เติบโตกับอีกหนึ่งบทบาทใหม่ นักแสดงหนุ่ม “กัปตัน–ชลธร คงยิ่งยง” ประเดิมเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต “Achilles Curse...อคิลลิสเคิร์ส กับสมบัติต้องคำสาป” ของ “โอเค ดี โปรดักชั่น เฮาส์ แอนด์ ดีไซน์” ร่วมกับ “ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล” โดยผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง “เบนซ์–มนัสดาภรณ์ พงศ์จิณณธรรม” เข้าฉาย 12 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ เลยชวน “กัปตัน” เล่าการทำงานภาพยนตร์เรื่องนี้และการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงที่ผ่านการเรียนรู้จนถึงวันนี้ เริ่มจาก

บทบาทในเรื่องนี้?

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “จิน” นักธุรกิจ มีภาวะผู้นำ มีไหวพริบ บุคลิกดีเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ อ่อนโยนกับคู่หมั้น วนิลลา (จ๋อมแจ๋ม-สุพิชชา) เป็นโลกแฟนตาซี เราเลยเซตติ้งสร้างโลกขึ้นมาว่าทุกคนจะมีร่างกายที่เป็นอมตะ แต่จะมีแค่จุดจุดหนึ่งบนร่างกายที่ทำให้ตายได้ แต่ทุกคนไม่รู้ ยกเว้นลุค (เติร์ด-ลภัส) และมันมีสมบัติอยู่ชิ้นนึงคนที่ครอบครองคือวนิลลา ซึ่งป่วยและมันไม่ปกติ ผมอยากจะเอาสมบัตินี้มาโชว์เพราะอยากช่วยเหลือคู่หมั้นและสมบัติมีกลุ่มคนร้ายบุกมาชิงไป เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เป็นหนังสืบสวนแฟนตาซี ถามว่ายากตรงไหน ยากหมด เพราะมันเป็นจินตนาการ เราสามารถเล่าอะไรในหัวก็ได้ แต่สิ่งที่เราจินตนาการไว้ผู้ชมจะเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหน ผมว่าแง่หนึ่งมันก็สนุกนะเราสามารถเล่าอะไรก็ได้ว่าคนที่อายุ 200-300 ปี เค้ามีความคิด มีการใช้ชีวิตยังไง มันน่าสนุกตรงฝั่งนั้นว่าเราจะต้องแสดง ออกมายังไง มันก็คือเราก็ต้องเชื่อไปแล้วว่านี่คือคนอายุ 200 ปีนะ เค้าจะเดินยังไง ตื่นมาเค้าอาจจะไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง ไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ”

...

เคมีคู่รักของเรากับจ๋อมแจ๋มในเรื่องล่ะ?

“พอมันเป็นเพื่อนที่สนิทกัน ฟีลคู่รักมันก็เป็นห่วงกันแต่ไม่ได้มีความหวานแหววขนาดนั้น แต่ก็คอยห่วงใยเทกแคร์อยู่ตลอด คอยช่วยเป็นที่ปรึกษา เหมือนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ออกแนวมั่นคง”

เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตด้วย?

“ก็เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำหรับผม เพราะว่าซีรีส์ ละคร หนัง มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ทุกการแสดง วิธีการเล่น วิธีการทำการบ้าน ทุกอย่างมันต่างกัน หนังก็สนุกไปขึ้นจอใหญ่คุณจะเล่นยังไง จะขยิบตา จะขยับตัวยังไงต้องมีความละเอียด มันมีความเป็นมนุษย์จริงๆ มันไม่ต้องพูดเล่นใหญ่ให้คนฟังเหมือนทีวี สนุกดีครับ”

ความเป็น “จิน” ใกล้เคียงกับกัปตันยังไง?

“ผมว่าหลายอย่างก็ใกล้เคียงกัน ก็เป็นตัวเองประมาณ 50% อีก 50% ก็คือเติมเข้าไป จิน เค้าจะมีความสุขุมเป็นคนพูดน้อยหน่อย นี่คือตรงกลางของเราทั้งสองคนก็คือจะพูดน้อย แล้วก็ใช้ความคิดมากกว่า อีก 50% ที่เติมมา มันก็คืออายุเป็นผู้ใหญ่ เค้ามีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเยอะ ได้ถ่ายทอดความมั่งคั่ง ค่อนข้างเพอร์เฟกชันนิสต์ ก็จะมีความดุของเค้าครับ สนุกตรงผมได้ลองเป็นนักธุรกิจเป็นคนมีเพาเวอร์”

การทำงานกับเบนซ์-มนัสดาภรณ์ ผู้กำกับไฟแรง?

“ผมว่าพี่เบนซ์เค้าเปิดรับนะ เพราะว่าผมก็มีสิ่งที่อยากเพิ่มหรือคุยเรื่องการหาตรงกลางร่วมกันยังไง คือพี่เค้าเปิดรับมากๆ เพราะบางทีถ้าเกิดผู้กำกับมีภาพในหัวแต่ว่านักแสดงไม่เห็นภาพในหัวของเค้า มันก็จะทำงานลำบากแต่ว่าพอมีอะไรเราสามารถแชร์กันได้ มันก็ทำงานไหลลื่น”

เห็นว่าเติร์ดเป็นหนึ่งเหตุผลในการรับเล่น?

“เวลาเราดูบทแค่ส่วนนึงถ้าเกิดเราเจอชื่อเพื่อนเราจะแบบโหสนุกแน่เลย ก็สนุกจริงๆ ผมกับเติร์ดรู้จักกันมา 7 ปีแล้ว มีช่วงที่เจอกันเกือบทุกวัน เพราะฉะนั้นจะรู้เรื่องของกัน และกัน เลยเหมือนเป็นคอมฟอร์ตโซน เป็นเซฟโซนของเรา มีอะไรก็คุยกันในกอง เค้าเป็นคนเก่ง”

คาดหวังกับเรื่องนี้มั้ย?

“คือผมไปมองตรงนั้นไม่ได้เพราะว่าหน้าที่ของผมคือทำการแสดงให้ดี ก็คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ ผมว่ามันมีกลุ่มของคนที่ชอบแบบสืบสวน หนังสืบสวนบ้านเราก็ไม่เยอะขนาดนั้น เป็นหนังที่คนดูอาจจะชอบการหาคำตอบ คาดเดา อินไปกับเรื่องราว มานั่งลุ้นกันว่าใครเป็นคนร้าย ผมว่ามันเป็นโลกจินตนาการที่มีความสนุก เป็นสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์”

...

ได้ยินว่ากัปตันเรียนการแสดงเพิ่ม เติมตลอด?

“ตลอดครับ แต่ว่าช่วงหลังก็อาจจะไม่ได้เรียนมากขึ้น เพราะไปเรียนธุรกิจด้วย เมื่อก่อนก็คือเรียนตั้งแต่เลือดข้นคนจางแล้วครับ ผมโดนส่งไปเรียนด้วยแล้วก็เรียนเพิ่มเองด้วย”

อะไรทำให้เราอยากเติมความรู้เข้ามาตลอด?

“ผมว่ามันไม่มีจุดจบว่าอะไรคือน้ำเต็มแก้ว เราต้องสามารถไปได้เรื่อยๆ มันได้เรียนรู้ตัวเองด้วย ก่อนที่จะไปแสดงเราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนยังไง เราถึงจะไปเป็นคนอื่นได้ เหมือนเราได้มีอาวุธเยอะ ถึงมีอาวุธแล้ว ผ่านเวลาไปอาวุธเราสนิมขึ้นแล้วก็ต้องเอาออกมาขัด แต่ละเรื่องที่เข้ามาเราเลือกแล้ว เราก็อยากทำให้ดีที่สุด ผมอาจจะไม่ได้มีแพลนระยะยาวมาก คือถ้ามันเจออะไรที่เหมาะสมกับเราแล้ว เราจะสนุกไปกับมันได้ ชอบแบบนั้นมากกว่า ไม่ต้องแบบปริมาณเยอะๆ”

ดูชิลเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นแต่จริงๆ เป็นคนต้องพร้อมทุกอย่าง?

“เวลาจะทำอะไรสักอย่างนึงผมก็อยากรู้ทุกเรื่องรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น ผมก็พยายามจะรู้ทุกอย่างให้มันรอบคอบเอาไปนั่งคิดไตร่ตรองก่อน”

ไม่ว่าการแสดง การทำธุรกิจ ถ้าเราเรียนคือต้องเหมือนไปสุด?

“ก็ไปสุดทาง รู้ให้หมด รู้ให้เกือบทุกอย่าง มันก็มีข้อดีข้อเสียครับ ข้อเสียคือจะทำอะไรช้า ไม่กล้าเพราะเราคิดละเอียดเกินไป แต่ข้อดีคือพลาดน้อย บางคนถ้าไม่ได้คิดอะไรเยอะเค้าอาจจะเริ่มเลยแล้วก็ไปลุย มันก็มีข้อดีข้อเสียของแต่ละคน”

วงการทำให้เราเติบโตเร็ว หรือว่าเราดูเป็นคนโตเร็วตั้งแต่ตอนเด็กๆ ?

“หลายๆ อย่างครับ มันก็ทำให้เราโตขึ้นแล้วก็ไลฟ์สไตล์บางอย่าง เราชอบคุยกับผู้ใหญ่เรามีกลุ่มเพื่อนที่เป็นผู้ใหญ่เยอะ อาจจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าคนอื่นเร็วกว่านิดนึง”

...

แล้วการเติบโตในวงการเรามองตัวเองยังไง?

“คือตอนนี้มันก็ 10 ปีมาแล้วครับ เราก็ค่อยๆ ก้าวมา เราก็อยากค่อยๆ ไป เราไม่ได้ชอบแบบก้าวกระโดด ผมอยากบาลานซ์ทุกอย่างไปด้วยกัน วงการธุรกิจ ครอบครัว เพื่อน อยากไปด้วยกันไม่ได้อยากจะทิ้งสิ่งไหนไปเพราะมันก็ไม่อยากไปเบิร์นเอาต์”

ที่อยากทำธุรกิจ อยากทำเกี่ยวกับอะไร?

“จริงๆ ชอบพวกด้าน wellness ด้าน health อาจจะเป็น service หรือว่าเป็นอะไรที่มันเป็นความยั่งยืน”

อยู่ในวงการมา 10 ปีมันยังมีความท้าทายอะไร?

“ไม่ได้ทำอะไรเยอะเหมือนกัน ยังเหลืออีกเยอะ ค่อยๆไปจริงๆ”

เราเลือกที่จะค่อยๆไป ไม่กลัวเหรอว่าเราช้าแล้วมันเลยช่วงเวลาในวงการของเราแล้ว?

“มันมีหลายสูตรว่าอยากจะไปเร็ว หรือไปช้าๆ แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน เราเน้นงานเป็นหลัก เราเน้นสิ่งที่เราอยากลอง เราเน้นสิ่งที่เราแบบอินกับมันจริงๆ เราไม่ได้เน้นว่ามา 4 อันเราต้องทำ 4 เลยนะ เราอยากมา 4 รับ 1 ที่มันถูกกับเราจริงๆ”

ชีวิตการอยู่วงการที่ผ่านมาสิ่งที่เราคิดว่ามันยากที่สุด หนักที่สุดคืออะไร?

“หนักที่สุดมันยากเหมือนกันเนอะ สิ่งที่เจอมา ผมว่าเป็นความกดดัน บางครั้งเราก็อาจจะกดดันตัวเองมากเกินไป อาจจะเป็นคาดหวังของหลายๆคน เป็นสิ่งที่ต้องดีลต้องจัดการความรู้สึกตัวเองดีๆ นะว่าเราจะจัดการสิ่งนี้ยังไง พยายามโฟกัสตัวเองมากขึ้น”

แล้วความยากในชีวิตในความเป็นกัปตันคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราผ่านมันไปได้แล้วภูมิใจ?

“รู้สึกภูมิใจที่ทุกอย่างในวงการมันหล่อหลอมให้เราแข็งแกร่งขึ้น มีสติในการใช้ชีวิต มันเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าดีใจนะ บางสิ่งบางอย่างที่เป็นเรื่องร้ายสำหรับเรามันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีของเราในวันนี้ก็ได้ ถ้าชีวิตไม่ได้เจอเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันอาจจะไม่ได้เป็นผมในทุกวันนี้”

...

ถามถึงความรักกับพลอย ชวพร ตอนนี้ล่ะ?

“แฮปปี้ ผมรู้สึกว่าเหมือนเป็นหลายๆ อย่างครับ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนรัก มันทำให้ชีวิตมันบาลานซ์ดี”

เจอคนที่ใช่?

“รู้สึกดีใจที่เวลามีอะไรจะปรึกษา เราสามารถปรึกษาได้ทันทีเลย แล้วก็มักมีคำแนะนำที่ดี ด้วยความที่ว่าเค้าอาจจะโตกว่า เรามีทั้งความคิดของเรา มีทั้งความคิดเค้าก็เอามาเบลนด์มาจูนกันได้”

ความที่ดูโตกว่าวัยมันมีส่วนช่วยมั้ย?

“ผมอาจจะเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องง้องแง้ง มันก็มีแหละแบบความรักวัยรุ่น เราอาจจะผ่านมาแล้ว อาจจะผ่านมาเร็วกว่าคนอื่นก็ได้ไง ก็เลยเป็นความรักแบบคนโตแล้ว”

เวลามีความรักเรามองว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนโรแมนติกมั้ยหรือใส่ใจดูแลหรือสบายๆ?

“ผมว่ามันเป็นความสบายมากกว่า ทุกคนมีหน้าที่การงาน มีสิ่งที่ต้องทำแตกต่างกัน เราควรซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ในเรื่องความโรแมนติกความอะไรอย่างนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว แค่อาจจะไม่ได้ตลอดเวลาทุกวัน”

อะไรที่ทำให้เราคบกันนาน ประคองความรักยังไง?

“ผมว่าเรื่องให้สเปซกันมากกว่า เรื่องสเปซมันเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น ผมอยากจะกินข้าวร้านนี้ คุณอยากกินข้าวร้านนั้น เราแยกกันไปกินดีกว่า วันนี้ไม่ว่างเหรอ วันนี้อยู่นี่ วันนี้กลับบ้าน แค่นี้ แหละชีวิต ความรัก แต่แค่มีอะไรก็คุยกัน”

ยังมีอะไรต้องเรียนรู้ปรับจูนกันอีก?

“ผมว่า 5 ปีมันก็ค่อนข้างที่จะรู้กันหมด อยู่ที่การประคับประคอง รักษาไว้”

ค่อยๆ โตไปอย่างยั่งยืนในทุกเรื่องของชีวิต?

“ใช่ครับ ไม่รีบร้อน”

ตอนนี้ชีวิตโดยรวมแฮปปี้มั้ย?

“แฮปปี้ เป็นทุกอย่างที่ยังอยู่ในสิ่งที่เราคิดไว้”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย