วันนี้เราจะพาแฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนไปทำความรู้จักกับเทพเจ้าลูกครึ่งในศาสนาฮินดูกัน คำว่า เทพเจ้าลูกครึ่ง หมายถึง เทพเจ้าที่สำแดงรูปลักษณ์ออกมาในรูปที่มีส่วนผสมของสองสิ่งอยู่ในองค์เดียวกัน ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปในอารยธรรมอันสำคัญของโลกทั้งหลาย ผู้เขียนเรียบเรียงบทความนี้อยู่ภายใต้ความเคารพสักการะ เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความเป็นมาและรู้จักกับเทพเจ้าที่อาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน
พระคเณศ เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอเล่ารายละเอียดมาก พระองค์มีเศียรเป็นช้างและกายเป็นมนุษย์ สำหรับชาวอินเดียเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่ต้องบูชาเป็นองค์แรกเสมอ เพราะเป็นเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวง
รูปลักษณ์ที่ปรากฏทั่วไป คือ เทพเจ้าที่มีร่างกายใหญ่ มีเศียรเป็นช้าง เท่าที่คัมภีร์รวบรวมไว้มี 32 รูป แต่ละรูปหรือปางแตกต่างกันไป มีพระกรตั้งแต่ 2-16 กร หรือมากกว่านั้น มีเศียรตั้งแต่ 1-5 เศียร หรือมากกว่านั้น
พระหนุมาน มีเศียรเป็นลิง กายเป็นมนุษย์ เป็นทหารเอกของพระรามตามมหากาพย์รามเกียรติ์ บางคัมภีร์กล่าวว่าเป็นอวตารของพระศิวะ เพื่อช่วยพระนารายณ์กำจัดราวัณ (Ravan; ทศกัณฐ์) ได้รับยกย่องว่าเป็นเทพแห่งความจงรักภักดีและความกล้าหาญ
...
รูปลักษณ์ที่ปรากฏทั่วไป เป็นเทพเจ้ามีเศียรเป็นลิงและกายเป็นมนุษย์กำยำ ถือกระบองเป็นอาวุธ มีหางยาว แต่บางครั้งจะปรากฏเป็นปัญจมุขี หรือ 5 เศียร ประกอบด้วย หนุมาน (ลิง), นรสิงห์ (สิงโต), ครุฑ (นก), วราหะ (หมูป่า) และหัยครีพ (ม้า) ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับพระนารายณ์ทั้งสิ้น
พระวราหะ หรือวราหาวตาร ถือเป็นอวตารหลัก องค์ที่ 3 ของพระนารายณ์ มีเศียรเป็นหมูป่าเขี้ยวงาม กายเป็นมนุษย์ หรือบางครั้งก็ปรากฏเป็นหมูป่าทั้งตัวเลยก็มี
ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อครั้งที่หิรัณยักษา อสูรร้ายม้วนแผ่นดินไปซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร ซึ่งแผ่นดินนั้นก็คือ ภูมิเทวี หรือปฤฐวิเทวี พระแม่ธรณีที่เรารู้จักกันนั่นเอง ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องอวตารในรูปของครึ่งคนครึ่งหมูป่าไปปราบ ในที่สุดพระองค์ก็สามารถใช้เขี้ยวงัดแผ่นดินขึ้นมาจากท้องมหาสมุทร และส่งแผ่นดินนั้นกลับคืนสู่จักรวาลดังเดิม
รูปลักษณ์ที่ปรากฏทั่วไป เป็นรูปของเทพเจ้าร่างกำยำ เศียรเป็นหมูป่า กายเป็นมนุษย์ มี 4 กร ถือกระบอง จักร และสังข์เหมือนพระนารายณ์ กำลังงัดแผ่นดิน หรืออุ้มภูมิเทวีขึ้นมา พระบาทยังเหยียบหิรัณยักษาไว้ด้วย แต่ที่วิหารวราหา ในหมู่เทวสถานของคาจูราโฮ เป็นหมูป่าองค์ใหญ่ ตามลำตัวสลักรูปเทพเจ้าไว้มากมายอีกด้วย
พระนรสิงห์ หรือนรสิงหาวตาร เป็นอวตารหลักองค์ที่ 4 ของพระนารายณ์ เศียรเป็นสิงโต กายเป็นมนุษย์ มีที่มาต่อเนื่องจากเรื่องราวในอวตารที่ 3 หลังจากที่วราหาวตารได้ฆ่าหิรัณยักษาตายไป หิรัณยักศิปุ ผู้เป็นพี่จึงทำตบะอันแรงกล้า เพื่อขอพรต่อพระพรหม พรนั้นมีอยู่ว่า “ได้โปรดมอบพรให้ข้า...ไม่ตายด้วยสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พระองค์เป็นผู้สร้าง ไม่ตายทั้งในหรือนอกเคหาใดๆ ไม่ตายทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ตายทั้งบนพื้นหรือบนฟ้า ไม่ตายด้วยศัสตราวุธ ไม่ตายด้วยน้ำมือมนุษย์ สัตว์ อสูร หรือพระเจ้า และมีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง พรทั้งหมดนี้จะไม่สลายไปด้วยเวลาใดก็ตาม”
...
ในการต่อสู้ระหว่างนรสิงห์และหิรัณยักศิปุนั้น นรสิงห์จับหิรัญยักศิปุยกขึ้นและแหวกท้องแหวกไส้จนตายไป เพราะสิงห์ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ และไม่ใช่เทพ แต่เป็นครึ่งสัตว์ครึ่งเทพ หิรัญ-ยักศิปุไม่ได้ตายในหรือนอกเคหา แต่ตายระหว่างทางเข้าออกพอดี ไม่ได้ตายกลางวันหรือกลางคืน แต่เป็นเวลาพลบค่ำ ไม่ได้ตายทั้งบนพื้นหรือบนฟ้า แต่ตายบนตักของนรสิงห์ และไม่ได้ตายด้วยศัสตราวุธใดๆ แต่ตายด้วยกรงเล็บอันแหลมคม
พระหัยครีพ หรือหัยครีวตาร อีกหนึ่งอวตารของพระนารายณ์ มีเศียรเป็นม้า กายเป็นมนุษย์ เป็นเทพเจ้าแห่งความรอบรู้และความเฉลียวฉลาด อุปมาดั่งม้าที่ทั้งแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดนั่นเอง กล่าวว่า พระองค์เป็นเทพที่คอยลากพระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าในทุกๆเช้า แต่ตามตำนานในภควัตปุราณะ กล่าวว่า เมื่อครั้งสร้างโลก มีอสูร 2 ตน นามว่า มธุและไกฏภะ ได้ขโมยคัมภีร์พระเวทไปจากพระพรหม พระนารายณ์อาสาอวตารเป็นพระหัยครีวะเพื่อนำพระเวทกลับมาให้ หลังการต่อสู้กัน สุดท้ายร่างของสองอสูรผู้โชคร้ายถูกฉีกเป็น 12 ท่อน ตกลงสู่พื้นโลกทำให้เกิดเป็นแผ่นดินไหว
...
รูปลักษณ์ที่เห็นโดยทั่วไป เป็นเทพเจ้าที่มีเศียรเป็นม้า กายเป็นมนุษย์ มี 4 กร เหมือนพระนารายณ์ พระวรกายสีขาวนวลเหมือนม้า บางแห่งปรากฏเป็นพระหัยครีวะอุ้มพระแม่ลักษมีอยู่บนตักด้วย
พระหริหระ หรือศังกรนารายณ์ เป็นเทพเจ้าที่รวมกันระหว่างพระนารายณ์และพระศิวะ โดยส่วนใหญ่ซีกขวาของพระองค์จะเป็นพระนารายณ์ และซีกซ้ายจะเป็นพระศิวะ หรือสลับกันบ้างก็มี
ตามตำนานกล่าวว่า มหิษี น้องสาวของมหิษาสูร โกรธแค้นที่เหล่าเทพเจ้าร่วมกันฆ่าพี่ชายของตน ด้วยการสร้างพระแม่ทุรคาขึ้นมาทำลายอสูรตนนั้น นางจึงกระทำตบะขอพรจากพระพรหมให้เป็นอมตะ นางใช้ความเจ้าเล่ห์ขอพรในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ โดยจะไม่มีใครฆ่านางตายได้ นอกจากบุตรของพระนารายณ์ที่เกิดกับพระศิวะเท่านั้น ซึ่งเทพทั้งสองล้วนเป็นบุรุษ เมื่อนางเที่ยวระรานไปทั่วทุกที่ พระนารายณ์จึงหาทางแก้ด้วยการอวตารเป็นนางโมหินี ให้มีบุตรกับพระศิวะ บุตรของนางโมหินีกับพระศิวะจึงเป็นผู้ที่สามารถฆ่ามหิษีได้ในที่สุด ตามตำนานนี้จึงปรากฏรูปพระนารายณ์และพระศิวะองค์ละครึ่ง อีกนัยหนึ่งก็เพื่อความสมานฉันท์กันระหว่าง 2 นิกายใหญ่ คือ ไวษณวนิกายและไศวะนิกาย พระหริหระจึงเป็นการตอกย้ำแนวความคิดที่ว่า เทพเจ้าทั้งสองเป็นองค์เดียวกัน และเป็น ปรพรหมัน หรือความจริงสูงสุดหนึ่งเดียวกันนั่นเอง
...
รูปลักษณ์ที่ปรากฏโดยทั่วไป คือเป็นเทพเจ้าครึ่งพระนารายณ์ครึ่งพระศิวะ มี 1 เศียร 4 กร ซีกพระนารายณ์จะถือจักร หรือสังข์ และคทา ซีกพระศิวะจะถือตรีศูล
พระอรรธนารีศวร เป็นองค์หนึ่งที่ไม่ทราบว่าจะเรียก เทวาหรือเทวี จึงจะเหมาะ เพราะมีกายเป็นครึ่งบุรุษครึ่งสตรี คือ พระศิวะกับพระแม่ปารวตีนั่นเอง รูปเคารพที่เก่าแก่ที่สุดอายุราวศตวรรษที่ 1 ในช่วงราชวงศ์กุษาณะ ได้รับการพัฒนาและเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ในราชวงศ์คุปตะ
ในมหากาพย์มหาภารตะ เมื่อครั้งที่อุปมันยุอ้อนวอนต่อพระศิวะให้มีการปรากฏขึ้นของใครก็ได้ ที่มีสภาพครึ่งบุรุษครึ่งสตรี เพื่อความสมบูรณ์และสมดุลของเพศในจักรวาล พระศิวะจึงเป็นตัวแทนนั้นในการปรากฏขึ้นในรูปครึ่งบุรุษครึ่งสตรี ส่วนในคัมภีร์สกันทะปุราณะ กล่าวว่า พระแม่ปารวตีขอร้องพระศิวะว่า พระนางอยากเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ศิวะและพระนางจึงปรากฏคู่กันสมใจในรูปของอรรธนารีศวรนั่นเอง ในศิวะปุราณะกล่าวว่า พระพรหมผู้สร้าง ได้สร้างบุรุษเพศขึ้นมาแล้วอย่างสมบูรณ์ คือ เหล่าพระประชาบดี เทพบุรุษที่มีหน้าที่ช่วยพระพรหมในการสร้างสรรค์ต่อไป หากแต่เหล่าเทพบุรุษนั้นจะสร้างวงศ์วานขึ้นได้อย่างไร พระพรหมจึงปรึกษาพระศิวะว่าควรทำอย่างไร พระศิวะจึงอาสาปรากฏกายเป็น อรรธนารีศวร ครึ่งสตรีบนร่างพระศิวะจึงเป็นผู้สร้างเหล่าศักติทั้งหลาย ซึ่งเป็นพลังฝ่ายสตรีให้กำเนิดขึ้น ทำให้การสร้างสรรค์จักรวาลดำเนินต่อไปได้
รูปลักษณ์ที่ปรากฏส่วนใหญ่ เป็นรูปครึ่งพระศิวะอยู่ซีกขวาของพระองค์เอง และครึ่งพระแม่ปารวตีทางซีกซ้าย ถือตรีศูล และดอกบัว หรืออาจเป็นอาวุธอื่นๆ
กามเธนุ หรือสุรภี ถือเป็นหนึ่งเทวีที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดองค์หนึ่ง และเป็นเทพเจ้า หรือเทวีลูกครึ่งที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เนื่องจากมีเศียรเป็นมนุษย์ แต่กายเป็นโค แต่ละคัมภีร์กล่าวถึงพระ นางต่างกันไปในมหาภารตะจาก อาทิ ปารวะ กล่าวว่า เมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทพเจ้าและอสูร ที่ต้องการน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะ ได้เกิดของวิเศษขึ้นหลายสิ่ง หนึ่งในนั้นคือ กามเธนุ โควิเศษที่ให้สิ่งใดก็ได้ตามที่เจ้าของปรารถนา ส่วนในรามายณะ กล่าวว่าพระนางเป็นบุตรีของพระกัศยปะกับนางโกรธวัศ เป็นชายาของพระทักษะ แต่ในบางปุราณะกลับกล่าวว่า พระนางเป็นบุตรีของพระทักษะ และเป็นชายาของพระกัศยปะแทน แต่อย่างไรก็ตาม พระนางก็ได้ชื่อว่าเป็นมารดาแห่งโคทั้งปวง หรือบางแห่งก็พ่วงตำแหน่งมารดาแห่งกระบือไปด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง เชื่อกันว่าพระนางอาศัยอยู่ที่โคโลก (Goloka : โลกแห่งวัว) และใต้บาดาล
รูปลักษณ์ที่ปรากฏทั่วไป นอกจากมีเศียรเป็นสตรี กายเป็นแม่โคแล้ว ยังมีปีกและหางเป็นนกยูงอีกด้วย แต่ในอีกลักษณะหนึ่งจะเห็นเป็นแม่โคธรรมดา แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่ทุกอณูของร่างกาย ขาทั้งสี่มีพระเวท 4 เล่ม และภูเขาหิมาลัยสถิตอยู่ ปลายเขามีพระพรหม กลางเขามีพระนารายณ์และโคนเขามีพระศิวะสถิตอยู่ ดวงตามีพระอาทิตย์และพระจันทร์สถิตอยู่ หัวไหล่มีอัคนีเทพและวายุเทพ สถิตอยู่ ส่วนใต้ท้องมีคนทุกชนชาติอาศัยอยู่เพื่อดื่มนมจากเต้าของพระนางด้วย.
โดย : อารยัน
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน