- จากเด็กหญิงขี้กลัว สู่การเป็นนางเอกละครแบบไม่ได้ตั้งใจ
- จุดเปลี่ยนความคิด หลังเจอความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต
- สาเหตุห่างละครไปนาน 8 ปี บทบาทใหม่กับการเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เป็นอีกหนึ่งการสัมภาษณ์ที่สนุกและได้ข้อคิดดีๆ สำหรับรายการ “Level up” EP.15 ทางยูทูบ Thairath Online Originals ที่ครั้งนี้ มิ้นท์ อรชพร ได้มีโอกาสพูดคุยกับ เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ นางเอกแถวหน้าของเมืองไทย ถึงเรื่องราวตั้งแต่วัยเด็กที่เป็นสาวน้อยขี้กลัว สู่การเข้าวงการบันเทิงกลายเป็นนางเอกละครแบบไม่ทันตั้งตัว จนทำให้หลงรักงานแสดง แต่ชีวิตก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อสูญเสียคุณแม่ รวมไปถึงสาเหตุที่ห่างหายจากละครไปนานหลายปี และหยิบจับอีกหนึ่งบทบาท คือการเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ด.ญ.เชอรี่ สาวน้อยขี้กลัว
เชอรี่เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว ขี้อ้อน ช่างคุย คุณแม่เป็นคน จ.น่าน คุณพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ตอนคุณแม่ท้องก็ไปอยู่ จ.น่าน พอพี่ๆ เข้าเรียนก็มาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่เรายังไม่เข้าเรียน เลยอยู่กับคุณตาที่นั่น แล้วพอจะมากรุงเทพฯ คุณตาก็มีข้อแม้ว่าต้องเรียนโรงเรียนนี้เท่านั้นถึงจะให้มา เลยไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ชายพี่สาว คุณพ่อขับรถไปส่งทุกวันจันทร์ และรับกลับวันศุกร์ ไปอยู่กับคุณปู่คุณย่า
...
เราก็ร้องไห้ทุกอาทิตย์ว่าทำไมเป็นคนเดียวที่ถูกแยกออกไป ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ร้องอยู่ 2 ปี จนเขาใจอ่อนให้ออกจากโรงเรียนนั้นและกลับมาอยู่กับพี่ๆ ช่วงนั้นก็เข้า ป.1 พอดี ทำให้เป็นเด็กค่อนข้างขี้กลัวและขี้แย เด็กๆ เป็นคนตัวเล็กด้วย ดูน่าแกล้ง เพื่อนก็จะแกล้งเพราะอาจจะเอ็นดูความตัวเล็กของเรา แต่เราก็มีความซนเพราะมีพี่ชายเป็นหัวโจก และโดนพ่อตีทุกครั้ง
ตอนเด็กแม่จะบังคับเป็นลีดเดอร์ รำไทย ในขณะที่พ่อจะเน้นเรื่องการเรียน เข้มงวดทุกอย่าง อ่านหนังสือก่อนไปเรียน จนเราก็ขอเลิกทุกอย่างที่แม่ให้เรียน ซึ่งแม่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะให้สิทธิ์พ่อ แต่พอขึ้น ม.1 คุณพ่อก็ปล่อย แล้วมันมีวงโยธวาทิตก็เลยไปสมัครเพราะอยากเล่นดนตรี สมัครเล่นคลาริเน็ตเพราะชอบเสียง เล่นจนถึง ม.5-6 แล้วตอน ม.5 เรามาเป็นดรัมเมเยอร์ด้วย ตอนนั้นอาจารย์จะส่งวงโยธวาทิตเข้าประกวด มันต้องซ้อมหนักมากๆ เขาก็พยายามหาแล้วแต่ไม่มีใครซ้อมดรัมเมเยอร์หนักขนาดนั้น อาจารย์ก็เลยขอให้มาช่วย
สิ่งที่อยากเป็นมาตลอดคือสถาปนิก เป็นอาชีพเดียวที่ใฝ่ฝัน แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าเข้าวงการก่อน ตอนนั้นอยู่ ม.5 หลังจากเป็นดรัมเมเยอร์แป๊บนึง ก็มีเพื่อนคุณแม่ที่เป็นเพื่อนกับโมเดลลิ่ง แล้วเขาก็เอารูปเราไปไว้ ตอนนั้นยังดัดฟันอยู่เลย แล้วเขาก็เรียกไปแคสต์โฆษณา แคสต์ 6 ตัวก็ไม่ได้สักที พอครั้งที่ 7 เขาเรียกมา ก็บอกแม่ว่าถ้าครั้งนี้ไม่ได้ก็ไม่ไปแล้วนะ แต่ดวงคนเราต้องมาทำงานตรงนี้ สุดท้ายก็ได้โฆษณาตัวนั้น
เข้าสู่วงการบันเทิง
เชอรี่เล่าต่อว่า ตอนที่ไปแคสต์โฆษณาและเจอผู้ช่วยผู้กำกับที่บริษัทละครยูม่า เขาก็ถูกชะตาและชวนไปคุยที่ออฟฟิศ เราก็ไปแบบไม่คิดอะไร เขาก็อัดคลิปวิดีโอเอาไว้ ตอนนั้นอายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ไม่อยู่ พออายุได้ดูคลิปก็ชอบ เลยเรียกให้มาเรียนแอ็กติ้ง ตอนนั้นก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะตอนไปแคสต์โฆษณา เราทำอะไรไม่ได้เลย งานโฆษณาก็ได้เงินดี ถ้าเรามีความรู้ด้านแอ็กติ้งก็น่าจะไปแคสต์โฆษณาได้
แต่พอไปเรียนแค่ 3 ครั้ง ตอนนั้นยังทำอะไรไม่เป็นเลย พอเขาบอกว่าอาทิตย์หน้าจะมีเปิดกล้องละคร ให้เราไปแสดงเป็นนางเอกละครเรื่องแรก คือเรื่อง “โปลิศจับขโมย” ทางช่อง 3 เราก็ตกใจ เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ เราก็ร้องไห้อีกแล้ว เราก็ไม่เอา แม่บอกว่าอย่าทำให้เขาเสียเวลา ต้องรับผิดชอบ ก็ทะเลาะกันใหญ่โต จนพ่อบอกว่าเชอรี่ต้องรับผิดชอบแล้ว พ่อเห็นด้วยว่าเราทำให้เขาเสียเวลา เราก็โอเค ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดียวนะ
พอเปิดกล้องเล่นฉากแรกคือฉากเดินใน รพ. แต่เราก็ทำไม่ได้ ตอนนั้นเราอายุ 15-16 แต่ต้องเล่นเป็นนางพยาบาลอายุ 25 มันไม่เป็นธรรมชาติเลย แต่ทางกองก็ให้อภัยเพราะเป็นเรื่องแรก ตอนนั้นเล่นกับนักแสดงระดับท็อป ทั้งพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, พี่ต้น จักรกฤษณ์, พี่อู๋ ธนากร, พี่หน่อย บุษกร, พี่เง็ก กัลยา พี่ๆ ทุกคนก็น่ารักหมดเลย เขาคอยสอนคอยบอกเรา พอจบละครเรื่องแรกก็ลืมไปเลยว่าเคยพูดว่าจะเล่นแค่เรื่องเดียว พอเขาบอกว่าจะเปิดกล้องเรื่องใหม่ เราก็โอเค
...
ตอนนั้นเล่นเรื่อง “จับตายวายร้ายสายสมร” เล่นเป็นนักฆ่า จำได้ว่าอยู่ ม.6 กำลังจะเอ็นทรานซ์ วันนั้นแพ้อาหารแล้วผื่นขึ้น เล่นไม่ได้ จำบทไม่ได้ แล้วก็คัน โดนดุต่อหน้าทุกคนในกอง บอกเล่นไม่ได้ก็กลับบ้านไปเลย เราก็พยายามฮึบไว้ พอคัตก็วิ่งไปชายหาดแล้วร้องไห้ แล้วไปนั่งอ่านหนังสือริมทะเล อายุก็เดินมาดุซ้ำว่าเวลาอาเม้า ผู้กำกับฯ ดุ ให้เราฟังว่าเขาต้องการอะไร ให้เรามีวินัย ไม่ใช่มางอนซ้ำ
คือที่ค่ายละครยูม่ามีวินัยมากๆ ต้องรับผิดชอบงานตัวเอง และช่วยเหลือคนอื่นด้วย ซึ่งมันดีมากๆ เพราะทำให้เราไม่เคยคิดว่าเรามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น พอไปทำงานที่อื่น ผู้กำกับก็ทึ่งที่เราเป็นคนตรงต่อเวลา แต่มีเทอมหนึ่งที่ไปเรียนอย่างเดียวโดยไม่ต้องทำงานก็มีความสุขมาก สนุกกับการเรียน แฮปปี้ชีวิตมหาวิทยาลัย
จุดเปลี่ยนความคิดหลังสูญเสียครั้งใหญ่
ชีวิตการทำงานหลังเรียนจบ เป็นนางเอกเต็มตัว เชอรี่บอกว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พอเราเสียคุณแม่ตอนเรียนอยู่ปี 4 มันเลยมีจุดพลิกผันการทำงาน จากที่ทำงานหนัก เราเริ่มแบ่งเวลาให้ครอบครัว เราต้องจัดสรรเวลา แต่มันก็ทำให้เราทำงานหลากหลายมากขึ้นกว่าเล่นละคร ทำให้รู้ว่าเราไม่ชอบอะไร เป็นสิ่งหนึ่งที่เราใช้ในชีวิตว่า เราไม่มีทางรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบมันจริงๆ จนกว่าเราจะลองทำมัน อย่างงานแสดงเราไม่ได้มีแพสชันตรงนี้ แต่พอเรามาทำมันจริงจัง มันเป็นความสนุกกับการทำงาน ค้นพบว่ารักสิ่งนี้ พอบอกอายุว่ารักการแสดง อายุก็ดีใจมาก จากตรงนี้ทำให้เราค้นหาบทที่มีความท้าทายมากขึ้น
แต่พอมีชื่อเสียงมากขึ้น ชีวิตส่วนตัวก็หายไป ด้วยความเป็นคนขี้อาย โลกส่วนตัวสูง มีความเก้ๆ กังๆ ในการใช้ชีวิตเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเราคิดว่าต้องทำได้ เราต้องแยกโลก 2 ใบออกจากกัน เรามีอาชีพนักแสดงก็เหมือนคนทำอาชีพต่างๆ แต่โลกของเราก็จะเป็นตัวเราที่เล่นกับทุกคนตามปกติ แต่มันไม่ได้ เพราะชื่อเชอรี่มันมาแล้ว กว่าเราจะทำความเข้าใจมันใช้เวลา ตอนแรกรู้สึกต้องแลก เราคิดแต่ว่าเราต้องเสียอะไร แต่เราลืมมองไปว่าสิ่งที่เราได้มันก็เยอะมาก เราได้รับความรักมากมายจากคนที่เราไม่รู้จักด้วยซ้ำ ทำให้เรารู้สึกขอบคุณ
...
และการสูญเสียคุณแม่มันเป็นจุดสำคัญของเชอรี่ในการใช้ชีวิตต่อไป เพราะตอนนั้นเป็นความเสียใจครั้งใหญ่ในชีวิตที่เราไม่แน่ใจว่าเราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง แต่เราพยายามหาทางเยียวยาตัวเอง พอเราอยู่ได้ก็เข้าใจว่าทุกอย่างมันใช้เวลา ใช้การหาจุดสมดุลในการคิดของเราให้มันไปต่อได้
เมื่อถามว่าดึงตัวเองขึ้นมายังไง เชอรี่บอกว่า ด้วยความที่ผ่านความสูญเสียใหญ่ 2 ครั้ง คือสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ การรับมือเราเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น มันจะดีขึ้นถ้าเราไม่ไปเร่งมัน ถ้าเราไม่ไปโฟกัสกับเรื่องของเวลาว่าจะหายเมื่อไร ก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติเลยว่าถ้าเราต้องร้องไห้เสียใจ ก็อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ อ่อนแอก็ยอมรับ เมื่อไรที่มันจะหาย เดี๋ยวธรรมชาติจะบอกเราเอง
สาเหตุหายไปจากงานละคร
เมื่อถามว่าเล่นละครมากี่เรื่อง เชอรี่หัวเราะก่อนบอกว่าจำไม่ได้ เลิกนับแล้วด้วย แต่คิดว่าน่าจะเกือบ 30 เรื่อง พอถามว่าแล้ววันหนึ่งทำไมหยุดเล่นละครไป ทั้งที่เป็นอาชีพที่รักมาก มันเกิดอะไรขึ้น นางเอกสาวตอบว่า “เพราะเรารักมันนี่แหละ เราเลยมองหาในสิ่งที่เราทำแล้วจะมีความสุขเหมือนเดิมที่เราเคยผ่านมา พอหลังๆ มันเริ่มไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าเป็นยุคนี้คงใช้คำว่า Burn Out เพราะมันเหนื่อยมาก แค่จะตื่นมาอ่านบทและท่องมันให้ได้ เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้วต้องพัก”
...
เชอรี่บอกว่าตอนนั้นเบรกตัวเองไปเลย 2 ปี ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีละครติดต่อมาแล้วไม่รู้สึกว่าอยากเล่น ก่อนหน้านี้ที่นานสุดก็ 1 ปี แต่พอผ่านไป 2 ปีแล้วมีเรื่องที่อยากเล่นก็เล่น แต่พอเล่นเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่คิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายก็ได้ เราก็เล่นมันให้ดีที่สุดเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของเรา พอหลังจากนั้นมันไม่มีเรื่องที่เราอ่านแล้วว้าวอีกเลย
ผ่านไป 4 ปีก็คิดว่าสงสัยเรื่องนั้นน่าจะเรื่องสุดท้ายอย่างที่คิดไว้ แต่เราก็ทำมันเต็มที่แล้ว ด้วยความที่เรามาทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ความสนใจเปลี่ยน ความตื่นเต้นแววตาเป็นประกายไปอยู่กับสิ่งอื่นแล้ว พออ่านบทไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีเรื่องไหนดึงดูดเลย จนพอมารับเล่นเรื่องล่าสุด “ลมเล่นไฟ” ก็ห่างไป 8 ปีที่ไม่ได้รับละคร เห็นตัวเองในการถ่ายทอดตัวละคร “พระพาย” เราอยากเล่นแบบนี้ เริ่มมีความรู้สึกกลับมา เราเข้าใจแล้วว่าบางทีสิ่งที่เราคิดว่าเราหมดแพสชันกับมัน มันไม่จำเป็นต้องถาวร มันสามารถมีความรู้สึกกลับมาได้อีกถ้ามันเจอสิ่งที่ใช่
ความสนใจงานสิ่งแวดล้อม
เมื่อถามว่าอยู่ๆ ไปสนใจงานสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เชอรี่บอกว่า ก่อนหน้านั้นที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม เราชอบมีคำถามว่าแล้วคนตัวเล็กๆ อย่างเราจะทำอะไรได้กับเรื่องนี้ จะเป็นคำที่บ่นกับคุณพ่อตลอดเวลาเดินทางและเห็นปัญหา เมื่อก่อนเราจะคิดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยวิธีที่ได้ผลเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเราอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้จริงๆ ก็ต้องไปเรียนรู้ว่าทำอย่างไร
พอเรามีความรู้ มีข้อมูล ยิ่งทำให้รู้ว่าถ้าเราอยากทำอะไร เราต้องรู้จริง โชคดีมากที่จังหวะเวลาชีวิตที่มีมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงชวนไปลงพื้นที่ที่ จ.น่าน ไปดูปัญหาเขาหัวโล้น พอไปเห็นพื้นที่ที่มีปัญหา แล้วเขาใช้วิธีแบบไหนในการแก้ เราก็เกิดแรงบันดาลใจมาก กลับมาตั้งโครงการสิ่งแวดล้อมอันแรกของตัวเอง “Little Forest” คือการปลูกป่ายังไงให้ได้ป่า ทำต่อเนื่อง 3 ปี ปลูกต้นไม้ 2 หมื่นต้น วัดอัตราการรอดตาย ปลูกซ่อม วัดการโตทุก 3 เดือน
ช่วงนั้นก็มีคนหันมาทำงานด้านสิ่งแวดล้อมพอสมควร มันก็จะเป็นประเด็นว่าปลูกจริงหรือเปล่า ปลูกยังไงให้ได้ป่า ไม่เสียของเสียเวลา ช่วงนั้นโครงการต่างๆ โดนประเด็นนี้เยอะมาก เราก็เลยต้องรู้ข้อมูล ตอนนั้นก็มีคนวิจารณ์แต่เราไม่ได้เอาใจไปจดจ่อกับคำพูดคนอื่น เราทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าดี เราจะทำมันให้ได้
แต่มันจะมีประเด็นที่กระทบกับเราเวลาลงพื้นที่ พอเราเป็นนักแสดง แรกๆ คนตื่นเต้นขอถ่ายรูป แต่พอเราพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม เขาก็จะสงสัยว่าเรามีความรู้อะไรที่จะทำสิ่งนี้ แต่เราไม่คิดว่าเป็นความผิดเขา เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่พอเราทำและแสดงความจริงใจและความต่อเนื่อง มันเปลี่ยนไปเลย คนพื้นที่จากที่เห็นเราเป็นนักแสดง มีความสงสัยในสายตาเขา กลายเป็นเราเป็นลูกเป็นหลาน เป็นน้องในพื้นที่ที่เขาจะกวักมือเรียกไปทานข้าวกัน
ถามว่าเราได้ใช้ประโยชน์จากการเป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของประเทศให้มันเกิดประโยชน์กับสิ่งนี้ไหม นางเอกสาวบอกว่า “ไม่ค่อยได้คิดเลยจริงๆ ว่าเป็นนางเอกเบอร์ต้นของประเทศ ไม่ค่อยมีคำนี้ในหัวเลย เพราะฉะนั้นคำว่าคนตัวเล็กๆ มันเลยมีมาตลอดว่าเราจะทำสิ่งนี้ได้ยังไง
พอเราลงพื้นที่ มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าพอเราไปแล้วเราพูดเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม เขาบอกว่าเชอรี่เชื่อไหมสิ่งนี้พี่ต้องใช้เวลาในการพูดเป็นปี แต่เชอรี่พูดคนตั้งใจฟังนะ แล้วเขาอยากรู้ว่าจะยังไงต่อ มันเห็นประกายในแววตาเขา ซึ่งมันดีมากเลยนะ เราก็เออ จริงด้วยเนอะ การเป็นแบบนี้ถึงเราจะมองว่าเป็นดาบสองคมในการที่คนจะสงสัยในตัวเราได้เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนพร้อมจะเปิดรับได้เหมือนกัน ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นข้อดีจริงๆ”
เชอรี่บอกว่า พอกลับมาในสังคม ยุคนั้นเวลาพูดถึงสิ่งแวดล้อม คนจะเมินหน้าหนี เพราะคิดว่าไกลตัว ขนาดเรายังท้อที่จะพูดเลย พอเรามีความรู้ที่จะอธิบายคน เริ่มสนุกกับการสื่อสารเรื่องนี้ ต่อให้คนข้างหน้าจะไม่สนใจ หรือแววตาเป็นประกาย เราสามารถพูดได้หมด เลยทำให้รู้สึกว่าการเป็นนักแสดงทำให้มีโอกาสที่คนอยากให้เราไปพูดหลายที่
ถามว่าการเริ่มทำด้านสิ่งแวดล้อมในตอนนี้มันยังทันอยู่เหรอ เชอรี่บอกว่าถ้ามองตามจริงมันดูเหมือนจะสิ้นหวังมากๆ แต่เสน่ห์ของมนุษย์และโลกใบนี้คือความหวัง เรตของการแย่ลงมันก็แย่มากๆ แต่สิ่งที่พยายามจะฝืนขึ้นไปมันอาจไม่บาลานซ์ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยที่สุดเรารู้ว่าเราได้พยายามทำให้มันเสียหายน้อยที่สุด ลดอัตราการเร่ง ถ้าเราพยุงมัน ชะลอมันไว้ได้ ทำไมเราจะไม่ทำ ยิ่งถ้ามันไม่มีคนทำ เรายิ่งรู้สึกว่ามันจำเป็นต้องทำ เราไม่คิดว่าเราจะเปลี่ยน เรายังเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นทุกคนบนโลกนี้เปลี่ยนได้หมด แค่ว่าอยากทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
ปิดท้าย มิ้นท์ อรชพร ถามว่า ละครยังรับเล่นอยู่ใช่ไหม เชอรี่หัวเราะก่อนบอกว่า ถ้ามีเรื่องที่อยากเล่นก็อยากเล่น
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม