ต้องสารภาพว่าตัดสินใจไปดู “It Ends with Us” เพราะอยากดูการแสดงของ “เบลค ไลฟ์ลี” ทั้งเพราะติดใจคาริสม่า และด้วยความคิดถึงล้วนๆ เพราะจะว่าไปแล้ว เราก็ชอบการแสดงของเธอเกือบทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะเรื่องนี้ นอกจากคาริสม่าของเธอจะรุนแรงและดึงดูดเหมือนเคยแล้ว การตีความบท “ลิลลี่ บลูม” ของเธอก็น่าประทับใจมาก
“It Ends with Us” เป็นเรื่องราวของ “ลิลลี่ บลูม” (เบลค ไลฟ์ลี) หญิงสาวจากเมืองเล็กๆ ที่ตัดสินใจย้ายจากบ้านเกิดไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเปิดร้านดอกไม้เล็กๆ ในบอสตัน และที่นี่เองเธอได้เจอกับ “ไรล์ คินเคด” (จัสติน บัลโดนี) ศัลยแพทย์หนุ่มรูปงามที่ตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
แรงดึงดูดระหว่าง ลิลลี่ และ ไรล์ ไม่ใช่เรื่องที่มองข้ามกันได้ ทั้งสองตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็วและเร่าร้อน และเรื่องราวของทั้งคู่ควรจะจบลงด้วยการแต่งงาน มีลูก เหมือนอย่างนิยายรักดาษดื่นทั่วไป ถ้าหากลิลลี่จะไม่ค้นพบตัวตนอีกด้านของ ไรล์ เข้าเสียก่อน
เอาความรู้สึกแรกก่อน… เพราะรู้มาว่า “It Ends with Us” สร้างมาจากนวนิยายประโลมโลกขายดีของ “คอลลีน ฮูเวอร์” เลยไม่ได้คาดหวังแม้จะไม่เคยอ่าน เพราะคิดว่าตัวเองคงเดาเรื่องได้ ซึ่งครึ่งแรกก็เป็นไปตามนั้น เรื่องรักเร่าร้อนของหนุ่มหล่อสาวสวย โปรไฟล์เริด ที่เคยทำให้คนอ่านเคลิ้ม คนดูเวอร์ชันภาพยนตร์ก็อาจจะรู้สึกไม่ต่างกัน กระทั่งถึงครึ่งหลัง ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนไป…
...
แน่นอนว่ามันไปในทางที่ดีขึ้น “ลิลลี่ บลูม” ในครึ่งแรกเหมือนนางเอกนวนิยายประโลมโลกทั่วไปที่คาดเดาได้ และมีจริตที่น่าหมั่นไส้ในบางที ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าเบื่อไปสักหน่อย แม้ว่าจะรับบทโดยนักแสดงที่มีคาริสม่าเป็นเลิศอย่าง “เบลค ไลฟ์ลี” ก็ตาม แต่ “ลิลลี่ บลูม” ในครึ่งหลัง กลับทำคะแนนตีตื้นมาอย่างรวดเร็วและน่าประทับใจมาก
เรื่องราวในครึ่งหลัง เผยให้เห็นอีกด้านของความสัมพันธ์ที่ไม่สวยหรู แต่เต็มไปด้วยความร้าวรานและเจ็บปวด เพราะพิษรักแรงหึงซึ่งเป็นแรงผลักตามปกติของหนังแนวนี้ ตามมาด้วยความรุนแรงในความสัมพันธ์ที่ดันไปกระตุ้นความทรงจำในอดีตของ ลิลลี่ อย่างช่วยไม่ได้ และเรื่องก็ดูจะยุ่งเหยิงกว่าเดิมเมื่อ “แอตลาส คอร์ริแกน” (แบรนดอน สเกล็นนาร์) “อดีตคนรัก” ที่ลิลลี่ไม่เคยลืม ปรากฏตัว!
การมาถึงของ แอตลาส ทำให้ ไรล์ หัวเสียมาก แน่นอนว่า ลิลลี่ เข้าใจว่าเขาหึง แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอกลับทำให้บาดแผลเก่าๆ ที่เธอเคยคิดว่าหายดี เกิดอักเสบขึ้นใหม่ ถึงตรงนี้ หลายคนคงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรในความสัมพันธ์ระหว่าง ลิลลี่ และ ไรล์ แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เราประทับใจหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องราวหลังจากนี้ต่างหาก
“It Ends with Us” รักไม่ได้ชนะทุกอย่าง
เรามักจะใจสลายเสมอเมื่อต้องดูหนังที่พูดถึงความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะประเด็นที่มีเด็กมาเกี่ยวข้อง ทั้งเพราะสงสารในชะตากรรม และเพราะเศร้าใจที่เรื่องแบบนี้มักเป็นต้นเหตุของเรื่องที่แย่กว่าในอนาคต เรื่องราวของ ลิลลี่ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงกับเธอ แต่เธอก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวนั้นมาไม่น้อย รวมทั้งความสัมพันธ์กับ แอตลาส ที่ต้องจบลงตั้งแต่เพิ่งเริ่ม
บาดแผลในวัยเด็กของ ลิลลี่ บาดลึกมากกว่าที่เธอจะรู้ตัว การกระทำของ ไรล์ ทำให้เธอได้มีโอกาสทบทวนความรู้สึกตัวเอง และตัดสินใจจะรับมือกับ “ปัญหา” ที่ซ่อนอยู่อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
เราชอบที่ “ลิลลี่ บลูม” ในครึ่งหลังมีสติมากกว่าที่เราคิด แม้จะยังรัก ไรล์ แต่เธอก็เด็ดเดี่ยวมากพอ และน่าจะต้องยกความดีให้ทีมสร้าง ผู้กำกับ และตัวเบลคเอง ที่เลือกเก็บรายละเอียด ทุกความรู้สึก ความสับสนที่เธอต้องเจอ กว่าจะตัดสินใจให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นไปตามชื่อเรื่อง คือ “It Ends with Us”
...
“It Ends with Us” เรื่องรักที่ไม่ใช่แค่เรื่อง “รักสามเส้า”
น่าขำที่เราเคยเข้าใจตอนเห็นชื่อเรื่องครั้งแรกว่ามันคงเกี่ยวกับ “รักสามเส้า” (ซึ่งแม้ว่ามันจะมีกลิ่นอายอยู่หน่อยๆ ระหว่าง ไรล์-ลิลลี่-แอตลาส แต่มันก็ไม่ใช่ใจความหลัก) แต่เรื่องจริงกลับกินใจความกว่านั้น เพราะสิ่งที่ต้อง “End” ไม่ใช่แค่ความรัก แต่รวมถึงความรุนแรงในความสัมพันธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตหากดันทุรังอยู่ด้วยกันต่อ
และใจความสำคัญที่ได้จากเรื่องนี้เองที่เราประทับใจมาก โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ที่เบลค ผู้รับบท ลิลลี่ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี แม้เราจะรู้จากประสบการณ์ว่ามันต้องเป็น Dialogue ที่มาจากหนังสือแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ มันทั้งทรงพลังและทำให้เราฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันคงไม่ใช่แค่คำพูดที่ช่วยปลดปล่อย ลิลลี่ แต่น่าจะช่วยบอกไปถึงคนดูด้วย โดยเฉพาะคนที่กำลังเจอ Dilemma เดียวกันให้ “ปลดแอก” ให้ได้สักที
“It Ends with Us” จากนวนิยายรักขายดี สู่หนังรักดราม่าที่มีดีกว่าที่คิด
...
จะว่าไปหนังก็มีฟีลแบบ “พลังหญิง เพื่อนหญิง” สอดแทรกและแทรกซึมผ่านเนื้อหาแนวประโลมโลกที่ผู้ชมและคนอ่านผู้หญิงส่วนมากคุ้นเคยดี แน่นอนว่าในฐานะคนชอบอ่านหนังสือ คิดว่าการทำแบบนี้ แม้จะเป็นมุกเก่า แต่ก็ได้ผลเสมอ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เราได้ฉุกใจคิด หรือทบทวนความคิดตัวเอง
เช่นเดียวกับคอหนัง ถูกละว่ามันไม่ใช่มุกใหม่ แต่ส่วนตัวก็คิดว่าหนังทำออกมาได้ดีทีเดียว ทั้งเก็บรายละเอียด และพยายามส่งสารสำคัญที่ต้องการสื่อมาให้ถึงคนดูให้มากที่สุด โดยไม่ได้เผยให้เห็นฉากการกระทำที่รุนแรงมากนัก เหมือนหนังเรื่องอื่นที่พยายามเสนอประเด็นเดียวกัน
เอาเป็นว่าหนังดีกว่าที่เราคิดไว้มาก ละเรื่องที่บางองค์ประกอบอาจไม่สมเหตุสมผล ตามประสาหนังรักประโลมโลกทั่วไป แต่สิ่งที่แฝงมากับเรื่องต่างหากที่สำคัญ และอยากให้คนดูได้มีโอกาสไปสัมผัส รับรองว่าคุณจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้มากกว่าที่คุณคิดแน่นอน