เปิดเบื้องหลังก่อนครูอ้อยจะร่อนจดหมายแจงกรณีเรียกค่าไถ่ 11 ล้าน อ้างมีขบวนการรุมกินโต๊ะ แต่ไม่ได้พูดคำถามที่สังคมสงสัย อึ้งคนดังวงการเมืองเป็นที่ปรึกษา เผยเป็นกลาง และอยากรู้ความจริงที่สังคมสงสัยเช่นกัน....

กลายเป็นประเด็นต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ถูกตั้งคำถามมากมาย แต่กลับไม่มีคำตอบที่สังคมถามไถ่ กรณีครูอ้อย “ครูอ้อย” ฐิตินาถ ณ พัทลุง (อ่านเพิ่ม : โซเชียลหัวร้อน 5 คำถามที่ 'ครูอ้อย' ไม่ได้ตอบในงานแถลงข่าว)

ไม่ว่าจะเป็น 1.ครั้งแรกที่ตั้งโต๊ะแถลง ไม่มีการตอบคำถามของเหล่าคนดัง เช่น เอ๋ มณีรัตน์, ครูเงาะ รสสุคนธ์, ปอย ตรีชฎา, อุ๋ย บุดด้าเบลส เป็นต้น เรื่องการนำภาพของพวกเขาไปโปรโมตในคอร์สการสอนของครูแบบไม่ขออนุญาตให้ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเซ็นสัญญาอนุญาตให้นำภาพไปใช้โปรโมตคอร์สเธอได้

2.คำถามถึงเรื่องจรรยาบรรณในการเผยแพร่ภาพคนที่อยู่ในกระบวนการบำบัดควรนำมาเผยแพร่หรือไม่อย่างไร เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ที่นำภาพของคนที่กำลังบำบัดออกมาโปรโมตคอร์สตัวเอง เรื่องเหล่านี้เธอก็ยังไม่ตอบกับสังคม

‘ซึ่งต่อให้เราเซ็นยินยอม แต่วันนี้เจ้าตัวขอยกเลิกให้ความยินยอม ไม่ได้ให้ความยินยอมต่อไป ถ้ายังกระทำซ้ำให้เกิดความเสียหายสามารถมีความผิด’ แบบที่ครูเงาะถาม เรื่องเหล่านี้เธอก็ไม่ได้อธิบายในการแถลงเลย

ล่าสุด ครูอ้อย ร่อนแถลงการณ์ผ่านสื่อมวลชน กรณีเรียกค่าไถ่ 11 ล้านที่ก่อนหน้านี้เธอมาเปิดประเด็นใหม่ โดยมีใจความที่ไม่มีเนื้อหาที่สังคมอยากรู้โดยมีใจความดังนี้ 

หลายสัปดาห์มานี้ คนไทยได้ดูเกมโปลิศจับขโมย ที่ขโมยเดินหน้าอยู่หลายก้าว ผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งจับชื่อเสียงคนๆ หนึ่งไว้เป็นตัวประกัน ปฏิวัติวงการเรียกค่าไถ่แบบใหม่ คือไม่ต้องเอาตัวไว้ เอาแค่ชื่อเสียงไว้ก็พอ

...

แล้วเขียนข้อความขู่กรรโชก จะทำลายให้สิ้นซาก หากผู้ถูกเรียกค่าไถ่ไม่ยอมจ่ายเงิน 11 ล้านบาท เรียงลำดับหัวข้อทุกอย่างเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย ทั้งโจมตี พ่อแม่ลูก งาน ธุรกิจ การทำบุญ หุ้นตัวเดียวที่เคยซื้อ บริษัท ภาษี ไปเที่ยวกินข้าว ทำอะไร เอามาแต่งให้ทุกเรื่อง กะว่า ทำทั้งหมดนั้น คนถูกทำตายแน่

แล้วมีบางสำนัก เป็นคนต้นขบวนในการกระจายข่าว ข่าวต่างๆ มีหัวข้อตรงกับที่โจรวางไว้

ก่อนหน้านั้น ก็ประโคมข่าวปูพื้นไว้ก่อน เทียบกับวัดแห่งหนึ่ง อันนี้หวังผลสองทาง คือเสี้ยมให้ลูกศิษย์วัดดัง โกรธครูอ้อยที่ถูกนำมาเทียบกับวัดเขา อีกทางคือ คนที่ไม่ชอบวัดนั้นก็โกรธด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง แต่กระแสในสังคมไทยจุดติดง่าย และคนอยู่เบื้องหลังเป็นคนที่เข้าใจวงการสื่ออย่างดี

แล้วมีกลุ่มดารา ออกมาพูดว่า ไม่ให้ใช้รูป ในวันเดียวกับที่จดหมายขู่เรียกค่าไถ่ ว่าจะทำลายชื่อเสียงถูกส่งมา


ตามด้วยมีการลงในสื่อต่างๆ บิดเรื่องว่า ไปภาวนาต้องจ่ายเงิน เอาค่าเรียนห้องสัมมนา ของนักธุรกิจ มาบิดเป็นว่าเป็นค่าเรียนธรรมะ ซึ่งใครจะไปจ่ายเงินไปฟังเทศน์ที่มีเทศน์ฟรีกันทุกวัด แต่โจรเรียกค่าไถ่ก็สร้างเรื่องจากขาวเป็นดำได้สำเร็จอีกเรื่อง

ต่อด้วยเรื่องเงินทำบุญ จนครูอ้อยออกมาชี้แจงว่า มีทีมรับเงินไปมอบตามองค์กรที่ตั้งใจทำบุญทุกแห่งถูกต้องโปร่งใส ฝ่ายกล่าวหาก็หาว่า เพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร หรือใบเสร็จ จนมีการออกมาชี้ชัดว่า เวลาไปภาวนาที่โรงแรมหรือที่อินเดียมีคนจ่ายเงินให้ก่อน มีใบเสร็จ พอภายหลังคนร่วมทำบุญมา ก็เอาเงินนั้น ไปสำหรับทำบุญต่อ และที่หาว่าจะได้ประโยชน์ทางภาษี ปีที่ผ่านมา รัฐลดฐานภาษีบริษัทเหลือ 0-10%

หาว่าคนทำบุญเพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตรไปหักภาษี แต่ประเทศไทยนั้น เงินทำบุญ ลดหย่อนภาษีได้แค่ล้านละ สองหมื่น แล้วลดได้ไม่เกินสองแสน คนที่ทำบุญไปเป็นล้านๆ พวกโจมตีก็หาว่าเพราะเขาอยากได้ลดหย่อน สองหมื่น คนปกติคิดก็รู้แล้ว ว่าใส่ความกัน

จากนั้นก็โจมตีด้วยเรื่องส่วนตัว ความรัก การใช้ชีวิต บ้าน การท่องเที่ยว พ่อแม่ลูกอีก ซึ่งถ้าเรามองดูดีดี ฆราวาส ถึงเขาจะทำบุญสุนทาน ช่วยคน เขาก็เป็นฆราวาส แล้วถ้าเขาต้องเจอกับปัญหาอะไรในชีวิตเขา ก็เป็นเรื่องที่น่าเอาใจช่วย คนที่พยายามทำดี ในโลกที่ปั่นป่วนแบบนี้ ในขณะที่โจรที่มุ่งโจมตี พยายามชี้นำกระแสสังคมว่า ตัวเองเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่น ให้ไปควบคุมบังคับว่าใครจะใช้ชีวิตยังไง แบบนี้คนก็จะไม่อยากทำความดี เพราะทำดีแล้วต้องมาถูกคาดคั้น บังคับ ใส่ความ

...

มีการโจมตีว่าเอาบ้านสวยๆ มาใช้ให้คนจนไปปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้ คนปาร์ตี้กินเหล้า เต้นรำในบ้านแบบไหน เป็นเรื่องปกติ แต่พอเอามาให้คนจนใช้ปฏิบัติธรรม กลายเป็นเรื่องแปลก แล้วแบบนี้ เราจะกลายเป็นผูกขาดว่าให้ปฏิบัติธรรมตอนจน พอใครรวยแล้วให้หลงโลก ไป มีของสวยแล้วไม่ต้องภาวนา ไม่งั้นก็ไม่ต้องมีอะไรดีดีในชีวิต ไปปฏิบัติ เฉพาะตอนอกหัก ตกงาน เป็นหนี้ ชีวิตเป็นทุกข์ ยากจน

ใช้สื่อหนึ่งเป็นคนต้นกระแส ต่อด้วยเพจเฟซบุ๊กเครือข่ายต่างๆ รับลูกกันไป

แล้วให้ไอ้โม่งปิดหน้า มารายงานข่าวทางโทรทัศน์ ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องหุ้น แล้วสื่อพวกเดียวกันก็เอาไมค์ไปจ่อปากถาม ผู้ดูแลตลาดหุ้น ให้ตรวจสอบ ให้กลายเป็นว่า ตลาดหุ้นไทย รับเรื่องจากโจรปิดหน้าได้ด้วย อย่างนี้ใครจะใส่ความใคร ก็ปิดหน้า ออกทีวี กล่าวโทษ ให้ชื่อเสียงเสียไป แล้วผล การตรวจสอบจะไม่มีมูลอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว เพราะถูกทำลายไปแล้ว

สรุปคือ การโจมตี มีแบบแผนตรงตามจดหมายขู่เรียกค่าไถ่ โจรทำตามที่ขู่ไว้ทุกอย่าง และขู่ว่ายังมีไม้ตายอีกมาก มีเครื่องมือเยอะ เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการ กระบวนการยุติธรรมของไทย จะตามทันโจรยุคใหม่หรือไม่ เรื่องนี้จะถูกจับได้โดยตำรวจ หรือคนธรรมดาอย่างไร มาติดตามดูกัน

...

และทั้งหมดนี้ก็เป็นความในใจครูอ้อย ต่อกรณีที่อ้างว่ามีการเรียกค่าไถ่ 11 ล้านบาท ในมุมครูอ้อย 

อย่างไรก็ดี มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวระดับสูงถึงเบื้องหลังคำปรึกษาที่ต่อมาออกมาเป็นแถลงการณ์ฉบับนี้ของครูอ้อย ขณะคนที่ยื่นมือเข้ามาให้คำปรึกษาเรื่องคดีความคือคนดังในวงการเมือง โดยไทยรัฐออนไลน์ลองติดต่อผ่านแหล่งข่าวระดับสูงถึงคนที่อ้างว่าครูอ้อยไปขอคำปรึกษา พร้อมกับติดต่อไปยังครูอ้อยก็ยังไม่ได้รับการตอบตกลงนัดหมาย หรือยืนยันแต่อย่างใด

'ที่ยื่นมือเข้ามา พี่เขาไม่ได้เข้าข้างใคร แต่อยากรู้เหมือนที่ทุกคนอยากรู้ว่า เรื่องการกล่าวหา เรื่องที่สังคมสงสัย เรื่องต่างๆ ด้วยเอกสาร เมื่อประเด็นเหล่านี้เข้ากระบวนการยุติธรรมว่าใครคือคนที่ผิดกันแน่ จะได้ให้สังคมกระจ่างกัน...' ปลายเสียงย้ำเหตุผลผ่านไทยรัฐออนไลน์