ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งแรง หลังกลุ่มนอกโอเปกตัดสินใจลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 5.58 แสนบาร์เรลต่อวัน น้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวขึ้นไปอยู่ที่ 57.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบกว่า 2ปี
เมื่อ 12 ธ.ค.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นถึง 4% สูงสุดตั้งแต่ปี 2557 เมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธ.ค. หลังองค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อส่งออก (Organization of the Petroleum Countries) หรือกลุ่มโอเปก ซึ่งมีสมาชิก 14 ประเทศ และกลุ่มนอกโอกเปก 11 ประเทศ สามารถบรรลุข้อตกลงกันเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ร่วมกันควบคุมราคาน้ำมัน และผ่อนคลายภาวะน้ำมันล้นตลาดโลก ด้วยการที่กลุ่มนอกโอเปกตกลงจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 558,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2560 และเมื่อครบกำหนด 6 เดือนแล้ว จะพิจารณากันใหม่อีกครั้ง
การจับมือระหว่างกลุ่มโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวขึ้นทันทีแตะราคา 57.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งเป็นราคาสูงสุดนับตั้งแต่ก.ค. 2557 ขณะที่น้ำมันดิบ ยูเอส เวสต์ เทกซัส อินเตอร์มิเดต (WTI) ก็ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 54.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดตั้งแต่ ก.ค.57 เช่นกัน
...
ทั้งนี้ กลุ่มนอกโอเปก 11 ประเทศ ประกอบด้วย อาร์เซอร์ไบจาน บาห์เรน บรูไน อีกัวทอเรียล กินี คาซัคสถาน มาเลเซีย เม็กซิโก โอมาน รัสเซีย ซูดาน และซูดานใต้ ได้ตกลงที่จะลดกำลังการผลิตลงวันละ 558,000 บาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าตอนแรกที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดวันละ 600,000 บาร์เรล แต่ก็ถือว่าเป็นการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มนอกโอเปกปริมาณมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะรัสเซีย จะลดกำลังการผลิตลงถึง 3 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่จะเป็นการลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อ 30 พ.ย. กลุ่มโอเปก 14 ประเทศ ได้บรรลุข้อตกลงกันครั้งประวัติศาสตร์ที่จะลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อหวังดึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ราคาตกต่ำต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปีแล้ว