เมื่อจิตเกิดความรู้สึกศรัทธาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีการใดๆ มาพิสูจน์อะไรอีก และจะฝังจิตลงลึกไว้ในจิตใต้สำนึกไปตลอดชีวิต

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอพาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ไปย้อนรอยเหตุการณ์โศกนาฏกรรมช็อกโลก ที่ บุคคลเพียงคนเดียว สามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้คนเกือบ 1 พันคน ชาย หญิง และเด็ก ดื่มยาพิษ ฆ่าตัวตายหมู่พร้อมๆ ได้

นี่คือเรื่องจริง ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

คำถามสำคัญ คือ มันเป็นไปได้อย่างไร?

ศรัทธา ของ มนุษย์ มันน่ากลัวมากมายถึงเพียงนี้ เชียวหรือ?

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอ พาทุกท่าน นั่งไทม์แมชชีน ย้อนหลังไปในปี ค.ศ.1978 ที่เมือง "กูยาน่า (Guyana)" ทวีปแอฟริกา ลัทธิสังคมอุดมสุข "พีเพิลส์ เทมเปิ้ล (Peoples temple)" ถูกก่อตั้งขึ้น โดย จิมส์ วอเรน โจนส์ "ปาป้า" ของบรรดาผู้ให้ความศรัทธา

และเป็นผู้ที่สร้างวาทกรรม อันลือลั่นชาวโลกที่ว่า...

“พ่อไม่เคยโกหกคุณ เราไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เรากระทำการฆ่าตัวตายเพื่อประท้วง”

...

ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1950 ที่โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ในเมืองอินเดียน่าโพลิส จากนั้น เมื่อมีผู้ให้การสนับสนุนมากขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ จึงย้ายถิ่นไปอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก ในปี ค.ศ.1970 ซึ่งในเวลานั้น มีผู้ให้การสนับสนุน ชายที่ชื่อว่า จิม โจนส์ นับพันคน เข้าให้แล้ว

อะไรที่ทำให้ ลัทธิสังคมอุดมสุข สร้างความเชื่อถือให้กลุ่มผู้สนับสนุนได้นับพันคน น่ะหรือ?

สงบสุข สันติ เท่าเทียม เสมอภาค ความเป็นเจ้าของร่วมกัน และวาทศิลป์อันเอกอุ ของ จิม โจนส์ ที่เคยถึงขนาดอวดอ้างว่า มีเงาของพระคริสต์อยู่ในร่างของตัวเอง! ทั้งหมดนี้ ถูกพูดกรอกหู ให้บรรดาสาวกได้รับฟังทุกครั้งในระหว่างการเทศนาสั่งสอน และเมื่อกำลังพลของผู้สนับสนุน เริ่มแข็งแกร่ง จิม โจนส์ จึงรวบรวมเงินจากบรรดาสาวก ไปซื้อที่ดินในดินแดนอันห่างไกล ที่เมือง "กูยาน่า (Guyana)" ทวีปแอฟริกา เพื่อ สร้างเมืองในฝัน

โจนส์ ทาวน์ คือชื่อของเมืองที่ว่า ภายใต้ concept คนจากหลายชนชั้น สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยไม่ถูกโจมตีจากชนชั้นที่เหลื่อมล้ำ

แต่แล้ว สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น เมื่อบรรดาสาวกพากันหอบหิ้วครอบครัว ลูกเล็กเด็กแดง ย้ายถิ่นที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไปยัง เมืองแห่งความฝัน ทันทีที่เดินทางถึง บรรดาแกนนำ จะออกไปยึด พาสปอร์ต ของทุกคนทันที นั่นเท่ากับ เป็นการปิดประตูไม่ให้ใครก็ตาม ออกไปจากเมืองแห่งความสุขนี่ได้ นอกเสียจากได้รับการอนุญาต จาก จิม โจนส์ เท่านั้น

คนใน โจนส์ ทาวน์ อยู่กันอย่างไร?

อธิบายง่ายๆ ก็คือ ทุกคนจะได้รับหน้าที่เป็นของตัวเอง เช่น ทำกสิกรรม ทำอาหาร สร้างบ้าน อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ ที่ตั้งของโจนส์ ทาวน์ นั้น แต่เดิมเป็นพื้นที่ป่ารกชัฏห่างไกลความเจริญ แม้จะพยายามช่วยกันคนละไม้คนละมือแพ้วถางให้เกิดเมืองขนาดย่อมๆ ขึ้นมาได้ แต่การใช้ชีวิตของคนที่เคยอยู่สังคมเมืองมาก่อน ย่อมประสบปัญหาเรื่องความสะดวกสบาย นอกจากนี้ การที่ทุกคนจะอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด และมีบทลงโทษอันเฉียบขาดและรุนแรง ของ ผู้นำลัทธิ

จึงทำให้ ผู้ที่เคยให้การสนับสนุนส่วนหนึ่ง เริ่มเอาใจออกห่าง และคิดที่จะหนีออกไปจากเมืองแห่งสุขนี้ ซึ่งเมื่อ จิม โจนส์ เริ่มระแคะระคายว่า จะมีผู้แปรพักตร์ จึงประกาศออกไปในทันทีว่า ใครที่รู้ว่า มีคนกำลังต่อต้านกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นสำหรับ โจนส์ ทาวน์ จะต้องมารายให้ เค้ารับทราบทันที! ด้วยเหตุนี้ ความหวาดระแวง และความหวาดกลัว จึงปกคลุมไปทั่ว โจนส์ เทาว์ ถึง ขนาดที่ว่า คนในครอบครัวเดียวกัน ยังไม่ไว้ใจกันเอง

อย่างไรก็ดี ข่าวคราว เรื่องคนในโจนส์ ทาวน์ ต้องการที่จะหลบหนีเพื่อกลับไปยังบ้านเกิด ก็หลุดไปถึงหู รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าจนได้ จากผู้ที่สามารถหลบหนีออกไปภายนอกได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการส่ง นายลีโอ ไรอัน สมาชิกสภาคองเกรส และ ทีมผู้สื่อข่าว เดินทางไปตรวจสอบ เมืองแห่งความสุขทันที

เมื่อคณะเดินทางไปถึง ท่ามกลางการต้อนรับเป็นอย่างดี และทุกอย่างดูเหมือนปกติ ชาวโจนส์ ทาวน์ แทบทุกคนที่คณะไปพบ พยายาม present ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกคนในเมืองนี้ล้วนแล้วมีแต่ความสุข สนุกสนาน ทุกคนรักเมืองนี้ ที่นี่มีแต่ความสุขที่สังคมภายนอก ไม่มีทางได้พบพาน ข่าวที่เกิดขึ้นในสังคมภายนอก เป็นเพียงข่าวลือ ที่มุ่งหวังโจมตี จากผู้ไม่หวังดีทั้งสิ้น!

...

แต่แล้ว ฉากหน้าที่ฉาบไปด้วยความสุข ของ โจนส์ ทาวน์ ก็เริ่มลอกคราบ เมื่อ เหล่าสาวกที่ต้องการแปรพักตร์พยายามแอบติดต่อกับ ทีมของ ลีโอ ไรอัน เพื่อขอให้ช่วยพาหนีออกไปจากเมืองแห่งความสุขแห่งนี้

เมื่อ ลีโอ ไรอัน ได้รับการร้องทุกข์ จึงประกาศทันทีว่า จะพาตัว ผู้แปรพักตร์กลับประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 15 คน ทันทีที่ทราบข่าว จิม โจนส์ และบรรดาแกนนำ ย่อมไม่มีทางยอมที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น บนดินแดนแห่งความสุขได้ จึงพยายามหาทางขัดขวางทุกวิถีทาง

จนกระทั่ง เมื่อ คณะผู้ลี้ภัย เดินทางไปถึงสนามบินเพื่อเตรียมบินกลับประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มมือปืนภายใต้การบงการ ของ ผู้นำลัทธิสังคมอุดมสุข จึงสาดกระสุนเข้าใส่ทันที เป็นเหตุให้ ลีโอ ไรอัน เสียชีวิตพร้อมกับผู้ติดตามรวมถึงผู้แปรพักตร์จำนวนหนึ่ง ในขณะอีกส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่เหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่นี้ มีพยานเห็นเหตุการณ์ ชาวโลกจึงได้รู้เรื่องวิปริตทั้งหมดที่เกิดขึ้นในที่สุด

เมื่อแผนสังหาร เกิดความผิดพลาด และรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉยแน่นอน

...

จิม โจนส์ จึงได้ทำในสิ่งที่ ชาวโลกคาดไม่ถึง นั่นก็คือ การบงการให้ บรรดาสาวก ฆ่าตัวตายหมู่

“เตรียมพร้อม ๆ white night” รหัสลับ ที่ถูกประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงใน โจนส์ ทาวน์ เพื่อเรียกทุกคนออกมาประชุม จากนั้น ก็ให้ข้อมูลที่บิดเบี้ยวกับผู้ศรัทธาว่า รัฐบาลสหรัฐ กำลังส่งทหารมากำจัดทุกคนในเมืองแห่งความสุขนี้ ให้สิ้นซาก ทางเดียวที่จะชนะ คือการ ฆ่าตัวตาย เท่านั้น

“หากเราอยู่อย่างสันติไม่ได้ เราก็มาตายอย่างสันติเถิด และนี่ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อตัวเอง แต่นี่เป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อปฏิวัติ และตายด้วยเกียรติอันสูงส่ง”

นี่คือ วาทะกรรมที่ จิม โจนส์ พูดกับบรรดาสาวกเพื่อให้ลงมือปลิดชีพตัวเอง ตามคำบอกเล่า ของ ผู้ที่คิดได้ และไม่หลงไปตามคำยุงยง ให้ อัตวินิบาตกรรม ของผู้นำลัทธิ

โดยการฆ่าตัวตายหมู่นี้ เริ่มต้นจาก เรียกบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมดมารวมตัวกัน จากนั้น จิมส์ โจนส์ ได้สั่งให้มีการปรุงยาพิษ ซึ่งเป็น เหล้าองุ่นผสมไซยาไนด์ขึ้น และเมื่อทุกคนที่อยู่ในอาการสงบมารวมตัวกัน วาทกรรม ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม ฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก จึงหล่นออกมาจากปากของ ผู้นำลัทธิสังคมอุดมสุข ว่า

“หากเราอยู่อย่างสันติไม่ได้ เราก็มาตายอย่างสันติเถิด และนี่ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อตัวเอง แต่นี่เป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อปฏิวัติ และตายด้วยเกียรติอันสูงส่ง”

จากนั้น จึงค่อยๆ มีการ รินยาพิษ ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ โดย เด็กและทารก คือผู้ที่ได้ “ปลดเปลื้องความทุกข์” ตามคำนิยามของ จิม โจนส์ เป็นลำดับแรก ด้วยมือของพ่อและแม่ของเด็กเอง จากนั้น จึงไปสู่บรรดาผู้ใหญ่ในลำดับต่อๆกันไป โดยมี ผู้นำสูงสุดของสังคมอุดมสุข คอยพูดกล่อมเกลาบรรดาสาวก ที่กำลังลงมือฆ่าตัวตายตลอดเวลา เช่น

...

“จงวางชีวิตไว้กับความมีเกียรติ แต่จงอย่าวางไว้กับน้ำตาและความทรมาน”

ทรมาน ใช่ครับ ดื่มยาพิษผสมไซยาไนด์ จะไม่ทรมานได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ตามรายงานการสอบสวน จึงพบว่า มีบางคน ที่ไม่อาจทนความทรมานจากสารพิษได้ จึงได้ร้องขอให้บรรดาเพื่อน ช่วยใช้ปืน ปลิดชีพ ให้พ้นจากความทุกข์ไปเสียก็มี

909 ศพ รวมทั้ง จิม โจนส์ ที่ในเวลาต่อมา ถูกพบว่ามีรอยกระสุนที่หัว คือ การสังเวยชีวิตไปให้กับ สิ่งที่ เรียกว่า ความศรัทธา

เป็นไปได้หรือ คนเพียงคนเดียว สามารถสั่งการให้คนนับพัน ฆ่าตัวตาย ได้

ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง ให้ความเห็นกับ ทีมข่าวฯ ในประเด็นนี้ว่า

หากจะว่ากันตรงๆ ที่ว่า มนุษย์เราชอบยึดถือความเป็นจริงกัน แต่มักไม่รู้กันว่า ความจริงในชีวิตมนุษย์ที่จริงแท้นั้นมันมีไม่ถึง 15% นอกนั้นเป็นความคิดเชื่อ และจินตภาพกันไปเองแทบทั้งนั้น ที่เรียกกันว่า ปรุงแต่ง และแต้มสี กัน แล้วแต่จะปรุงแต่งมันไปด้านบวกหรือด้านลบกัน เท่านั้น

โดย ความเชื่อ นั้น อาจจะต้องผ่าน การพิสูจน์ เสียก่อน มนุษย์ถึงจะเชื่อ แต่หาก ความเชื่อ พัฒนาจนกลายเป็น ความศรัทธา แล้ว มนุษย์ ไม่จำเป็น ต้องให้มีการพิสูจน์ อีกต่อไป

กระบวนการใดที่จะนำความเชื่อไปสู่ความศรัทธาได้บ้าง?

ปกติ มนุษย์เรา เรียนรู้ ผ่าน 3 ประสาทสัมผัส คือ 1. เรียนรู้จากการได้ยินได้ฟังมาราว17% 2.เรียนรู้จำได้ จากการสัมผัสแค่ 7% และ 3.เรียนรู้และจำได้จากการได้เห็นราว76%

ฉะนั้น การใส่ชุดข้อมูลใดๆ ผ่านการรับรู้ของมนุษย์ ใน 3 ประสาทสัมผัสนี้ ก็จะสามารถพัฒนา ความเชื่อ ของมนุษย์ ไปสู่ ความศรัทธา ได้ในที่สุด

ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ในสังคม จะเกิด ความเห็นต่าง เรื่องความศรัทธา ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง นั่นเป็นเพราะ ฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้รับฟังน้ำเสียง ได้สัมผัสใกล้ชิด หรือ ได้เห็นภาพที่น่าเลื่อมใส จาก บุคคล ที่ฝ่ายหนึ่งให้ความเคารพ

......ความศรัทธา ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น......เหมือนอีกฝ่ายหนึ่ง

ที่น่าสนใจอีกประการ ก็คือ การสะกดจิต เพื่อให้เกิดความเชื่อ และเมื่อทำมากเข้าๆ มันก็จะทำให้เกิด ความศรัทธา ได้เช่นกัน

โดย การสะกดจิต เพื่อพัฒนาความเชื่อของมนุษย์ ให้กลายเป็น ความศรัทธา นั้น สามารถทำได้เมื่อมนุษย์อยู่ใน 2 ภาวะ คือ 1.ภาวะที่ตื่นเต้น เร้าใจ สุดๆ (Peak) 2.ภาวะที่เงียบนานๆ จนเกิดภวังค์(trance)

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เช่น กรณีกลุ่ม Glooming sunday ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผู้ทำหน้าที่ดีเจ ซึ่งทำตัวเป็น ศาสดาของกลุ่ม มักพูดด้วยน้ำเสียงที่กระตุ้นอารมณ์ให้คึกคักด้วยคำพูดที่ปลุกอารมณ์ให้อยากทำ และคำยั่วยุให้กล้าเสี่ยงกล้าทำ ผ่านสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง ให้บรรดาสาวก ไปฆ่าตัวตายเพื่อจะได้ไปขึ้นสวรรค์ ในช่วงระหว่างที่มีการเปิดเพลงเร้าใจ จนทำให้เกิดการพร้อมใจไปฆ่าตัวตาย เพื่อจะได้ไปขึ้นสวรรค์ ตามคำพูดของ ดีเจ ในทุกๆ วันอาทิตย์ ของ สัปดาห์ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนนับร้อยคน

และอีกกรณี ก็คือ กรณีของ ลัทธิสังคมอุดมสุข ของ จิมส์ วอเรน โจนส์ ที่ ใช้ความเงียบสงบ สะกดบรรดาสาวก ให้พร้อมใจกัน ไปดื่มน้ำองุ่น ที่มียาพิษไซยาไนด์ ผสมอยู่ ฆ่าตัวตายจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต บนดินแดน ที่ เรียกว่า โจนส์ ทาวน์ มากถึง 914 ศพ

ช่วงวัยของมนุษย์ ที่จะถูกล้างสมอง ได้ง่ายมากที่สุด

ช่วงวัยที่มนุษย์ ต้องการ การเรียนรู้มากที่สุด ก็คือ 1.ช่วงวัยรุ่น ที่ต้องการเรียนรู้และอยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ 2.ช่วงสูงอายุ เนื่องจากช่วงวัยนี้ สมองจะเริ่มว่าง เพราะไม่ค่อยมีภาระหน้าที่อะไรให้รับผิดชอบมากนัก

การบำบัด หรือแก้ไข

เป็นไปไม่ได้เลย! เพราะอย่างที่บอก ความศรัทธา นั้น พัฒนาจากการเรียนรู้มาเกือบตลอดชีวิตของคนหนึ่งคน ฉะนั้น เมื่อบุคคลเกิดความรู้สึกศรัทธาขึ้นในเรื่องนั้นๆ หรือคนสอนคนๆนั่น จึงเหนือเกินกว่าความคิดเชื่ออย่างมีเหตุเป็นผลแล้ว เราจะไปบอกให้ เขา มารักษา มันก็เท่ากับเราจะไปเปลี่ยนความคิดเชื่อที่เป็นจิตสำนึก และความรู้สึกที่เป็นจิตใต้สำนึกที่ฝังลึกในจิตของเขา แทบไม่ได้แล้วนั่นเอง

เพราะ เมื่อศรัทธา แล้ว นั่นคือ ชีวิตทั้งหมดของเค้า

การแสวงหาทางออก ให้กับ ความศรัทธา ที่มากเกินพอดี

เบื้องต้น ต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายขึ้นไป รู้สึก "พอใจ" หรือ ที่เรียกว่า Win-Win หลีกเลี่ยงการกล่าวหา หรือ กล่าวโทษกัน เพื่อทำให้เกิดคำว่า Win-Lose คือ ต้องแพ้-ชนะ กันไปข้าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น ความขัดแย้งก็ไม่อาจยุติลงด้วยดี

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องทำให้เกิดความพอใจทั้งสองฝ่าย เช่น เชิญผู้ที่จะกล่าวหา มาช่วยอธิบายให้ผู้มีอำนาจ ที่จะกล่าวหาเรื่องนั้น มาให้ความกระจ่าง เป็นต้น

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน