ได้เวลาของแขกรับเชิญที่ใช้เวลาขอคิวสัมภาษณ์นานถึง 1 ปีเต็ม 'ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี' กว่าพี่ติ๊กจะยินยอมมานั่งเก้าอี้ในรายการ Thairath Talk ได้สำเร็จ แต่การรอคอยช่างคุ้มค่า เพราะทุกคำพูดของพระเอกคนนี้ไม่ใช่มีดีแค่ความหล่อ เราได้ยินทุกคำทุกพยางค์กลั่นมาจากใจ ลึกซึ้งเข้าถึงปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม และป่าไม้ พี่ติ๊กตอบชัดแบบคนเข้าใจโลก สัมผัสด้วยประสบการณ์ 

ส่วนเนื้อหาเรื่องส่วนตัว จุดเด่นของ Thairath Talk เราล้วงลับมาตั้งแต่ยังเป็น ด.ช.ติ๊ก เพิ่งรู้เลยจริงๆ ว่าพี่ติ๊กเป็นลูกครึ่ง! การันตีหลายข้อมูลส่วนตัวของ เจษฎาภรณ์ ผลดี คุณไม่เคยฟังที่ไหน Thairath Talk ที่แรก

วัยเด็กลูกครึ่ง

ไทย-ไหหลำ

Thairath Talk : พี่ติ๊กเติบโตในครอบครัวแบบไหนครับ

คุณพ่อเป็นข้าราชการ คุณแม่เป็นพนักงานบริษัท ผมเลยอยู่กับยายมากกว่า ซึ่งคุณยายเป็นจีนไหหลำ ผมเลยเป็นลูกครึ่งไทย-จีนไหหลำ (ยิ้ม)

Thairath Talk : ได้ข่าวว่าคุณพ่อดุมาก

คุณพ่อเป็นคนมีระเบียบครับ การที่เราจะเล่นข้างนอก จะโดนห้าม เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยและเรื่องระเบียบ ต้องเคารพกฎเกณฑ์สังคม และเป๊ะเรื่องการพูดด้วยครับ ถ้าพูดกับพ่อแม่ไม่มีหางเสียงเป็นเรื่องเลยนะครับ ถ้าเราซน ทะเลาะกับน้องก็จะโดนตี

...

Thairath Talk : ความเข้มงวดของคุณพ่อ เรามองเห็นข้อดีบ้างไหม

การที่เราถูกปลูกฝังแบบนี้ มันก็ติดตัวเรามา เราก็คิดว่ามันดี เราก็ปฏิบัติตัวแบบนี้ตลอดมา

Thairath Talk : โดนตีมาขนาดไหน

ทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวพ่อเลยครับ (หัวเราะ) ไม้ขัดหม้อ ทั้งตี ทั้งโยน ทั้งฟาด แต่ถ้าก้านมะยมนี่คุณแม่ตี อันนี้เบาๆ

Thairath Talk : มีความทรงจำสมัยเด็ก มันมีความสุขไหมครับ

พูดถึงเรื่องนี้ ผมโหยหาบรรยากาศที่คนใช้ชีวิต Manual สมัยนี้คนต่างคนต่างอยู่มากขึ้น เพราะสื่อโซเชียลมีเดีย มันทำให้เราก้มหน้ามองมือถือมากกว่าหันหน้าคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ ทุกวันนี้ผมย้อนกลับไปบ้านเก่า ถนนที่เคยเตะบอลเล่นกับเพื่อน ตอนนี้มีแต่รถจอด แทบไม่มีพื้นที่ให้หายใจ

ไม่เก่ง ต้องขยัน
เรื่องที่ติ๊กไม่ถนัด

Thairath Talk : 20 ปีในวงการบันเทิงของพี่ติ๊ก มีภาพความทรงจำเป็นแบบไหน

งงเหมือนกันนะว่าผ่านมาได้ยังไง มันเร็วมาก ผมรู้สึกว่าในการทำงานแต่ละชิ้น ในช่วงแรกของการอยู่ในวงการบันเทิง ทำไมเราถึงขยันขนาดนั้น ทำไมเรามีความพยายามมากขนาดนั้น เช่น รับละครเรื่องนึง ในฉากหรือสองฉาก ต้องขี่ม้า ผมไปเรียนขี่ม้าทุกวัน หรือมีฉากนึงต้องชกมวย แค่ฉากเดียว ผมเดินไปสมัครที่ค่ายมวย ต้องตื่นเช้าไปวิ่งกับนักมวย ตกเย็นไปซ้อมต่อ

ผมก็มาคิดนะครับว่า ถ้าวันนี้ผมได้โจทย์แบบนี้ ผมจะขยันแบบนั้นไหม ไม่แน่ใจครับ (ยิ้ม)

Thairath Talk : เพราะตอนนั้นมันเป็นงานใหม่สำหรับเรา

เราตื่นเต้นกับโอกาสที่กำลังได้รับ ผมคิดไปเองว่า เราไม่ได้เป็นคนเก่ง อย่างน้อยเราต้องขยันถึงจะเก่งได้

Thairath Talk : 20 ปีที่ผ่านมา มันเป็นโอกาส หรือสายลมที่พัดผ่านมา

มันคือ Passion ถ้าเกิดว่าเราทำอะไรแล้วไม่รู้สึกว่าอยากทำงานชิ้นนั้น แปลว่าเราล้มเหลว ถ้าเราตื่นมาแล้วอยากจะรีบไปทำงาน แบบนี้แหละ งานชิ้นนั้นเราตัดสินใจถูกแล้ว

Thairath Talk : มีไหมงานที่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ไม่อยากทำ

มีครับมี ไม่ใช่สวยหรูเสมอไป บางอย่างต้องทำเพราะมีเหตุผลของมัน นั่นคือบททดสอบอย่างนึง เราต้องตกลงกับตัวเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เราก็จะรู้แล้วล่ะว่า งานนี้ไม่เหมาะกับเรา เลี่ยงมันดีกว่า

Thairath Talk : พี่ติ๊กมีงานไม่ถนัดด้วยเหรอครับ

ไม่ถนัดหลายอย่างครับ บางทีเราต้องรับผิดชอบการประชาสัมพันธ์ เช่น การเล่นภาพยนตร์ เราแฮปปี้ แต่การประชาสัมพันธ์ บางอย่างเราก็ชอบ บางอย่างก็ขัดใจเรา เพราะเรารู้สึกว่าไม่ถนัด แต่เราก็ต้องทำ เพราะคนที่ทำงานร่วมกับเรา เขาก็หวังว่าเราจะไปประชาสัมพันธ์ให้กับเขา เขาก็หวังให้มันเป็นที่รู้จัก

เซนเซอร์
คุณโกหกสังคม

Thairath Talk : วงการบันเทิงเปลี่ยนไปไหมครับในสายตาของพี่ติ๊ก ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

สิ่งที่ผมคิดว่าไม่เปลี่ยนไปก็คือเรื่อง วิธีการเซนเซอร์มั้งครับ (หัวเราะแห้งๆ) ณ วันนั้นที่ผมเข้าวงการใหม่ๆ ก็มีวิธีการเซนเซอร์แบบนี้ ตอนนั้นผมคิดว่ามันล้าสมัยมาก ปัจจุบันนี้ไอ้อย่างนั้นมันยังคงอยู่เลย ตอนนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว ถ้าคุณยังปิดโอกาสแบบนี้เนี่ยให้เห็นแต่ในมุมที่เป็นดอกไม้ คุณกำลังโกหกสังคม สังคมมันไปถึงไหนแล้ว ทำไมคุณไม่พัฒนาตามโลกไป เปิดโอกาสให้คุณได้รับรู้ได้เสพอะไรหลายๆ แบบ ได้เห็นและเข้าใจในสิ่งต่างๆ คือผมรู้สึกว่า มันไม่แฟร์สำหรับคนผลิต คนทำ และผู้บริโภค

...

Thairath Talk : แต่เรามีคนจัดเรตผู้ชมนะ

การที่เราจัดเรต มันดีเพราะไม่ปิดกั้นการเซนเซอร์ แต่ว่าการควบคุมผู้ชมในเรตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เหมือนกับการจัดการร้านสะดวกซื้อ ห้ามเด็กซื้อเหล้าและบุหรี่ ถ้าเกิดควบคุมได้ แปลว่าถูกต้องตามหลักการ เหล้าและบุหรี่ยังคงมีขายอยู่เช่นเดิม

ตอนนี้มันเฟก ต้องปลูกฝัง ต้องปรับทัศนคติ ทำความเข้าใจให้เขาได้เรียนรู้ทุกๆ อย่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับให้ชัดเจน ดังนั้นมันต้องขึ้นอยู่กับคนบังคับกฎและการบังคับใช้

Thairath Talk : วงการบันเทิงไทยเลยไม่ไปไหนใช่ไหมครับ

เวลาคนทำงานดีๆ งานชิ้นนั้นไม่ได้ฉายที่ประเทศไทยหรอก เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ ได้รับรางวัลจากต่างชาติ แต่ฉายในประเทศไทยไม่ได้ งานดีๆ ไม่มีที่อยู่ นี่คือการปิดกั้นแล้ว

ผมเจ็บปวดไม่เท่ากับคนผลิต คนลงทุน ผู้กำกับ หรือครีเอทีฟที่สร้างสรรค์ผลงานมา ผมเชื่อว่างานต่างๆ ที่มันออกมา อย่างน้อยๆ มันให้แง่คิดจากการเล่าเรื่อง จะดีหรือไม่ดี คนที่อยู่ในการบังคับเซนเซอร์ตัดสินแทนผู้ชมไม่ได้ คนดูต่างหากจะบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้ หรือหนังเรื่องนี้ไม่ดี เนื้อหามันถูกตัดจนแทบจะไม่เห็นของจริง

...

ผมว่าเขากลัวคนจะลอกเลียนแบบจากภาพยนตร์ แต่เอาจริงๆ มันไม่เกี่ยว คนจะดีหรือไม่ดีได้ มันขึ้นอยู่กับระบบ ต้องผ่านระบบที่ดีมา นั่นคือสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา เขาสามารถคิดเองได้

บาดแผล
ที่สุดในชีวิต

Thairath Talk : มีสิ่งที่อยากแก้ไขในการแสดงตลอด 20 ปีในวงการไหมครับ

ผมเสียโอกาสดีกว่า ครั้งนึงตอนที่ละครบางเรื่องของผมประสบความสำเร็จดังไปถึงประเทศจีน ตอนนั้นถือว่าเป็นอะไรใหม่ๆ ที่มีคนจีนเสพผลงานของประเทศไทย และผมกลายเป็นคนนึงที่คนจีนเริ่มรู้จักที่นั่น แต่ ณ ตอนนั้น ผมติดงานในประเทศไทย กำลังเริ่มโปรเจกต์รายการ เนวิเกเตอร์ เลยรู้สึกว่ามีเวลาไม่มากพอในตอนนั้น ก็เลยปฏิเสธไป

วันเวลาผ่านไป โอ้โห เราน่าจะมีโอกาสลองอะไรใหม่ๆ เราเสียดายโอกาสนั้น เราอยากเห็นการเติบโตของวงการบันเทิงไทย ผมไม่ได้มองว่าตัวเองจะต้องดัง แต่ผมอยากให้มีการแลกเปลี่ยนกันมากกว่า

...

ตอนนี้ก็มีนักแสดงไทยที่มีฝีมือดีๆ ก็สามารถโกอินเตอร์ได้และทำงานได้ดีจริงๆ ผมชื่นชมในตัวพวกเขามาก ผมเลยอยากให้น้องๆ The Brothers ทำแทนพี่หน่อย

Thairath Talk : เล่าโปรเจกต์นี้ให้ฟังหน่อยครับ เริ่มต้นมาจากอะไร

The Brothers Thailand เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ที่เฟ้นหาศิลปินหรือไอดอล น้องๆ ทั้ง 20 คนที่ผ่านการคัดเลือกจาก 2-3 พันคนที่มาสมัคร ไม่เน้นคนหน้าตาดีหรือกล้ามใหญ่ ทุกคนต้องมาเข้าแคมป์ 90 วัน ในระยะเวลานี้พวกเขาจะได้ความรู้ใน 5 วิชาหลัก คือ ร้องเพลง เต้น การแสดง ดนตรี และการออกกำลังกาย โดยมีครูมืออาชีพคอยดูแลใกล้ชิด

Thairath Talk : ปลายทางของน้องๆ เหล่านี้คืออะไร

มีหลากหลายมากครับ บางคนได้เดบิวต์เพลง เล่นภาพยนตร์ หรือเป็นนักแสดงช่อง 3 ทั้ง 20 คนจะมีคนดังเลยทั้ง 20 คนเลยอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในวงการบันเทิงมันมีตัวเลือกเยอะ มันมีพื้นที่จำกัดในฐานะไอดอล

Thairath Talk : เวลาเราให้โอกาสคน เพราะพี่ติ๊กเคยได้รับโอกาสมาก่อน

ต้องขอบคุณที่ผมได้รับโอกาสดีๆ ตั้งแต่เริ่มแรก คือภาพยนตร์เรื่องแรก ‘2499 อันธพาลครองเมือง’ ซึ่งพี่อุ้ย นนทรี เป็นผู้ที่ตัดสายสะดือติ๊กมาเลย ก่อนหน้านี้ผมก็เคยผ่านงานมาบ้าง เป็นตัวประกอบ หรือที่เรียกว่า เอ็กซ์ตร้า เราถึงได้เจอผู้ใหญ่ เจ้าของงาน ทำให้เราได้รับโอกาสดี แต่ถ้าโอกาสมาถึงแล้ว เราพร้อมรับโอกาสนั้นไหม นั่นหมายความว่า เราต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา เมื่อวันนึงมีโอกาสเข้ามา เราพร้อมรับโอกาสนั้น ถ้าไม่พร้อม โอกาสมันผ่านแล้วผ่านเลย

เนวิเกเตอร์
ติ๊กสร้างภาพ?

“ผมทำรายการเนวิเกเตอร์ รู้ไหมครับเทปแรก มีแต่บอกว่า ติ๊กเฟก ไม่ได้ชอบจริงๆ หรอก แค่อยากสร้างภาพให้ตัวเองดูดีให้เป็นคนรักธรรมชาติ เราไม่ได้ว่าอะไร แต่เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไร วันเวลาผ่านไป รายการผ่านไปเรื่อยๆ มันบ่งบอกว่ามันคือการเดินทางของผมจริงๆ สิ่งที่ผมทำมันคือเรียล คนก็เริ่มเข้าใจและเป็นที่ยอมรับ คนเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เราต้องชี้ทางให้คนดูก่อนให้คนวิเคราะห์วิจารณ์ มันคือการสื่อสารนั่นแหละ

ต่อให้มีคนเข้าใจผิด เราก็รู้สึก ไม่ใช่แค่เรานะ ที่บ้านเรา คนใกล้ชิดเรา เราแคร์เขา เราจึงต้องพิสูจน์ให้ได้ให้ผู้ชมเปลี่ยนความคิดให้ได้ ผมชอบคำว่า เจ้าจงอดทนต่อความเจ็บใจ ต่อให้จะเจ็บปวดเพียงใดให้เก็บมันไว้เป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ดีต่อไป

Thairath Talk : ใช้เวลานานแค่ไหนครับกว่าจะพิสูจน์ตัวตนของเราได้ว่าเราไม่ได้เฟก

ผมสามารถทำรายการเนวิเกเตอร์ได้ถึง 14 ปี การเดินทางของผมเดินทางไม่รู้กี่ร้อยป่า ไม่รู้กี่ทะเลแล้ว คำว่าการเดินทางและสิ่งแวดล้อม มันอยู่ในสายเลือดของผม ต่อให้ใครจะมาเปลี่ยนแปลงอะไรผม ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความรักธรรมชาติของผมไปได้

Thairath Talk : ทำไมถึงเลิกทำรายการนี้ล่ะครับ

ผมไม่ได้เลิกเดินทาง ผมแค่เลิกผลิตรายการ และอาจจะเป็นการเลิกผลิตรายการแค่ชั่วคราวก็ได้ ผมคิดว่าตลอด 14 ปี ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้เล่าเรื่องธรรมชาติตั้งแต่ภูเขายันท้องทะเล วิถีชีวิตชุมชน อาชีพ สัตว์ป่า งานวิจัย พืชพรรณ ผมคิดว่าผมเล่าครบหมดทุกกระบวนความแล้ว เลยอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีของเรา เลยอยากพักก่อน กลับมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ผมอาจจะกลับไปสร้างอะไรใหม่ๆ ก็ได้

Thairath Talk : ไม่ได้ถูกช่องยกเลิกเวลาใช่ไหม

ไม่ใช่ครับ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้โอกาสผมมาตลอดในทุกๆ ปี ถ้าเกิดว่าผมไม่เกิด ผู้ใหญ่ก็คงจะให้โอกาสผมต่อ ผมเป็นคนที่จะขอยกเลิกเอง

หลัง ‘สืบ’ ตาย
อนุรักษ์จอมปลอม

Thairath Talk : การลักลอบตัดไม้ บุกรุกพื้นที่ป่า ล่าสัตว์ ยังอยู่ไหมครับ

มีครับ อยู่ทุกๆ วันในผืนป่าประเทศไทย เป็นเรื่องปกติของเรา มันน่าเศร้าครับ ในขณะที่เราพูดถึงการอนุรักษ์กันมากขึ้น นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ สืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต ทุกคนตื่นตัวเรื่องป่าไม้กันมากขึ้น ยิ่งเรามีสื่อโซเชียลมีเดีย เราพูดและรณรงค์เรื่องนี้มาตลอด หลายองค์กร หลายหน่วยงาน แต่มันย้อนแย้ง มันเป็นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร นำเสนอแต่มุมมองที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ และเป็นข้อมูลที่รับรู้ในแบบเดียวกัน

ห้ามเผาป่า
ให้กูทำยังไง?

Thairath Talk : ปัญหาไฟป่าล่ะครับ

ผมไม่ได้เรียกไฟป่า ผมเรียกว่า ‘ไฟไหม้ป่า’ เพราะมันเกิดจากมนุษย์ ทฤษฎีที่ว่าต้นไม้ถูกันจะเกิดประกายไฟ วู้ว (โบกมือหัวเราะ) แล้วจะเกิดไฟป่า อันนี้เป็นความเชื่อของเมืองไทยมากกว่า น่าจะมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้น 0.00001% ไฟไหม้ป่าของไทย 100% แทบจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์

ดังนั้นไฟไหม้ป่ามันทำให้เกิดความสูญเสียได้มากที่สุด ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ถามว่าพื้นที่เกษตรกรรม วิธีที่จะกำจัดวัชพืชที่ถูกที่สุดก็คือการเผา ถ้าเราไปห้ามเขาไม่ให้เผา เขาก็จะมีคำถามกลับมาว่า แล้วจะให้กูทำยังไงวะ

ถ้าเราห้ามจึงต้องมีทางออก เช่น ในชุมชนนั้นมีเทคโนโลยีดีๆ หรือระบบในการกำจัดวัชพืช แล้วมีหน่วยงานรับผิดชอบในชุมชนตัวเอง มีฝ่ายเก็บไปเผาให้เรียบร้อย ถ้าเรามีระบบการจัดการที่ดี ทุกอย่างมันแก้ได้ครับ

Thairath Talk : ปัญหามันแก้ได้จริงๆ เหรอครับ

มันขึ้นอยู่กับว่าอำนาจมันอยู่กับใคร อยู่ที่ประชาชนหรือเปล่า

Thairath Talk : พี่ติ๊กพูดซะผมสิ้นความหวังเลยนะครับ

อย่าสิ้นความหวังครับ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราไม่เคยจัดการมากกว่า

ผู้เขียน : Bouquet Talk

ภาพ : Sathit Chuephanngam