เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวดีที่ชาวไทยควรจะภาคภูมิใจอย่างยิ่งเกิดขึ้นข่าวหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ข่าวดีข่าวนี้ไม่เป็นที่รับรู้กัน
อย่างกว้างขวางเท่าที่ควรจะเป็น
ท่านที่ติดตามอ่านคอลัมน์ผมในช่วง 2-3 เดือนมานี้คงจะพอจำได้ว่าเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้เขียนถึงเรื่องการประกวดข้าวในระดับโลกที่เรียกว่า การประกวด “World’s Best Rice” หรือข้าวที่ดี ที่สุดในโลกแห่งปี
จัดโดยองค์กรที่ใช้ชื่อว่า The Rice Trader ซึ่งเป็นสถาบันทางวิชาการที่มีการเผยแพร่เอกสารทั้งด้านข่าวสารและการวิจัยเรื่องข้าวในทุกประเด็น รวมทั้งการค้าการขายด้วยแก่บรรดาสมาชิก
ในแต่ละปีเขาจะจัดการประชุมใหญ่ เพื่อสำรวจทิศทางการค้าข้าวและการผลิตหรือการปลูกข้าวขึ้นเสมอๆ โดยจะหมุนเวียนไปจัดในประเทศต่างๆที่ปลูกข้าวเป็นหลัก
ระหว่างการประชุมใหญ่นั้นเอง เขาจะจัดให้มีการประกวดข้าวดีที่สุดของโลกที่ว่านี้ขึ้น และจะประกาศผลการตัดสินก่อนที่การประชุมจะยุติลง
ในปีแรกซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ปี 2552 นั้น ข้าวหอมมะลิไทยนี่แหละที่คว้าแชมป์มาครองเป็นประเดิม ปีที่ 2 มาจัดที่ภูเก็ต ก็ปรากฏว่า ข้าวหอมมะลิไทยสามารถคว้าแชมป์มาได้อีกเป็นหนที่ 2
แต่หลังจากนั้นคือตั้งแต่ปี 2554 หรือการประกวดครั้งที่ 3 ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เป็นต้นมา ข้าวหอมมะลิไทยก็ไม่ได้แชมป์โลกอีกเลย
ข้าว ปอว์สั่น ของพม่าคว้าแชมป์ในปีดังกล่าว และถัดมาอีก 3 ปีซ้อนมาจัดที่ฮ่องกง, บาหลี แล้วก็พนมเปญ ปรากฏว่า ข้าว ผกาลำดวน ของเขมร เป็นฝ่ายคว้าแชมป์โลกไปครองถึง 3 ครั้งซ้อนๆ
ปีที่แล้วซึ่งเป็นปีที่ 7 จัดที่กัวลาลัมเปอร์ ล็อกถล่มไปตามๆกัน เมื่อข้าวสหรัฐฯ “แคลโรส” เป็นฝ่ายคว้าแชมป์โลกไปครองในที่สุด
...
ผมก็เอามาเขียนในคอลัมน์นี้ด้วยความระทดใจตามประสาคนชาตินิยมและเชียร์ไทยในทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การแข่งขันกีฬาไปจนถึงการแข่งขันคณิตศาสตร์ เคมี ตลอดจนแตรวง หรือวงดุริยางค์ ฯลฯ
นักกีฬาไทยได้แชมป์โลกหรือได้เหรียญอะไรกลับมา ผมก็จะดีใจปลื้มใจ มีความสุขไปหลายวัน แม้แต่เด็กๆไทยไปคว้ารางวัลเหรียญทองคณิตศาสตร์โลก เคมี ชีวะโลก ผมก็ไม่เว้นที่จะมีความสุขไปด้วย
เมื่อรู้ว่าข้าวหอมมะลิไทยเคยเป็นแชมป์โลก และต่อมาเสียตำแหน่งไปหลายปี ผมก็รู้สึกรันทดท้อห่อเหี่ยวใจว่าทำไมเราถึงแพ้เขาได้หนอ
พอทราบข่าวว่าปีนี้เขาจะมาจัดประกวดในประเทศไทย โดยจะมีการประชุมใหญ่ที่ โรงแรมเลอเมอริเดียน จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน ผมก็ลุ้นเต็มที่ ภาวนาให้ข้าวหอมมะลิไทยเราทวงแชมป์กลับคืนมาให้จงได้
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง ก่อนที่การประชุมใหญ่เรื่องข้าวที่เชียงใหม่จะยุติลง เขาก็มีการประกาศผลการประกวดข้าวประจำปีออกมาก่อนตามธรรมเนียม ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่ผมเอาใจช่วย
ข้าวหอมมะลิไทย คว้ารางวัลที่ 1 มาครองตามด้วยข้าว แคลโรส ของแคลิฟอร์เนีย แชมป์ปีกลาย และ ข้าวผกาลำดวน ของกัมพูชา แชมป์ 3 ปีซ้อนก่อนหน้านี้
นอกจากจะทวงตำแหน่งแชมป์โลกกลับคืนสู่ประเทศไทยได้สำเร็จ ยังทำให้ข้าวหอมมะลิของเราครองตำแหน่งแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 3 หรือแฮตทริกอีกด้วย ทำสถิติเท่ากับข้าวผกาลำดวนของกัมพูชา เพียงแต่ของเราไม่ 3 ครั้งติดต่อกันเท่านั้นเอง
ต้องขอแสดงความยินดีกับข้าวหอมมะลิไทยและขอถือโอกาสนำมาบันทึกด้วยความภาคภูมิใจไว้ในคอลัมน์นี้ตามประสาคนนิยมไทย และเชียร์ไทยสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างที่ว่า
เราเป็นประเทศปลูกข้าว ปลูกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ชื่อเสียงขจรขจายเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่า ข้าวกับไทยแลนด์นั้นเป็นของคู่กัน
เสียแชมป์โลกส่งออกข้าว แม้ผมจะเสียดายแต่ก็ยังไม่เท่าเสียแชมป์โลกความอร่อยหรือความเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก
ดังนั้น เมื่อเราคว้าแชมป์โลกกลับคืนมาได้เช่นนี้ ผมจึงรู้สึกปลาบปลื้ม และมีความสุขอย่างยิ่ง อาจจะสุขมากกว่าที่ผมเขียนถึง “น้องเม” เอรียา จุฑานุกาล คว้าตำแหน่งนักกอล์ฟหญิงแห่งปีของโลกเมื่อวันก่อนด้วยซ้ำไป
แต่ในท่ามกลางความดีใจนี้เอง ผมก็มีความน้อยใจระคนอยู่บ้าง ...น้อยใจเรื่องอะไร...พรุ่งนี้ค่อยเฉลยก็แล้วกันนะครับ.
“ซูม”