“ลีซาน อัลไกอีบ”
ชื่อศาสดาผู้ยิ่งใหญ่จากคำทำนายตามความเชื่อของชาวเฟรเมน วนเวียนเข้าหูตลอดการดู Dune: Part Two จนหลอนว่าเรากำลังดูหนังไซไฟอยู่จริงๆ ใช่ไหม (ฮ่าๆ) แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าใจเรื่องมากขึ้นด้วยว่าความเชื่อนี้อาจจะเป็นต้นตอหายนะหลายๆ อย่างในภาคแรก
Dune: Part Two เป็นเรื่องราวไม่นานหลังเหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำตระกูล “อะเทรดีส” อย่าง “ดยุค ลีโต อะเทรดีส” (ออสการ์ ไอแซค) โดยกลุ่มบ้าอำนาจอย่าง “ฮาร์คอร์แนน” นำโดย “บารอน วาลเดอเมียร์ ฮาร์คอร์แนน” (สเตลเลน ซาร์สการ์ด) และหลานชายจอมโหดอย่าง “แรบแบน” (เดฟ บาทิสต้า) ความสูญเสียนี้ทำให้ “เลดี้เจสสิก้า” (รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) และ “พอล อะเทรดีส” (ทิโมธี ชาลาเมต์) ไม่มีทางเลือก ต้องระหกระเหินในทะเลทราย เข้าสู่ “ดูน” ที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วย “หนอนยักษ์ทะเลทราย” หรือ “ไช-ฮูลูด” จนกระทั่งทั้งคู่ได้เจอกับกลุ่มนักรบชาวเฟรเมน นำโดย “สติลการ์” (ฮาเวียร์ บาร์เดม) และ “ชานี” (เซนดายา) หญิงสาวในความฝันของพอล ที่จะทำให้ชะตาชีวิตของพอลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
...
เอาจริงๆ กลัวหลับมาก สารภาพว่าเพราะไม่ใช่แฟนตัวยงหนังแนวไซไฟเท่าไร แถมภาคแรกก็ดูจบด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยอินนัก สำหรับภาคนี้...ส่วนตัวคิดว่ามีเรื่องมีราวมากกว่าภาคแรกมาก โดยเฉพาะปมปัญหาหลายๆ อย่างที่เคยคาใจจากภาคแรก หลายคนก็น่าจะได้คำตอบในภาคนี้
โดดเด่นที่สุด คือกองทัพนักแสดงที่เป็นนักแสดงระดับเอลิสต์ ไม่ว่าจะเป็น “ทิโมธี ชาลาเมต์” (รับบท “พอล อะเทรดีส”), “เซนดายา” (รับบท “ชานี”), “รีเบคก้า เฟอร์กูสัน” (รับบท “เลดี้เจสสิก้า”), “จอช โบรลิน” (รับบท “เกอร์นีย์ ฮอลเลค), “ออสติน บัตเลอร์” (รับบท “เฟย์ด-รอว์ธา), “ฟลอเรนซ์ พิวห์” (รับบท “เจ้าหญิงอิรูลาน”), “เดฟ บาทิสต้า” (รับบท “แรบแบน”), “ชาร์ลอตต์ แรมพลิง” (รับบท “แม่ใหญ่โมเฮียม”), “สเตลเลน ซาร์สการ์ด” (รับบท “บารอน วาลเดอเมียร์ ฮาร์คอร์แนน”), “ฮาเวียร์ บาเดม” (รับบท “สติลการ์”), “คริสโตเฟอร์ วอลเคน” (รับบท “องค์จักรพรรดิ์”), และ “เลอา เซย์ดูย์” (รับบท “เลดี้มาร์กอต เฟนริง”) และทีมสร้างมือรางวัลระดับโลกที่เป็นทีมเดิมจากภาคแรก รวมทั้งผู้กำกับ เดอนี วีลเนิฟว์ (Denis Villeneuve) ที่ครั้งนี้เขามาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ Dune: Part Two อีกครั้ง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันอลังการจริงๆ ที่สำคัญควรค่าแก่การไปดูในโรงมาก เพราะองค์ประกอบการเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งงานภาพ งานออกแบบศิลป์ แสง สี รวมถึงดนตรีประกอบนั้นทรงพลังมากๆ
องค์ประกอบศิลป์ และ Visual Effects ถือเป็นจุดแข็งหลักของ Dune เลยทีเดียว ภาคแรกว่าทำได้ดีมากๆ แล้ว การันตีด้วยการชนะรางวัลออสการ์ในสาขาเหล่านี้ในปี 2022 ภาคสองก็ไม่ทำให้เสียชื่อ การออกแบบถูกต่อยอดให้ชวนตะลึงกว่าเดิม พร้อมรายละเอียดต่างๆ ที่สำหรับคนไม่เคยอ่านหนังสืออย่างเรา ถือว่าเหนือจินตนาการมากๆ กระนั้น สารที่แฝงอยู่ในงานออกแบบสร้างเหล่านี้ก็ช่วยเล่าเรื่องและสื่อสารอารมณ์ของเนื้อหาช่วงนั้นๆ ได้อย่างดี...แบบที่เราแอบเห็นว่าเป็นหนังไซไฟที่ดูง่ายกว่าที่คิด
...
ที่เราประทับใจมากอีกอย่างคือดนตรีประกอบ ภาคนี้ยังคงรังสรรค์โดยนักประพันธ์เพลงมือรางวัลคนเดิม คือ “ฮาน ซิมเมอร์” ซึ่งฮานก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมันทั้งทรงพลังและชวนขนลุกในบางช่วงอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะฉากขี่หนอนยักษ์ทะเลทรายที่เราเกือบได้เห็นในภาคแรกแต่ก็ชวดไป ภาคนี้มาให้เห็นกันแบบจุกๆ แล้วเราก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้ว…หนอนยักษ์ทะเลทรายนี่น่ารักและเชื่อฟังมากกว่าที่คิด!
...
นอกจากนี้ Dune: Part Two ยังโดดเด่นเรื่องงานภาพที่ถูกออกแบบให้สื่อสารได้อย่างทรงพลังและมีศิลปะ ส่วนตัวคิดว่าที่เราไม่เบื่อภาคนี้ก็เพราะงานภาพที่เนี้ยบขึ้น การออกแบบที่ถูกคิดและสร้างสรรค์มาอย่างดี แปลกตาและทำให้สมองเราตื่นตลอดเวลาเพราะพยายามจะตีความองค์ประกอบในภาพว่ามันมีที่มาที่ไปมาจากไหน
...
ในส่วนของเนื้อเรื่องก็เข้มข้นขึ้น อาจเพราะมีการปูเนื้อหามาจากภาคที่แล้ว ปมปัญหา คำทำนาย และความฝันอันเป็นปริศนาก็ค่อยๆ คลี่คลายในภาคนี้ สารภาพว่าเราจำเนื้อหาภาคแรกไม่ค่อยได้ หลังดูภาคสองจบเลยย้อนไปดูภาคแรกใหม่แล้วรู้สึกว่าภาพรวมของหนังดูสนุกขึ้นมาก สารสำคัญต่างๆ ที่แฝงมาในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ความศรัทธา การเมือง และอำนาจ ต่างถูกนำมาตีแผ่ให้ชัดขึ้นในภาคนี้ ที่สำคัญตัวละครต่างๆ ก็มีพัฒนาการในแบบที่ชวนน่าค้นหา โดยเฉพาะตัวละคร “พอล อะเทรดีส” ที่พัฒนาจากชายหนุ่มอ่อนไหว แลดูลังเลตลอดเวลา เป็น “พอล มอดดีบ” นักรบเฟรเมนผู้แข็งแกร่งและลึกลับ และ “ชานี” นักรบหญิงชาวเฟรเมนที่ภาคนี้เราจะได้รู้จักเธอมากขึ้น นอกเหนือจากที่เราเคยรู้จักเธอในภาคแรกว่าเป็นหญิงสาวในความฝันของพอล
หนึ่งในพัฒนาการของตัวละครหลักอย่าง “พอล” และ “ชานี” คือเรื่องราวความรักของทั้งคู่ โดยใน Dune: Part Two นี้ นอกจากจะได้ตกหลุมรักกันอย่างเป็นทางการในภาคนี้ ทั้งคู่ยังต้องเจอจุดเปลี่ยนและบทพิสูจน์ครั้งสำคัญอีกด้วย แต่จะเป็นอุปสรรครูปแบบไหน ทางเราจะไม่สปอยล์ให้เสียเรื่อง ลองเข้าไปดูแล้วทายกันดูสิว่าจะเป็นขวากหนามแบบไหน…รับรองได้ว่าไม่ใช่เรื่องชิงรักหักสวาทแน่ๆ (ฮ่าๆ)
เอาเป็นว่าโดยรวมเป็นหนังไซไฟที่ไม่น่าเบื่อ และน่าจะเป็นหนึ่งในหนังฟอร์มยักษ์ที่สุดของปีนี้ด้วย ใครชอบแนวนี้ก็อย่าพลาด แนะนำว่าควรเข้าไปดูในโรงเพื่ออรรถรสที่มากขึ้น แต่ขอเตือนไว้นิดนึงว่าหนังค่อนข้างยาว ผู้ชมควรเตรียมตัวให้พร้อม เพราะขอบอกเลยว่าการลุกออกจากโรงระหว่างหนังยังไม่จบ แม้จะเพียงแวบเดียวก็อาจจะทำให้พลาดฉากสำคัญได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็จะเสียดายแทนมากๆ โดยเฉพาะครึ่งหลังที่มีแต่ฉากเหนือจินตนาการรอคุณๆ อยู่
มาดามอองทัวร์
Twitter: @MadamAutuer