ควงกันออกมาเปิดใจที่แรกสำหรับ ปีเตอร์ ธูนสตระ กับแฟนสาว จอย สุจิตรา เผยเส้นทางรักกว่า 12 ปี ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และเปิดใจถึงอาการป่วยโรคธาลัสซีเมียของแฟนสาวที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด รวมไปถึงถูกบูลลี่ว่าไม่เหมาะสม ถูกไล่ให้ไปทุบหน้า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31 

ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน แล้วคบกันมา 12 ปีแล้ว?

ปีเตอร์ : ใช่ครับผม

ทำไมถึงเพิ่งมาเล่นติ๊กต่อกอัดคลิปที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้?

จอย : เล่นมานานแล้วค่ะ แต่ว่าเพิ่งมาเป็นกระแสตอนที่อยู่โรงพยาบาล คือว่าตอนนั้นไม่แต่งหน้าแล้วถ่ายรูป คนก็เลยเข้ามาถามว่าป่วยจริงมั้ย ตัดต่อภาพหรืออะไร แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดของคุณปีเตอร์เราอยู่โรงพยาบาลแล้วไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันไม่ได้ เขาก็เลยมาอยู่โรงพยาบาลด้วยกัน เราก็เลยเอ่อ. . แต่งหน้าถ่ายรูปสักหน่อย

คือคนเขาคิดว่าเราถ่ายคนเดียวแล้วเอาพี่ปีเตอร์มาตัดต่ออยู่ข้างๆ?

จอย : ใช่ค่ะ เขาก็ว่าเราตัดต่ออะไรประมานนี้อะค่ะ

จุดเริ่มต้นของความรักรู้จักกันได้ยังไง?

ปีเตอร์ : ตอนแรกคือเขาทำงานที่ห้าง แล้วบังเอิญไปเจอเขาที่ทำงานอยู่ ก็เอ๊ยน่ารัก ก็เลยเข้าไปคุยกัน แล้วเป็นยังไงต่อเล่าให้ฟังหน่อยครับ

จอย : วิ่งหนีค่ะ (หัวเราะ) คือวันนั้นเขามาทานข้าว แต่ไม่ได้ทานร้านเรานะ ไปทานร้านตรงข้าม แล้วเขาเดินมาหาเราด้วยความที่เราพูดภาษาไม่เป็น พูดได้แค่ไทยอย่างเดียว ก็เลยหนีเดินเข้าร้าน เขาก็พยายามเรียก เราก็ส่งเจ้าของร้านออกไปคุย บอกว่าฝรั่งคนนี้เขาจะเอาอะไรไม่รู้ ให้ไปรับรองหน่อย พอเฮียเขาเดินออกมาเขาก็บอกว่าเขาอยากคุยกับจอยอะ เขาจะคุยด้วย

...

ตอนนั้นพี่ปีเตอร์พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย?

จอย : ภาษาไทยได้ แต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ชัดเท่าตอนนี้

ตอนที่เดินไปในห้างแล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าเราคือแบบสเปกเลยมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็คิดว่าคนนี้น่ารัก ก็อยากคุย เพราะเราไม่ได้ไปที่นี่ประจำ ไปงานพอดี เลยอยากถือโอกาส ถ้าไม่ได้คุยวันนี้ก็คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ มาอีก เห็นแล้วก็เลยอยากลองคุยกันดู

ถ้าวันนี้ไม่ได้คุย คิดว่าจะเสียโอกาสไหม?

ปีเตอร์ : ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เพราะว่าโอกาสที่จะเจอและน่าสนใจก็ไม่บ่อย ก็เลยถือโอกาสคุยดู 

แสดงว่าเป็นคนชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักใช่ไหม?

ปีเตอร์ : ใช่ครับ น่ารัก นิสัยเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว 

สรุปวันนั้นเขาได้สั่งข้าวไหม?

จอย : จริงๆ เขาจะเอาเบอร์หนูนี่แหละ เราก็งงว่าเขาเป็นใคร เราก็เขินเลยแบบไม่ให้ดีกว่า ยังไม่อยากให้ แต่เพื่อนบอกให้ไปเถอะ เขาคงอยากได้ไปเฉยๆ คงไม่โทรคุยหรอก ก็เลยให้ไปเป็นเบอร์ เพราะตอนนั้นยังไม่มีไลน์ เฟซบุ๊กก็ยังไม่มี ต้องเข้าบราวน์เซอร์ก็เล่นยาก ก็เลยให้เป็นเบอร์โทรไป เขาก็ถามว่าเลิกงานกี่โมง พอเราเลิกงานเขาก็โทรมาเลย 

ปีเตอร์ : ต้องหาโอกาส ไม่ใช่ว่าปล่อยโอกาสผ่านไป ก็ต้องถือโอกาส

แล้ววันแรกที่โทรหาคุยกันนานไหม?

จอย : ก็ประมาณชั่วโมง สองชั่วโมง 

ปีเตอร์ : ถึงเปล่า

จอย : เกือบๆ เพราะว่าวันนั้นฝนตก หลบฝนอยู่ในห้าง ไม่มีไรทำก็เลยคุย

ตอนนั้นเขาพูดภาษาไทยไม่ชัด เราคุยกันรู้เรื่องไหม?

จอย : ตอนแรกๆ ก็พอรู้แบบ งงๆ บ้าง 

ตอนแรกที่คุยคือยังไง แนะนำตัวซึ่งกันและกันหรือเปล่า?

จอย : ใช่ค่ะ คือเขาจะเป็นคนถามมากกว่า ถามว่าเราทำงานที่นี้นานหรือยัง อยู่ที่ไหน อยู่กับพ่อแม่หรือเปล่า ก็เลยตอบรวดเดียวไปเลย ตอนนี้อยู่กับลูกนะ มีโรคประจำตัวนะ คือบอกหมดทุกอย่างที่เขาอยากรู้ ก็คิดว่าให้รู้ไปเลยวันแรก ถ้าไม่คุยต่อก็คือจบไปเลย ก็แอบกลัว แต่สักวันเขาก็ต้องรู้แหละ ถ้าไปรู้ตอนหลังแล้วมันจะเสียความรู้สึก 

ตอนนั้นรู้ไหมว่าเขาเป็นดารา?

จอย : ไม่รู้ คิดว่าเป็นชาวต่างชาติทั่วไป

ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นดารา เขามาจีบเรา เรารู้สึกไหมว่าเขาก็หล่อนะ?

จอย : หล่อนะ แต่ว่าหนูไม่ค่อยชอบฝรั่ง ไม่ชอบคนต่างชาติ เพราะว่าตัวใหญ่ ฟังไม่รู้เรื่องด้วย

ปีเตอร์ : ถือว่าอดทนมา 12 ปี ถือว่าไม่ค่อยชอบ แต่ก็ทนได้ใช่ไหม

จอย : หมายถึงตอนแรกๆ

...

รู้สึกยังไงพอคุยกันไปเรื่อยๆ?

จอย : ก็นิสัยดีนะ แต่ว่าดูก่อนยังไม่ปักใจ

เห็นว่าคุยกันไประยะหนึ่งแล้วคุณจอยต้องย้ายไปอยู่ใต้?

จอย : ก็คือว่าเพิ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์ หนูก็ต้องไปช่วยงานพ่อ ช่วงนั้นก็คุยกันตลอด จริงๆ ก็ไม่ได้คุยเท่าไรเพราะเราก็ทำงาน

ปีเตอร์รู้สึกยังไงกำลังคุยกำลังจีบก็ต้องไปใต้แล้ว? 

ปีเตอร์ : ตอนแรกคิดว่าข้ามกรุงเทพฯ มันไกลพอสมควร แล้วพอโทรคุยเขาบอกว่าต้องไปภาคใต้ เราก็ เอ้า ไปภาคใต้ไปทำอะไร เขาก็บอกไปช่วยงานพ่อ ก็ไปสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะไปนานเท่าไร อาจจะเป็นอาทิตย์ อาจจะเป็นเดือน คุยไปคุยมาสรุปไป 3 เดือน ก็คุยมาเรื่อยๆ ตลอดนะช่วงนั้น 

ตอนแรกเราประทับใจอะไรในตัวเขา?

ปีเตอร์ : เป็นคนสู้ เป็นคนเก่ง ยิ้มตลอด ก็เลยประทับใจ 

พอหลังจากไปอยู่ใต้ 3 เดือน เริ่มเดตกันตอนไหน?

จอย : ก็หลังจากกลับมา 

...

แสดงว่าตั้งแต่คุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เจอกัน?

จอย :ใช่ค่ะ จนเรากลับมาเขาก็นัดกินข้าว ดูหนัง ตอนแรกก็ว่าจะกินข้าว ดูหนังแล้วกลับ แต่ก็ต่อยาวเลยค่ะ

ตอนนั้นรู้สึกยังไง ตื่นเต้นไหม?

จอย : ก็รู้สึกแปลกๆ ว่ามีแต่คนมองเขา แต่เราไม่รู้ เราก็แปลกๆ ว่าทำไมฝรั่งคนนี้มีแต่คนมองเยอะจัง ทำไมเขามองเราแปลกๆ ก็เลยถามเขาว่าคุณเคยออกทีวีไหม 

นอกจากมีคนมองแล้ว เวลาไปไหนมีคนมาขอถ่ายรูปเขามั้ย? 

จอย : ตอนนั้นยัง ตอนที่ไปห้างที่หนึ่งก็ยังไม่มีใครมาขอถ่าย ได้แต่บอกว่าดารา เพราะเรามากินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารก็ไม่มีใครเข้ามาถ่ายได้ แต่ก็ชี้และมองกัน เราก็รู้สึกแล้ว เราก็เลยถามเขาว่าเคยออกทีวีมั้ย เขาก็ตอบว่าใช่ แต่ก็ยังไม่บอกเราอีกนะว่าเป็นนักแสดงหรืออะไร เราก็กลับบ้านไปถามน้อง ถามน้องสาวว่าตัวเองลองเสิร์จดูให้หน่อย รู้จักคนนี้มา แล้วก็บอกชื่อเขาไป เขาก็บอกว่าเคยแสดงหนังด้วยเนี่ย

ทำไมถึงไม่บอกไปเลยว่าเราเป็นนักแสดง?

ปีเตอร์ : ก็มันเป็นเรื่องแปลกๆ เนาะ ก็ไม่รู้ว่าจะไปบอกทำไมว่า เออเราเป็นนักแสดงนะ รู้จักเรามั้ย เหมือนอวดตัวเอง คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว

...

พอคุณแม่ของจอยรู้ก็ตกใจเลย?

จอย : เป็นแม่เลี้ยง เขาก็ตกใจว่ามีฝรั่งที่เป็นนักแสดงด้วยมาชอบ เขาก็บอกว่าเขาแค่คุยเล่นหรือเปล่า เพราะเขาเป็นนักแสดงด้วย เขาจะชอบใครก็ชอบได้ เพราะรอบตัวเขามีแต่คนสวยๆ เราก็ทำใจว่าเขาอาจจะมาคุยเล่นๆ 

อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาไม่ได้เข้ามาคุยเล่นแล้ว?

จอย : อะไรดี (หัวเราะ) คือทุกอย่างที่เขาดูแลเรา

ปีเตอร์ : ดูแลนานพอสมควร พิสูจน์กันและกัน เขามาช่วยดูแลตอนที่เราลำบาก

คุยกันอยู่นานมั้ยถึงตัดสินใจเป็นแฟนกัน วางอนาคตด้วยกัน?  

ปีเตอร์ : ไม่ได้พูดเลยเนาะ เราสนิทและดูแลกันมาเรื่อยๆ 

จอย : คนเขาเห็นเขาก็รู้กันเองว่าคบกัน

มีเอ่ยปากบอกเป็นแฟนกันนะบ้างมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็ไม่ได้พูดตรงเลยเนาะ เราเข้าใจกันเองมากกว่า

จอย : ถามเขาว่าไม่อายเหรอมาคบกับฉัน 

ปีเตอร์ : เขาเป็นคนถามตรงแบบนี้แหละ 

อายุห่างกัน 11 ปี มีผลบ้างมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็ไม่ค่อยเท่าไรนะ ไม่มี ถ้าเป็นวัยรุ่นอาจจะมากกว่า ถ้าเลย 30 ไปแล้วรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรมากหรอก ตอนนี้ก็อายุ 50 แล้วออกกำลังกายตลอด มีผลช่วยได้แน่นอน

โรคประจำตัวของพี่จอย?

จอย : เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด เริ่มให้เลือดมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ ทำให้ร่างกายรับธาตุเหล็กเกิน ตั้งแต่เจอเขา เขาก็หาทางรักษา

ปีเตอร์ : ตอนแรกที่คบกันเราก็ ไม่เคยเก็ต แต่พอคบกันจริงๆ แล้วเขาต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย เหมือนเพิ่งเข้าไปไม่นานเข้าอีกแล้ว เราเลยให้เขาเขียนมาแล้วก็ ไปหาข้อมูล

จอย : หมอก็จะนัดติดตามอาการทุกเดือน ไปก็จะให้เลือด ถ้าไม่มี เลือดจากโรงพยาบาลก็จะเปิดรับบริจาค แต่ช่วงโควิดเลือดก็ขาดแคลนมากต้องนอนอยู่ โรงพยาบาลนาน 2 เดือน ตัวก็ซีดลงเรื่อยๆ 

ปีเตอร์ : สำหรับคนที่ไม่รู้ โรคธาลัสซีเมียคือไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์ ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่รับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปในร่างกาย ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์ได้ก็ต้องรับเลือดที่บริจาคมา ก็จะช่วยได้แค่ 1 เดือน ก็ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ ทุกเดือน

ไปโรงพยาบาลทุกเดือน นอนทีละกี่วัน?

จอย : ช่วงนี้ก็จะนอน 5 วัน เพราะจะให้เลือด 2 ถุง แล้วก็กลับบ้านได้ แต่หมอจะสั่งให้ยาขับธาตุเหล็กเพิ่มก็คือว่าต้องนอน 5 วัน ให้วันละ 1 โดส ก็คือ 8 ชั่วโมงที่ให้ทางสายน้ำเกลือ พอหมดแล้วก็ต้องให้ต่ออีกวัน ถ้าเรารักษาและให้เลือดอยู่ตลอดก็จะเหมือนคนปกติไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าตัวซีดลงคือขาดเลือดแล้วจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อ จะเหนื่อย 

เวลาไปนอนโรงพยาบาล พี่ปีเตอร์ก็จะไปเฝ้า?

ปีเตอร์ : ก็ไปเฝ้าบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะด้วยการงานด้วย 

ทำไมถึงอยากดูแลอยู่ข้างๆ เขา?

ปีเตอร์ : เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ดี สู้เก่ง เห็นคนสู้เก่งเหมือนให้กำลังใจเราด้วย ถ้าเราไม่เจออะไรหนักเท่านี้เราก็สู้ได้ 

โรคนี้จริงๆ ทำให้หายขาดได้ด้วยการปลูกถ่ายกระดูกสันหลัง?

จอย : ใช่ค่ะ ช่วงนั้นคือที่เจอคุณปีเตอร์อายุเกินแล้ว เขาก็พาไปหาหมอหลายโรงพยาบาลว่าสามารถทำได้มั้ย หมอก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะอายุเกิน อายุต้องประมาน 20 

ปีเตอร์ : และถ้าร่างกายข้างในเสียธาตุเหล็กไปเยอะเขาก็ไม่อยากให้เสี่ยง เพราะก่อนจะทำต้องทำลายไขกระดูกของเราก่อนแล้วเอาอันสมบูรณ์เข้ามา ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์มันก็จะอันตราย 

จอย : เราก็ตัดม้ามไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ภูมิต้านทานไม่มี ก็จะป่วยง่าย

ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน?

จอย : เยอะค่ะ 

ปีเตอร์ : แต่ประกันสังคมช่วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเราก็ต้องรับผิดชอบเอง

ไม่ให้ทางเขาไปทำงานด้วย? 

ปีเตอร์ : ไม่เชิงว่าห้าม หรือบังคับเด็ดขาด เราคุยกันว่าธรรมชาติถ้าจะหยุดทุกเดือน เดือนละ 3-5 วัน ใครจะให้เราทำ แล้วป่วยมายังต้องพักงานอีก ภาวะทำงานหนักก็กลัวป่วยอีก

จอย : มีภาวะกระดูกบางด้วย หักง่าย หมอบอกว่าต้องระวังเวลานั่งแรงๆ เคยมีซี่โครงหักอยู่ครั้งหนึ่งนานแล้ว ตกจากที่สูงมา นั่งอยู่หลังรถกระบะ 

มีครั้งนึงไปหาหมอช้าเกือบไม่รอด?

จอย : ก็มีที่ไปใต้อะค่ะ เรารักษาอยู่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ แล้ววันนั้นกำหนดหมอนัดแล้ว แต่ยังไม่ได้กลับมา แล้วมีอาการขึ้นมาพ่อก็ให้อยู่บ้าน เราก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ไข้ขึ้นสูง พอไปหาหมอทางนั้นก็ไม่สามารถรักษาเราได้ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้ยาฆ่าเชื้อไข้ก็ไม่ลง ก็โทรมาขอประวัติตรงนี้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตามหมอนัดตลอด 

มีเรื่องลูกชายที่ต้องปรับตัวด้วย?

ปีเตอร์ : ใช่ครับ ลูกชายกับแฟนเก่าคือเขาก็บอกเราตั้งแต่แรกเลยนะ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีแฟนที่มีลูกแล้วนะ แต่ก็ลองดูละกัน เจอกันแรกๆ เขาก็บอกพาลูกไปด้วยได้มั้ย เราก็บอกพามาลองดู 3 ขวบน่ารักมาก เป็นเด็กดี

ลูกชายเขายอมรับเรามั้ย?

ปีเตอร์ : เขาน่ารัก เขาโอเค เขาเรียกเราว่าลุง ชอบยิ้มอารมณ์ ดีเหมือนแม่ 

เราบอกลูกเราว่ายังไงตอนนั้นมีเขาเข้ามา?

จอย : ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ พอโตขึ้นเขาก็รู้เอง เพราะเขามารับไปกินข้าวทุกอาทิตย์ ก็เหมือนเด็กเขารู้เอง ตอนแรกมีคนถามเขาว่าเป็นพ่อเหรอ เขาก็ปฏิเสธ ตอนเล็กๆ เหมือนไม่ได้อยู่กับพ่อแท้ๆ ด้วย ประมาน 10 ขวบเขาก็เริ่มเข้าใจ ตอนนี้เขา 15 ขวบ และใกล้จะถึงวันเกิดเขาแล้ว เขาไม่ได้เรียกแด๊ดดี้ เขาเรียกลุงเหมือนเดิมเพราะติดปากมาตั้งแต่เด็ก

ทุกวันนี้เขาเข้าใจแล้ว มีมาปรึกษาอะไรกับเรามั้ย? 

จอย : ไม่มีค่ะ เขารู้แล้วว่าเขาเป็นคนดูแลคุณแม่ ดูแลไปถึงลูกชายด้วย 

ปีเตอร์ : เสียดายอย่างหนึ่งเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก จับเรียนตอนนี้ก็ยาก ไม่งั้นจะได้สองภาษาไปเลย

ทำยังไงให้ลูกเขายอมรับในตัวเรา?

ปีเตอร์ : ก็จริงๆ แล้วโชคดีที่เขาเป็นคนสนุกสนานอารมณ์ดี ไม่มีอะไรต้องปฏิเสธอะไร ด้วยความเป็นผู้ชายด้วยก็จะชวนกันไปเล่นเกมในห้าง

คาดหวังในอนาคตมั้ยเขาจะเรียกเราเปลี่ยนสถานะมั้ย? 

ปีเตอร์ : ผมโอเคนะครับ อยากให้ทุกคนแฮปปี้ ถ้าเขาโอเคที่เรียกว่าลุง ผมก็แฮปปี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึก ไม่ใช่คำพูด ก็เป็นลุงกับหลานที่สนิทกันพอสมควร เขาเลี้ยงลูกเก่งมาก 

จอย : ตามนั้นเรียกยังไงก็ได้ เพราะเขาไม่ได้ซีเรียส สบายๆ 

โดนบูลลี่ยังไงบ้าง?

จอย : เขาบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่สวย มาทางคอมเมนต์ ตอนแรกบอกว่าเราจ้างคุณปีเตอร์มาพูดได้เท่าไรตอนไลฟ์สด ก็คิดว่าเราจ้างเขามา ตอนแรกบอกตัดต่อภาพ วิดีโอไลฟ์สด บอกเขาเป็น AI บอกให้หนูไปทำหน้าใหม่ สวยนะแต่ไปทำจมูก ตัดกราม เหลากราม ทำให้หมดเลย ไม่เคยอยากตอบโต้เขา แต่ก็มีแฟนคลับน่ารักมากเป็นเอฟซี เขาก็ตอบกลับแทนทุกอย่าง เราก็อยู่เฉยๆ เขาชอบเราที่เป็นแบบนี้

ปีเตอร์ : ใช่อย่างที่บอก ฝรั่งชอบแบบนี้ มันคือสเปก บางคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ด

เคยปรึกษากันเรื่องนี้มั้ย?

จอย : อย่างล่าสุดเขาบอกว่า ทำไมเราไม่เรียนภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้ปีเตอร์สอน เขาก็ว่าเราว่าโง่ พูดไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจ

มีนั่งร้องไห้น้อยใจ?

จอย : ไม่เคยเลยค่ะ 

ให้กำลังใจกันยังไงบ้าง?

ปีเตอร์ : พยายามสะกิดเขา บอกคุณรอดมาเยอะแล้ว ไม่ต้องสนใจคนอื่น เขามีคนที่รักดูแลอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกเขาอาจจะแย่หน่อย 

ฝากถึงคนที่มาบูลลี่?

จอย : ไม่รู้จะบอกอะไรเขาดี ถึงบอกไปเขาก็ทำอยู่ดี อยากให้คิดก่อนพูด ดูความจริงก่อน

ปีเตอร์ : เช่นกัน จริงๆ แล้วคิดว่าเป็นคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เราควรระมัดระวังมันเหมือนอาวุธ อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี.

คลิกเพื่ออ่าน “ข่าวบันเทิงวันนี้”