ศ.นพ.ธีระวัฒน์

เปิดหัวข้อสนทนาจากหัวใจของ “หมอดื้อ” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...“สปสช.จะแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ขาดทุนให้กลายเป็นม้าอารี ถูกเบียดเบียนโดยผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน?”

อาจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขา Business Analytics and Intelligence และวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงคณะสถิติประยุกต์ ผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สะท้อนมติที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 พ.ค.60

ประเด็นที่น่าจะเป็นปัญหามากคือ การจัดระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย “ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทยนี้” ...ย่อมหมายรวมถึงพม่า ลาว เขมร เวียดนาม โรฮีนจา ฝรั่งขี้นกตกยากลำบากสำมะเลเทเมา และผู้อพยพอื่นๆ ตลอดจนคนชายขอบ...คนไร้สัญชาติหรือที่ไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติทั้งหมด เรียกว่า...หากเหยียบเข้ามาบนแผ่นดินไทยแล้วต้องรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่า หากทำเช่นนั้นจริงๆ ก็ควรต้องเปลี่ยนชื่อว่า บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค และทุกชีวิตบนแผ่นดินไทยด้วย

“ประเด็นนี้น่าคิด และเป็นประเด็นที่เอ็นจีโอกลุ่มตระกูล ส นี้พยายามผลักดันมาโดยตลอด นักวิชาการบางคนที่สังกัดกลุ่มนี้เอะอะอะไรก็จะให้สิทธิ์คนต่างชาติ คนไร้สัญชาติ คนชายขอบ...ให้รักษาได้ฟรีทุกโรค และให้สัญชาติไทยเข้าไปด้วยทุกคน (แล้วทำไมไม่รับเข้าไปดูแลไว้ที่บ้านตัวเองให้หมดออกเงินเลี้ยงดูให้หมดด้วย)”

จริงอยู่ที่ “สยาม” หรือ “ดินแดนสุวรรณภูมิ” ในอดีตนั้นเป็นเบ้าหลอมรวมวัฒนธรรมและเป็นอู่อารยธรรมที่หลอมรวมชนทุกชาติให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แต่ในสังคมเกษตร การศึกนั้นทำเพื่อแย่งทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการเกษตรนั่นคือ...กำลังคน การไปตีเมืองขึ้นต้องไปกวาดต้อนผู้คนมาเพื่อมาเป็นแรงงานในการทำการเกษตรและการพัฒนาประเทศ เราถึงมีคำว่าชุมชนบ้านครัว เพราะไปเทครัวมา

...

แต่...ในปัจจุบันนี้เราไม่ได้จำเป็นต้องการแรงงานมากมายขนาดนั้น และการเข้ามาของแรงงานอพยพตลอดจนผู้อพยพทำให้เกิดปัญหามากมาย เช่น นำโรคระบาดที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมานานกลับเข้ามาใหม่ การมาใช้สิทธิรักษาพยาบาลฟรี...เบียดเบียนคนไทย ปัญหาผู้อพยพโรฮีนจานั้นเห็นได้ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกากดดันด้วยประเด็นสิทธิมนุษยชนว่าไทยต้องรับผิดชอบ แต่ทำไมสหรัฐอเมริกาไม่ส่งเงินมาให้ และไม่รับคนเหล่านี้ไปประเทศตัวเองให้หมด...สมัยที่เขมรแตก เขมรหนีตายอพยพเข้ามาในประเทศไทยมากมาย แต่เฉพาะคนที่มีการศึกษา คนที่มีศักยภาพส่วนใหญ่จึงจะสามารถอพยพไปประเทศที่สามได้ และแม้ในที่สุดค่ายอพยพจะปิดลงไปแต่ก็ยังมีเขมรอพยพตกค้างที่ไปไหนไม่ได้ ไม่มีประเทศใดยอมรับไป และยังเป็นภาระของประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้

ทุกวันนี้...โรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งแทบจะไม่มีเตียงคลอดให้แม่คนไทย เพราะพม่าและคนแอฟริกันมาคลอดเต็มโรงพยาบาล ที่หนักกว่านั้นคือตู้อบเด็กคลอดก่อนกำหนด เต็มไปด้วยเด็กพม่าและเมื่อเด็กไทยจะเข้าตู้อบเด็กดังกล่าวก็ไม่มีที่ว่าง...เราเมตตาปรานีเขาจนเราเดือดร้อนกันทีเดียว

และตอนนี้ก็มีเทรนด์ฮิตในหมู่แรงงานข้ามชาติว่าเมื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทยให้รีบมีลูกกันหลายคน อาจจะไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยร่วมจ่ายสมทบประกันสังคมให้แรงงานต่างด้าวด้วย และคนไทยที่ใช้สิทธิประกันสังคมเองก็แทบจะไม่ใช้สิทธิประโยชน์ด้านการคลอดและการสงเคราะห์บุตร...

“ส่วนแรงงานต่างชาติที่ได้สิทธิประกันสังคมนี้กลับใช้สิทธิประโยชน์ด้านการคลอดและการสงเคราะห์บุตรในอัตราที่สูงมาก พุ่งทะยานติดต่อกันต่อเนื่องมาห้าหกปีแล้ว และเป็นความนิยมว่าการแพทย์ในประเทศไทยมีคุณภาพดีมากกว่าในประเทศบ้านเกิด จึงนิยมมาคลอด มามีลูกในไทย

...และการศึกษาไทยก็อย่างน้อยก็ยังดีกว่าในประเทศบ้านเกิด บางโรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครนั้นมีแต่นักเรียนพม่าเต็มทั้งโรงเรียน แต่จ่ายด้วยภาษีอากรของไทย คนไทยนั่นแหละครับที่เสียภาษีเหล่านี้”

เรื่อง “ผู้อพยพ” มีลูกมากรากดกของแรงงานต่างด้าวนี้ “มาเลเซีย” กับ “ฮ่องกง” ตัดไฟแต่ต้นลม โดยห้ามแรงงานต่างด้าวมีบุตรโดยเด็ดขาด ถ้ามีจะถูกส่งกลับไปคลอดที่ประเทศของตนทันที ห้ามคลอดในประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังและไม่ให้เป็นภาระทางการเงิน

“พอพูดอย่างนี้ก็มีนักสิทธิมนุษยชนพูดบ้างว่าไร้จิตใจ ไม่มีมนุษยธรรม คำถามคือเขาไม่ได้ห้ามมีความรักและไม่ได้ห้ามมีกิจกรรมทางเพศ ไม่ได้ห้ามคุมกำหนัดแต่ต้องรู้จักคุมกำเนิด ถ้าไม่คุมกำเนิดเขาดูแลไม่ไหวก็ต้องส่งกลับไป ไม่ให้เป็นภาระของเขา”

ในอังกฤษเอง National Health Security หรือ สปสช. ของอังกฤษ ก็ให้บริการทางการแพทย์ฟรีกับผู้อพยพไปอังกฤษทุกคนอย่างที่ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา และตระกูล ส และ สปสช. กำลังพยายามผลักดันแบบนี้ และทำให้ NHS รัฐบาลอังกฤษ...ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวมากมาย

สปสช.ม้าอารี รักษาฟรีทั้งแผ่นดิน

สำหรับ “ประเทศไทย” ควรพิจารณารักษาตามความจำเป็นตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ใช่มาป่าวประกาศว่ารักษาพยาบาลให้ฟรีทุกคน หมอชนบทตัวจริงเสียงจริงเป็นหมอไร้สัญชาติตัวจริง ไม่ใช่พวกชมรมแพทย์อ้างชนบทเพื่อผลประโยชน์ตัวเองอย่าง นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผางที่มีโอกาสได้คุยด้วยและศรัทธานั้น หมอเขาข้ามไปรักษาคนไข้ที่ฝั่งพม่าด้วยซ้ำไป และดิ้นรนหาเงิน ขอบริจาคยาเก่าที่ไม่ใช้แล้วไปรักษาคนไร้สิทธิ์...ไร้สัญชาติเหล่านี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและควรสนับสนุนมาก

...

อนาคต...ถ้าประเทศไทยประกาศกฎหมายว่าให้รักษาฟรีกันหมดกับทุกคนบนแผ่นดิน เกิดมีเพื่อนบ้านทุกชาติอพยพเข้ามามากมาย สร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับแพทย์...บุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทย แย่งเตียงหรือกำลังคนในการรักษาคนไทยซึ่งเจ็บป่วยให้ต้องรอคอยนานขึ้น หรือ...มียาที่ใช้รักษาเท่าเดิมแต่ต้องรักษาผู้อพยพด้วย แล้วต้องมาแย่งชิงทรัพยากร...เงิน ยา บุคลากรอันจำกัด จะทำเช่นไร

แล้วยิ่งโรงพยาบาลของรัฐขาดทุน...ขาดสภาพคล่องจวนเจียนจะล้มละลาย เพราะการบริหารเงินแบบซับซ้อนซ่อนเงื่อนของ สปสช. และภาวะสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวของไทย...จนจะไปต่อไม่ไหว และนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องอนุมัติงบกลางมาแก้ปัญหา เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคนไทยก็จะเดือดร้อน

สถานการณ์เป็นเช่นนี้...จะทำอย่างไรกันต่อไป “ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยอะไร และโรงพยาบาลของเราก็ประสบปัญหาขาดทุนมากมาย ต่อให้สิบพี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งแทบตายก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ายังจะสร้างปัญหาต่อไป...ปัญหาที่คนไทยขาดแคลน ไม่ได้รับบริการทางการแพทย์เพราะโรงพยาบาลขาดทุนและแออัดอยู่ แล้วยังจะไปเป็นม้าอารีที่ถูกเบียดเบียนโดยผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้านอีกหรือ?”

การช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆที่ตัวเราเองยังเดือดร้อนไม่น่าจะเป็นผลบุญสักเท่าไหร่ แม้จะถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม แล้วเวลาประชาชนคนไทยเดือดร้อน...นักสิทธิมนุษยชนไปมุดหัวแถวรูตรงไหน? ทำไมไม่ออกมาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเองก่อน?

การรักษาพยาบาลมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากและควรทำให้คนในชาติตนเองได้รับสิ่งที่ดีเพียงพอเสียก่อน ซึ่งหากจะช่วยก็ควรทำอย่างเงียบๆ ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ถึงตรงนี้...คนไทยทั้งหลายคิดเห็นกันอย่างไรกันบ้าง...

ปัจจุบันเรามีปัญหามหาศาลอยู่แล้ว...ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ.

...