เป็นประสบการณ์การดูหนังดราม่าครอบครัวที่แปลกใหม่ ทั้งหดหู่และกินใจไปในเวลาเดียวกัน
ใครว่าการแต่งงานเป็นจุดจบของทุกอย่าง...
ถ้ามีคนบอกว่าการ “รัก” ใครสักคนทำให้เรา “สติ” หลุดได้มากขนาดไหน ขอให้ลองมาดู “Marriage Story” จะได้รู้ว่าการ “เลิก” รักใครสักคนก็ทำให้ “สติ” แตกไม่แพ้กัน
ทำใจไว้แล้วตั้งแต่ก่อนดูว่าคงจะ “เครียด” แต่ก็ไม่คิดว่าหนังจะทำให้เรา “สติแตก” ขนาดนี้ บอกเลยว่าหนังมีหลากอารมณ์มาก ตั้งแต่ รักหวานชื่นไปจนโกรธเกลียดจนมองหน้ากันไม่ติด
เอาจริงๆ...จัดเป็นประสบการณ์ใหม่ของการดู “หนังรัก” ที่เรียกว่าเป็นหนังรักเพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดก็มาจาก “ความรัก” และมันก็พังเพราะ “ความรัก” อีกเช่นกัน
...
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า...”Marriage Story” ไม่ได้เป็นหนังรักของคู่รักหวานแหวว หรือแม้แต่คู่แต่งงานที่พยายามหาทางกลับมาหวานชื่น แต่มันเป็นเรื่องราวของ “คู่แต่งงาน” ที่กำลังเดินทางมาถึงทางตัน
“ชาร์ลี” (Adam Driver) และ “นิโคล” (Scarlett Johansson) คู่แต่งงานที่อยู่กินกันมาหลายปี มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ทั้งสามอยู่ด้วยกันที่นิวยอร์ก ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้บรรยากาศที่ทุกคนมองว่ามัน “โอเค” กลับมี “ระเบิดเวลา” ซ่อนอยู่
หนังเริ่มต้นที่การทำความรู้จักตัวละครหลักทั้งสองคือ “ชาร์ลี” และ “นิโคล” ทั้งสองเป็นศิลปินคร่ำหวอดในวงการละครเวทีและทีวีมานาน กระทั่ง “ชาร์ลี” ประสบความสำเร็จในฐานะผู้กำกับละครเวที ส่วน “นิโคล” ก็ตัดสินใจรับงานแสดงทีวีที่แอลเอ (Los Angeles)
ส่วนตัวคิดว่าคาแรกเตอร์ของตัวละครหลักทั้งสองมีความน่าสนใจมาก มันมีความกลมและ “เรียล” อย่างบอกไม่ถูก คือเป็นคาแรกเตอร์ที่พบเห็นได้ทั่วไปและไม่น่าจะมีปัญหา แต่ก็เพราะเรื่อง “เรียบๆ” นี่แหละที่หลายคนมองข้าม และนี่น่าจะเป็นความเจ๋งของหนังที่ทำให้เราเห็นความยากลำบากของการใช้ชีวิตคู่ โดยเฉพาะเรื่องการปรับตัว ในแบบที่หนังเรื่องอื่นไม่มี
...
นับว่า “เคมี” ของทั้ง “Adam” และ “Scarlett” เข้ากันได้ดีทีเดียว เอาจริงๆ...เราแอบรู้สึกขัดกับส่วนสูงที่แตกต่างของทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องมากๆ แต่การแสดงของทั้งคู่ก็ทำให้เรื่องสมูทได้ไม่ยาก แม้จะ “หดหู่” กับการห้ำหั่นระหว่างสองสามีภรรยาแต่เราก็อด “ลุ้น” ไม่ได้ว่าเรื่องราวของทั้งคู่จะไปจบลงที่ตรงไหน
นอกจากความสัมพันธ์ (ลุ่มๆ ดอนๆ) อันสมจริงของคู่สามีภรรยาแล้ว หนังยังนำเสนอ “มิติ” อื่นๆ ของการแต่งงาน ทั้งบทบาทความเป็นพ่อแม่ สามีภรรยาและที่เป็นโฟกัสของเรื่องนี้เลยคือ “การหย่าร้าง” ที่นำมาซึ่งความเสียสติของคนทั้งคู่
...
“การหย่าร้าง” ที่ในปัจจุบันแทบจะกลายเป็นเรื่องสามัญธรรมดา แต่ใครจะรู้ว่ากระบวนการของมัน โดยเฉพาะที่ผ่านการฟ้องร้องจะ “เลือดเย็น” และ “น่าอับอาย” ขนาดไหน...
แน่นอนว่าหนังเค้นให้มีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นมากมายระหว่างกระบวนการหย่าร้างของ “ชาร์ลี” กับ “นิโคล” แต่มันก็สะท้อนความจริงในยุคปัจจุบันได้ดีว่า “การหย่าร้าง” อาจไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนเมื่อต้องผ่านการฟ้องร้อง แต่มันจะกลายเป็นเรื่องลูกตุ้มหนักๆ ถ่วงคอทั้งสามีและภรรยาคู่กรณีและคนรอบตัวไปจนกว่าเรื่องจะจบ
ที่สำคัญ...หนังยังสะท้อนและจงใจเสียดสีกระบวนการหย่าร้างผ่านฟ้องร้องว่ามันอาจไม่ใช่แค่เรื่องการเรียกร้องความยุติธรรมให้แค่คู่สามีภรรยาและบุตรธิดา แต่มันเป็นเรื่องของ “ธุรกิจ” ที่ทนายความจะกอบโกยผลประโยชน์จากความขัดแย้งนี้
...
แต่ที่มันเหนือไปกว่านั้นคือนอกจากตีแผ่ด้านมืดของ “ชีวิตแต่งงาน” และ “การหย่าร้าง” หนังยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของ “การสื่อสาร” ของคนยุคนี้ที่นับวันจะพูดกันตรงๆ น้อยลงทุกที ทำให้ต้องมี “คนกลาง” ที่ในบางกรณีอาจทำให้เรื่องเลวร้ายลงกว่าเดิม
คำว่า “สาวไส้ให้กากิน” น่าจะเป็นหนึ่งในหลายๆ คำที่นึกถึงตอนดูหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะฉากที่ห้ำหั่นกันระหว่างทนายสองฝั่งที่ต่างก็ขุดเรื่องเลวร้ายของแต่ละฝ่ายมาประจานต่อหน้าศาลและคณะลูกขุน น่าแปลกที่ซีนแบบนี้น่าจะพบเห็นได้บ่อยๆ ในศาลครอบครัว น่าจะเป็นเรื่อง “ธรรมดา” แต่ไม่รู้สิ...สำหรับเรามัน “หดหู่” และ “สะเทือนใจ” มากที่คน “เคยรัก” (เอ๊ะ...หรือก็ยังรัก) ต้องมารบรากันด้วยวิธีการ “ป่าเถื่อน” และหยาบคายเช่นนี้
สุดท้ายที่นึกถึงหลังดูจบคือประโยคที่ว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน” แน่นอนว่าครอบครัวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อมีปัญหา อะไรก็ไม่สำคัญเท่าคนสองคนที่ใช้ชีวิตคู่กันต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อพูดคุยและเปิดอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หาไม่แล้ว...เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อาจกลาย “เป็นเรื่อง” ได้เหมือนในเรื่องนี้
เราเขียนถึงช้าไปหน่อยแต่คิดว่าหนังดีทีเดียว ส่วนตัวคิดว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับหนังรักดราม่าครอบครัวที่ไม่เคยเจอในหนังเรื่องไหน ที่สำคัญหนังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้ด้วย ถ้าอยากรู้ว่าหนังน่าลุ้นให้ได้รางวัลหรือไม่ก็ลองไปดูกันได้ทาง #Netflix นะคะ
มาดามอองทัวร์
@MadamAutuer
XXXXXX