiggerachira และยูทูบ Tigger Theriault ครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Anon Chantanant