เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ยูทูบเบอร์สาว มิ้วกี้ ไปรยา อนันตรทรัพย์ ของขึ้นแบบสุดๆ เมื่อเจ้าตัวถูกขโมยแหวนแบรนด์ดัง 3 วง ระหว่างไปแฮงก์เอาต์ และปรากฏว่าคู่กรณีเป็นคนในกลุ่มด้วยกัน ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 2 แสนกว่าบาท และเมื่อได้แหวนคืนก็พบว่าแหวนถูกขยายถูกตัดจนหลวม งานนี้เจ้าตัวจึงแจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีในข้อหาลักทรัพย์ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ได้เจอ มิ้วกี้ มาร่วมงานเปิดตัวเครื่องประดับคอลเล็กชั่นพิเศษ SWAN x PPW ณ Gallery Ver ซ.นราธิวาสราชนครินทร์ 22 นักข่าวเลยถามถึงความคืบหน้าของคดี
ถามถึงความคืบหน้าเรื่องคดี?
“ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการทางกฎหมาย เดี๋ยวเราเข้าไปสอบสวนอีก 1 รอบแล้วเดี๋ยวก็ขึ้นศาลละ”
ทางคู่กรณีได้เข้ามาคุยไหม?
“ไม่มีค่ะ เขาก็ยังลงรูปใช้ชีวิตแบบปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เขาไม่มีท่าทีจะมาติดต่อหรือขอเจรจาเลยเหรอ?
...
“ไม่มีเลย เอาจริงๆ ทางเราก็คิดว่า ถ้าเกิดว่ามีการมาพูดคุยก็อาจจะคุยกันได้ แต่ทางเขาก็ไม่มี และยังใช้ชีวิตแบบไม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ ต้องบอกอย่างนี้ว่าวันที่เราไลฟ์ คู่กรณีโทรเข้ามาเยอะมาก โดนเคสที่คล้ายๆ กันเยอะมากประมาณ 10 กว่าเคส ซึ่งเรามีหลักฐานและเราก็มีเบอร์ทุกคนที่โทรเข้ามาเล่าให้เราฟัง ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ๆ หลายๆ คนก็ไม่กล้าที่จะเอาเรื่องอะไร”
เขารู้จักกับเราระดับไหน?
“เพิ่งรู้จักกันเอง”
ความเสียหายนี้ประมาณเท่าไหร่?
“ประมาณ 2 แสนกว่า ต้องบอกก่อนเพราะหลายคนนึกว่าเป็นแฟน ไม่ได้เป็นแฟน ไม่มีสถานะ ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เป็นคนรู้จักกัน”
แต่ก็มีคนถามว่าเขาเข้ามายังไง เพื่ออะไร แบบไหน?
“จริงๆ ก็เหมือนเพื่อนไปแฮงก์เอาต์กันเป็นกลุ่มใหญ่”
แต่ทำไมเขาถึงสามารถเอาของส่วนตัวของเราไปได้?
“อันนี้บอกตามตรงว่าเราก็อาจจะไว้ใจคนมากไปหน่อย ก็ไม่รู้เลยว่าหยิบไปตอนไหนสมมติว่าเหมือนเราไปเที่ยวกับเพื่อน เราวางของไว้แล้วก็ไม่คิดว่าใครจะหยิบไป แล้วก็เอาจริงๆ ตอนที่ของหายในหัวเราภาวนาขอให้อย่าเป็นเขาด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาเป็นคนใหม่ในกลุ่มที่เพิ่งจะเข้ามา แล้วเราภาวนาขอให้อย่าใช่เขา เพราะมันจะเสียความรู้สึกมากๆ ขอให้มันเป็นของหายแบบหาไม่เจอดีกว่า”
เขาตัดแหวนทิ้ง 1 อัน คือจากการสันนิษฐานแล้วเป็นการตัดแหวนเพื่อที่จะขยายให้ใส่ได้ แล้วอีกวงหนึ่งก็เหมือนเป็นการตีขยายเพื่อให้วงมันใหญ่ขึ้น ซึ่งมิ้วกี้เป็นคนนิ้วเล็กมากๆ ซึ่งแหวน 3 วงก็กลับมาในสภาพก็คือถูกขยายมาหมดเลย ก็จะมี Bvlgari 1 วง มี Cartier ที่นัท นิสามณีซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด มูลค่าประมาณ 100,000 บาทที่ถูกตัดมาแล้ว แล้วก็มี Prada 1 วงที่ถูกตีโปร่งมา แล้วก็มี Bvlgari ที่ซื้อเองอีก 1 วงซึ่งถูกขยายมา แล้วกลายเป็นหลวม แล้วเหมือนใส่ทุกนิ้วก็คือหลวมหมดเลย”
ตอนแรกคิดไหมว่าจะได้คืนกลับมา?
“คือตำรวจต้องขอเบอร์ทุกคนที่อยู่ในคืนวันนั้น แล้วจะต้องโทรหาแต่ละคน แล้วพอโทรไปปุ๊บเขาก็ยอมรับเลยว่าแหวนอยู่ที่เขา”
เขายอมรับแต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่จะขอโทษ?
“เขาบอกแหวนอยู่ที่ผม แต่ผมไม่ได้ขโมย”
เพื่อนในกลุ่มเราที่พาเขาเข้ามา เขาว่ายังไงบ้าง?
“จริงๆ ก็ไม่ได้มีเพื่อนคนไหนที่พาเข้ามาหรอกนะคะ แต่มิ้วกี้ไปเจอเขาอยู่ที่งานอีเวนต์หนึ่ง หนูไม่อยากไปโทษหรือพาดพิงถึงใคร คือเรารู้จักของเราเอง”
ต่อไปนี้ต้องสแกนเพื่อนมากขึ้น?
“ตอนนี้ก็คือต้องระวังตัวมากจริงๆ ไม่กล้าใส่เครื่องประดับอะไรเลย เวลาไปเที่ยวข้างนอกก็ระวังตัวมากขึ้นมากๆ เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คือใส่โดยที่เราไม่คิดอะไร เราก็โลกสวย เราก็พูดตรงๆ เพราะเราเกิดมาก็ไม่เคยขโมยของใคร เราก็ไม่คิดว่าเราจะต้องมาถูกขโมยของ จริงๆ อยากเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคนนะ เพราะว่าเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย”
...
บางคอมเมนต์ก็บอกว่าเป็นความประมาทของเราเอง เพราะเราถอดทิ้งไว้?
“พูดอย่างนั้นได้ไหมก็พูดได้ แต่มันสมควรไหมที่เราวางไว้แล้วจะมาหยิบของเราไป มันใช่หน้าที่ของโจรไหมที่จะมาหยิบ อย่างนี้ต้องทำยังไงต้องซ่อนในกางเกงในตลอดเวลาหรือเปล่า คุณจะพูดแบบเห็นแก่ตัวไม่ได้ว่าคุณวางเอาไว้เองให้คนมาหยิบ คุณจะหยิบของคนอื่นไม่ได้ อ้างใครอ้างอะไรก็ได้"
หลังจากนี้เรามีมาตรการในการดูแลทรัพย์สินเรายังไง?
“คุณแม่ตอนนี้ก็เก็บริบไม่ให้ใส่แล้ว ตอนออกงานก็ใส่ชิ้นที่ราคาถูกที่สุดแล้วนะ”
แจ้งความข้อหาอะไรบ้าง?
“ลักทรัพย์”
อยากบอกอะไรกับคู่กรณี?
“แกก็อย่าใช้ชีวิตให้มันง่ายเกิน แกก็สำนึกนิดนึง แกก็อย่าทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ถามว่าหนูต้องการอะไรหนูอยากให้เขาติดต่อมา เช่น โทรหาผู้จัดการหนูก็ได้ เพื่อขอตกลงเจรจาพูดคุยว่าเราจะหาทางออกยังไงกันดี แต่เขาก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ขโมย มันติดตรงที่ไม่ได้ขโมยแล้วแหวนไปอยู่ที่เธอได้ยังไง แล้วแหวนถูกตัดได้ยังไงมันติดในใจตรงนี้
...
จริงๆ เรื่องมันอาจจะไม่ได้ใหญ่ก็ได้ ถ้าคุณยอมรับตั้งแต่แรก แล้วบอกขอโทษนะ มันอาจจะเป็นความประมาทหรือพลาดพลั้งของเราไป โดยที่เราไม่ได้คิด หรืออาจจะคิดน้อยไปหน่อย อาจจะมีความเคลียร์กันได้ หลายคนก็บอกว่าเพื่อนกันรู้จักกัน ต้องอย่างนี้เลยเหรอ เราก็คิดว่าก็เขาไม่สำนึก คนเราผิดให้อภัยได้ แต่ว่าคนผิดก็ต้องรู้จักสำนึกผิดด้วย”
ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด?
“ก็ต้องถึงที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องมีเคสต่อไป คือหนูจะต้องบอกแบบนี้ว่าจริงๆ มีหลายเคสที่โดน แต่เขาไม่กล้าที่จะออกมาแจ้งความเพราะ 1. อาย 2. กลัวโดนด่าแบบที่หนูโดนด่าว่าเธอประมาทเอง เธอนั่นนู่นนี่เอง เขาก็กลัวไง”
ขอย้อนไปนิดนึงว่าเคยคุยกับผู้เสียหายที่เขาโดนหลอกมาไหม?
“คุย 10 กว่าคนเลย แต่ละเคสมูลค่าความเสียหายก็เยอะอยู่ แต่ละเคสมันเป็นเคสที่ไม่คาดฝันดีกว่า เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่มีใครเอาเรื่องเขา หนูคิดว่าน่าจะเป็นที่นิสัยแล้วแหละ”
ตอนนี้เขากลับประเทศเขาไหม?
“ยังไม่กลับ เขาปักหลักอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เขาพูดไทยชัดแจ๋ว เขาเป็นต่างชาติแท้แต่พูดไทยชัดแจ๋ว”
...
ยังไงเราก็เอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ยอมความเด็ดขาด?
“ก็ไม่ยอม นี่ก็ผ่านมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่มีการมาขอเคลียร์ใดๆ”
แล้วตอนนี้เรื่องราวมันใหญ่โตมาก ถ้าเขามาขอเคลียร์แม่จะยอมเคลียร์ไหม?
“ถามคุณเกด (ผู้จัดการส่วนตัว) เขายอมไหมดีกว่า เพราะว่าเอาจริงๆ เราเองก็ต้องมีคนคอยให้คำปรึกษา เพราะบางทีเราคิดเองเออเองคนเดียว มันก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีสักเท่าไร บางทีเราอาจจะต้องมีเพื่อนคู่คิด และอาจจะต้องปรึกษาพี่เกดที่เป็นผู้จัดการเราที่เรานับถือเป็นพี่สาว ว่าเราจะเอายังไงต่อไปดี ว่ามันสมควรไหมที่จะให้อภัย ณ เวลานี้ เขาจะนึกผิดจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแค่ให้มันจบไป”
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม