หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ประเทศไทยปี 60 สู่โรดแม็ประยะสาม มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้ง จี้ปลดล็อกพรรคการเมือง ชวนแข่งขันเรื่องนโยบาย ฟื้นศรัทธาประชาชน ชี้นักการเมือง ต้องเป็นผู้นำการปฏิรูป...
วันที่ 1 ม.ค. 2560 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองในปี 2560 ว่า จะเป็นปีที่เดินเข้าสู่ระยะที่สามของโรดแม็ป ซึ่งต่างจากปี 2559 ที่มีการลงประชามติรัฐธรรมนูญ คนจะมองถึงการเลือกตั้งเป็นรูปธรรมมากขึ้น แม้การเลือกตั้งจะไม่เกิดในปี 60 แต่สังคมจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ รวมถึงความสนใจถึงปัญหาของประชาชนว่าจะได้รับการแก้ไขหลังการเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร และทำอย่างไรที่จะไม่ให้มีความขัดแย้งเช่นเดิมหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องในสังคมชนบทและผู้มีรายได้น้อย จะมีการพูดถึงแสดงออกมากขึ้นว่าจะแก้อย่างไร ยิ่งใกล้สู่การเลือกตั้งจะมีการประเมินว่า มีการปฏิรูปไปแล้วมากน้อยแค่ไหน อะไรที่ต้องทำต่อ และอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
"โจทย์สำคัญคือ ต้องหาคำตอบให้กับอนาคตของประเทศว่า จะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร เพราะนับวันความต้องการของประชาชนจะมีความหลากหลายและมีช่องว่างมากขึ้น เช่น ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจ ไม่มีความหมายสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เผชิญปัญหาภัยแล้ง หรือราคาพืชผลตกต่ำ หรือเรื่องเงินเฟ้อถึง 1% ไม่มีความหมายเท่ากับของแพงขึ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับนโยบาย 4.0 ไม่ใช่คำตอบสำหรับคนทุกกลุ่มในชาติ จึงหวังว่าปี 2560 พรรคการเมืองจะตื่นตัวเรื่องทางเลือกนโยบายมากขึ้น ก่อนนำไปสู่การเลือกตั้งแทนที่จะถกเถียงเรื่องกฎหมายหรือกติกา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าเท่าที่ทำได้ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมาย"
จี้ปลดล็อกพรรคการเมือง ปลุกร่วมแข่งนโยบาย
...
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เรื่องใหญ่ที่ประเทศต้องเผชิญที่ต้องทำให้สอดคล้องกัน เช่น การศึกษาจะพูดเรื่องคุณภาพอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดูเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ระบบการศึกษากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมได้ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะจำกัดการทำงานของพรรคการเมืองในปีหน้า เพราะเมื่อกฎหมายพรรคการเมืองบังคับใช้ก็ต้องมีการประชุมพรรคเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งพรรคการเมืองจะมีเสรีภาพในการทำงานและจะเป็นคำตอบว่าประชาชนจะมีความเห็นอย่างไรกับพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์จะมุ่งนโยบายให้เป็นความหวังของประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าไม่สามารถทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพึ่งได้ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อแสวงหาประโยชน์ของตัวเอง ปี 2560 จึงเป็นปีที่ท้าทายว่าพรรคการเมือง นักการเมือง จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้หรือไม่ว่า พรรคการเมืองเป็นคำตอบ ไม่ใช่ผู้สร้างปัญหา
กระตุกนักการเมืองเร่งปฏิรูปฟื้นศรัทธาประชาชน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับพรปีใหม่ ตนขอให้ปี 2560 มีการวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจสำหรับคนไทยทุกคน ให้การเมืองไทยเป็นการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย และคนในระบบประชาธิปไตยใช้เสรีภาพด้วยความรับผิดชอบ ให้สังคมไทยใช้พลังความสามัคคีเป็นพื้นฐานให้ประเทศมีอนาคตที่ดีต่อไป คสช.ที่ต้องการวางรากฐานประเทศจะอยู่บนความคิดว่า นักการเมืองชั่วหมด ต้องกำจัดเสรีภาพคงไม่ได้ เพราะต้องนำสังคมไทยกลับสู่การเลือกตั้ง จึงหวังว่าจะปรับเปลี่ยนท่าทีเพื่อเตรียมสังคมให้มีความพร้อมสำหรับอนาคตต่อไป ถ้าไม่ทำก็เสี่ยงว่าสิ่งที่ทำไว้จะไม่ได้ผลอะไรเพราะทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
เรียกร้องนักการเมืองเป็นผู้นำการปฏิรูป
ส่วนกติกาที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ไม่คิดว่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะการเมืองจะเปลี่ยนอย่างไรอยู่ที่พฤติกรรมมากกว่ากติกา เนื่องจากบทบัญญัติต่างๆ มีความพยายามจะทำให้ดีขึ้นแต่ไม่ได้เป็นหลักประกัน เพราะปัญหาประเทศไทยที่ผ่านมาคือ การบังคับใช้กฎหมายและวัฒนธรรมทางการเมือง ถ้านักการเมืองยังมุ่งประโยชน์ของตนมองหาช่องว่างทางกฎหมายหรือใช้กฎหมายในทางบิดเบี้ยวกติกาก็ไม่ช่วยอะไร พลังสังคมที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมการเมืองและการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง ถ้าระบบการเมืองไม่สามารถสร้างความศรัทธาได้ สุดท้ายจะย้อนกลับสู่ปัญหาเดิม
"เมื่อถึงการเลือกตั้ง สังคมจะมีโอกาสเลือกพรรคการเมือง ถ้าสนับสนุนคนเก่าให้ทำแบบเก่า ก็ได้ผลแบบเก่า แต่ในฐานะนักการเมืองก็เรียกร้องนักการเมืองด้วยกันว่าต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงปฏิรูป" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในที่สุด.