ทันทีที่ภณ ณวัสน์ ภู่พันธัชสีห์ ออกจากประตูลิฟต์ ก็แทบสะกดทีมงาน Thairath Talk อยู่ในภวังค์ เครื่องหน้าคม ส่วนสูงสะดุดตา หิ้วกีตาร์มาเท่ๆ บอก "เดี๋ยวมีโชว์ร้องเพลงด้วยนะครับ"
นอกจากความสามารถเอนเตอร์เทนผู้คนล้นเหลือ การตอบคำถามก็คล่องแคล่วไม่เคอะเขิน ตามสไตล์ Thairath Talk ที่เจาะลึกหลายเรื่องที่ไม่เคยถามที่ไหน เช่น ละครเกาหลีกับละครไทยอะไรดีกว่ากัน ภณตอบได้คมคายชวนคิดตาม อยากให้เปิดใจฟังนักแสดงรุ่นใหม่ มีดีจนละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ
"ผมอยากให้ชมว่าผมเก่ง มากกว่าชมว่าผมหล่อ"
จบบทสัมภาษณ์นี้ คุณอยากจะชมภณ ณวัสน์ว่าอะไร?
ที่มาชื่อ ภณ
"มีคนอ่านผิดบ้าง บางคนอ่านว่า พะนะ แต่จริงๆ มันอ่านว่า พน เป็นคำพ้องเสียงครับ ที่มาของชื่อนี้ ผมเปลี่ยนชื่อก่อนเข้าวงการครับ ผมมีความเชื่อว่าเปลี่ยนแล้วดี ผมเคยชื่อ เพชร มาก่อน แล้วเพชรมีความเชื่อว่ามันแข็ง เลยเปลี่ยนเป็น ภณ ซึ่งกำลังของแต่ละตัวอักษร ภ และ ณ มันดีสำหรับผม พอเปลี่ยนปุ๊บ ได้เข้าวงการบันเทิงเลย แต่มันเป็นความเชื่อของผมเท่านั้นนะครับ แล้วแต่บุคคล"
...
เด็กเส้น 'ลูกดารา'
Thairath Talk : พื้นฐานครอบครัวของภณ มีคุณแม่เป็นดาราเก่า ส่วนคุณพ่อเป็นนายตำรวจระดับสูง คุณได้รับการเลี้ยงดูมาแบบไหนครับ
คุณพ่อมีความเป็นระเบียบวินัยสูงตามอาชีพ ส่วนคุณแม่เป็นคนอยู่ในกรอบ ซึ่งผมรับนิสัยจากท่านทั้งสองมาเต็มๆ รวมมาเป็นผม
Thairath Talk : คุณเคยถูกตราหน้าว่ามาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคุณแม่เป็นดารามาก่อน
การที่ผมอยากจะมาเป็นนักแสดง ผมมาด้วยตัวเอง 100% ไม่ได้มีคุณแม่เป็นเจ๊ดัน แม้ผมจะเห็นโปสเตอร์ผลงานคุณแม่ติดฝาบ้านมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้มีอิทธิพลให้ผมอยากเป็นดาราเลยในตอนนั้น แม่เขาสนับสนุนผมทุกด้าน ลูกชอบอะไรลูกทำเลย เมื่อวันนึงผมมาอยู่ตรงนี้ จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเป็น แต่ผมก็ทำตามที่ผู้จัดการบอก ไปประกวด ไปหาความรู้ พอทำมา มันเริ่มเพิ่มความชอบความรักในจุดๆ นี้มาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ผมรักมัน
ผมยังจำวันแรกที่ไปกองถ่ายได้อยู่เลย เป็นฉากที่สวนสัตว์ดุสิต ถ่ายทำบนสะพาน หลังจากผู้กำกับนับ 5 4 3 ตอนนั้นมันเงียบมาก จำบทอะไรได้ก็พูดไป อินนงอินเนอร์อะไรไม่รู้จัก พูดอย่างเดียว พยายามเล่นให้เป็นการแสดง จากวันนั้นจนวันนี้ ผ่านการเรียนรู้มาหลายๆ เรื่อง การแสดงมันคือการไม่แสดง มันคือการเป็นตัวละครตัวนั้นเลย
Thairath Talk : เรื่องไหนที่คิดว่าท็อปฟอร์มแล้ว หลังจากสะสมประสบการณ์มา 6 ปี ในวงการบันเทิง
เรื่องที่ 3 'ตราบาปสีชมพู' มันเหมือนการทลายกำแพงอาชีพนักแสดงของผมเลย เมื่อก่อนซีนดราม่าต้องร้องไห้ ต้องร้องไห้ยังไงวะ เล่นยังไงวะ แต่พอไปถึงซีนนั้นด้วยบทที่ยากแล้ว เราทำการบ้านหนักมากๆ และผู้กำกับก็ให้เวลากับเรามาก ถ้าวันนี้เล่นไม่ได้ ไม่เป็นไร ให้ไปถ่ายวันอื่น ต้องเอาให้ได้ซีนนี้ อารมณ์ต้องถึง
แล้วมีวันนึงที่ผมอารมณ์ดิ่งลงไปเลย จนเหมือนเข้าใจเลยว่าดราม่าคืออะไร อารมณ์ดิ่งจนเมื่อสั่งคัทแล้วยังรู้สึกอารมณ์ยังเป็นตัวละครนั้นอยู่
Thairath Talk : บทคนบ้าก็เป็นอีกหนึ่งบทที่คุณอยากจะเล่นมาก ผมขอท้าทายให้คุณกลายเป็นคนบ้าหลังจากผมนับ 5 4 3 2 1 เริ่มครับ
(ภณนิ่งไปสักประมาณ 5 วินาที หลังจากนั้นแววตาก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นแววตาที่ท้าทายแฝงความเศร้า ปากค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว)
มึงมองกูทำไม
(น้ำตาของภณเริ่มไหล จนพิธีกรต้องสั่งคัท ภณจึงคลายอารมณ์ และต้องเบรกการถ่ายทำสักครู่เพื่อเคลียร์อารมณ์)
Thairath Talk : ตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่ คุณใช้เวลาไม่กี่วินาทีสวมบทเป็นคนเสียสติได้เลย
คำว่าคนบ้าของผม ไม่ใช่บ้าแบบพูดจาไม่รู้เรื่องเสียสติ ผมตีความว่าคนคนนึงเจอเรื่องอะไรที่กระทบจนจิตใจสูญเสียตัวตนไป ผมตีความแบบนี้ครับ
ชมว่าเก่งดีกว่าชมว่าหล่อ
"มีฉากบางฉากที่ผมตั้งใจคาดหวังว่ามันจะต้องออกมาดี แต่พอไปถ่ายทำจริงๆ อุปสรรคจากสิ่งแวดล้อม ทำให้ผมสมาธิหลุด ในความรู้สึกผมยังทำไม่ได้เต็มที่ แม้ผู้กำกับจะบอกว่าทำได้ดีแล้ว เชื่อไหม ผมเล่นเสร็จ ออกมานอกฉากผมนั่งร้องไห้ เพราะผมคิดว่าผมสามารถทำได้มากกว่านี้ ผมคาดหวังกับมันไว้มาก
...
ซึ่งพอออนแอร์แฟนๆ ก็บอกว่าเล่นได้ดีมากๆ นั่นล่ะฮะสำหรับผม ซีนนี้มันคือบาดแผลที่ผมอยากกลับไปแก้ไข ในใจลึกๆ ผม มันดีได้อีก"
Thairath Talk : คุณจะชื่นใจมากกว่าถ้ามีคนชมว่าคุณเก่ง มากกว่าชมว่าคุณหล่อ
ใช่ๆ รูปร่างหน้าตามันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าสมมติ คนดูบอกว่าคนนี้เล่นเก่ง คนนี้มีเสน่ห์ ผมรู้สึกภูมิใจมากกว่า แทนที่เขาจะชมว่าผมหล่อ
กำลังใจของ ภณ ณวัสน์
Thairath Talk : ในช่อง 3 คุณคือคลื่นลูกใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจล้นหลาม แฟนคลับมากมายให้กำลังใจ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ มีอะไรอยากจะบอกพวกเขาเหล่านั้นไหมครับ
แฟนคลับคือเป็นกำลังใจของภณจริงๆ เป็นทุกอย่าง ตอนที่ผมถ่ายทำละคร เขาก็คอยลุ้นภาพตอนทำงาน คอยดูว่าวันนี้ภณเป็นยังไง สบายดีไหม ถ้าผมหายไปจากโซเชียลมีเดียสักวันสองวัน เอาแล้ว เริ่มประกาศตามตัวแล้ว (ยิ้ม)
ซึ่งแฟนคลับอาจจะไม่รู้ว่าผมแอบส่องอยู่ (ยิ้มกว้างมาก) ยิ่งช่วงละครจะออน เขาก็ตื่นเต้นมาก จะช่วยโปรโมต ลงรูป แท็กนัดเวลากัน ผมเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่า ต้องขอบคุณพวกเขามากๆ ที่ทำให้มีภณในทุกวันนี้ด้วย เป็นกำลังใจที่ดีมาก เวลาที่เราท้อเราเหนื่อย หันหลังไปก็ยังเจอพวกเขาอยู่ มันคือกำลังใจดีๆ ที่ทำผลงานดีๆ และเป็นรอยยิ้มให้พวกเขาต่อไป
...
กระแสในทวิตเตอร์ ผมเล่นเองเลยนะ ปั่นเองเลย พอละครมา #กำลังใจของภณ ผมก็ตั้งเองเลย แล้วแฟนคลับก็เอาไปใช้กัน
Thairath Talk : คุณเล่นโซเชียลมีเดียเอง เคยมีคอมเมนต์ที่มาตำหนิภณบ้างไหม
ความรู้สึกแรกทุกคนแหละ ก็ต้องมีงงบ้าง แต่ความรู้สึกต่อไป เราก็ต้องคิดว่า ไม่เป็นไร คนเราไม่มีใครชอบเราร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ก็ต้องมีไม่ชอบบ้าง
ส่วนมากจะติเรื่องการแสดง ช่วงเรื่องแรก จะติว่าเล่นแข็งว่ะ ผมก็มองภาพรวมนะ ถ้าเราเป็นคนดู เราก็มองออกว่าไอ้นี้มันเล่นแข็งนะ เราก็เก็บมาเป็นแรงขับเคลื่อน ไม่ใช่เป็นแรงที่ฉุดตัวเองลง
ละครไทย vs ละครเกาหลี
"ละครไทยปัจจุบันนี้พัฒนามากขึ้น เริ่มเน้นความสมจริงมากขึ้น ดูเหมือนภาพยนตร์มากขึ้น ทั้งโทนภาพ โทนสี และบทละคร จะให้ดูเป็นคนที่ใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แบบมองเลยว่านั่นกำลังเล่นละครอยู่
ถามว่า การพูดคนเดียว เราทุกคนเคยอยู่แล้ว แต่การพูดเป็นประโยค เล่าเป็นเรื่องคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ หรือตัวละครตื่นมาก็สวยหล่อเลย ข้ามการอาบน้ำแปรงฟันไปได้เลย"
...
Thairath Talk : คุณรู้สึกไหมว่าละครไทยมีความเป็นเกาหลีมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นข้อดีหรือข้อเสีย ในฐานะคุณเป็นนักแสดง
มีทั้งข้อดีและข้อเสียเลยครับ ข้อดีคือ เอาสิ่งที่ดีของเขามาใช้ ทำให้ความเป็นละครไทยมันดีขึ้น แต่ข้อเสียมันคือ มันอาจจะไปซ้ำกับเขา ซึ่งเขามีทางของเขาอยู่แล้ว เราไปลอกเขาทั้งที่เราแข่งกับเขาไม่ได้หรอก ถ้าเราสร้างละครในแบบของเรา ทำมาตรฐานให้เท่ากับคนอื่นได้ ผมว่ามันจะดีกว่า
"อยากจะเอาจุดที่ดีของเขามาประยุกต์ให้เข้ากับเรา และทำของเราเป็นต้นแบบให้เขาเอาไปก๊อบปี้ได้ วันนึงมันจะเป็นแบบนั้น"
Thairath Talk : การที่ละครไทยยังพัฒนาไม่ไกลมาก ส่วนหนึ่งมาจากคนดูยังต้องการแบบเดิมอยู่
บทละครของไทย ยากไปคนก็ไม่ดู แต่ทำไมยากๆ ของเกาหลี เขาถึงดู เลยกลายเป็นว่าละครไทยต้องทำบทง่ายๆ เดินมาร้อยเมตรก็รู้เลยว่าเป็นตัวร้าย เป็นละครที่ดูง่ายๆ ซึ่งอันนี้มันขึ้นอยู่กับกลุ่มคนดูด้วยว่าเป็นคนกลุ่มไหน มันค่อนข้างลำบากนะครับในการทำละครเรื่องนึง
"ซับซ้อนมากคนก็ไม่ดู เปลี่ยนช่องเลย บางทีง่ายๆ คนกลับชอบ ดูสบายๆ คลายเครียด แต่ถ้าเป็นละครเกาหลี เราเปิดใจมากแต่แรกไง มันยากแค่ไหนก็ดูอีพีต่อไป เรื่องนี้มันแค่ต้องเปิดใจ
คนดูชอบเปรียบเทียบกับซีรีส์เกาหลี ผมอยากให้มองในมุมละครไทยก็ทำออกมาในแบบไทย แต่อาจจะมีจุดดีจุดเด่นของเกาหลีมาแทรกอยู่ ก็อยากให้ลองเปิดใจดูครับ"
ความรัก
ผมไม่เจ้าชู้
"ผมโสดมา 5 ปีแล้ว ช่วงที่เลิกกับแฟนคนล่าสุดคือช่วงที่ผมเพิ่งเริ่มเข้าวงการบันเทิงครับ ตอนแยกกันเราจบกันด้วยดี เป็นเพื่อนกันได้ ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าวงการ ชีวิตต้องเรียน ดูแลตัวเอง ทำงาน ผมไม่มีเวลาให้เลย คนก็อาจจะบอกว่าอ้างเวลาอีกแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเขาเลย เพราะวันๆ ผมต้องไปฟิตเนสออกกำลังกาย กลับมาดูบทละคร ถ่ายละคร ไหนจะทำงานส่งอาจารย์อีก มันดูเวลาน้อย โฟกัสมันไม่ได้ด้วย"
Thairath Talk : ไม่ใช่ว่าเจ้าชู้
ไม่เจ้าชู้เลย ถ้าผมมีแฟนแล้ว ผมไม่เจ้าชู้เลย
Thairath Talk : สเปกผู้หญิงของภณ
เป็นผู้หญิงยิ้มง่าย ยิ้มแล้วโลกสดใส แพ้คนที่ยิ้มแล้วโลกสดใส และเป็นผู้หญิงที่บุคลิกโตกว่า บางเวลาก็ดูเป็นน้องเรา บางเวลาเป็นเพื่อน เป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม มันอาจจะหายากแหละ (หัวเราะ) แต่ถ้ามันคลิกกันจริงๆ อย่างไรก็ต้องหาเจอ
Thairath Talk : สมมติเป็นดาราสักคน จะเป็นใคร
คนนี้ผมเป็นแฟนคลับด้วย นั่นคือ ลิซ่า Blackpink ดูตอนเขายิ้มสิครับ ผมตายอะ (เขินเอามือปิดหน้า) ถ้ามีโอกาสได้บอกอะไรกับลิซ่า ก็อยากจะให้ลิซ่าสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับใครหลายๆ คนไปเรื่อยๆ นะครับผม (เขินจนแก้มแดงหูแดง)
เพศทางเลือก
รักแบบไหนก็คือรัก
เราถามความเห็นของภณในมุมมองของคนที่รักในเพศเดียวกัน เนื่องจากภณได้สวมบทในละครพราวมุก มีภาพโปรโมตเกี่ยวกับชายรักชาย เราเลยให้ภณแสดงความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายของคนรักร่วมเพศ คำตอบที่ออกจากปากพระเอกคนนี้ ถ้อยคำอาจไม่ได้ลึกซึ้ง แต่แววตาที่เข้าใจโลกบ่งบอกความคิดแง่บวกกับคนทุกเพศได้เป็นอย่างดี
"ผมเชื่อนะ (แววตามั่นคง) เชื่อในความรัก ร่างกายภายนอกก็คือเพศหนึ่ง อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่ผมจินตนาการคิดแทนดูว่า เขาแค่มาอยู่ผิดร่างเฉยๆ ความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรผิดถูกหรอก มันไม่จำเป็นต้องเป็นเพศไหน แค่เขาคนนี้เติมเต็มอีกคนให้สมบูรณ์ได้ ไปด้วยกันได้ และมีความสุขที่จะอยู่ด้วยกัน แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเพศด้วย
โลกตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ความรักมันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องจำกัดเพศ เรื่องของกฎหมายที่ยังไม่เปิดกว้าง ผมมองว่า การที่ผู้หญิงจะเซ็นยินยอมให้คู่รักที่เป็นผู้ชายผ่าตัดหรือรักษาอะไรก็ตาม นั่นคือคู่รักเป็นความรัก ถูกไหมครับ ถ้าเป็นคู่รักชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง มันก็คือคู่รัก และเป็นความรักเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มันสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองและแนวคิดเพื่อปลดล็อกกลุ่มคนตรงนี้ได้แล้ว เพราะมันคือความรักเหมือนกัน ก็ควรได้สิทธิที่เท่าเทียมกัน".
ชมคลิป
ผู้เขียน : Bouquet Talk
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun