สำหรับความรักระหว่าง ‘กษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย’ กับ ‘ราชินีผู้เป็นดั่งแม่ของแผ่นดิน’ นั้น เรื่องราวความรักแท้และมั่นคงจนเป็นที่ประจักษ์ในสายตาชาวโลก ถือเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบอย่างหาที่สุดมิได้
ความรักของทั้งสองพระองค์ได้รับการถ่ายทอดในมุมของข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดตั้งแต่รุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกจากสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่ได้ให้เกียรติทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์เปิดบ้านให้สัมภาษณ์ถึงความรักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในความทรงจำของเธอและคุณพ่อคุณแม่ที่ได้รับใช้ถวายงานมาโดยตลอด
ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี หรือ ‘คุณหญิงต้น’ หลานสาวของ ม.ล.แส สนิทวงศ์ (คุณย่า) ซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดาของ ม.ล.บัว กิติยากร (พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์) และ ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร ณ อยุธยา (คุณแม่) ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังฯ กระทั่ง เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จกลับจากต่างประเทศจึงมีรับสั่งชักชวนคุณแม่ของคุณหญิงต้นมาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
...
รักแรกพบของในหลวงและพระราชินี
ม.ล.ปิยาภัสร์ เริ่มถ่ายทอดเรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเห็นได้ว่าทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ตลอด พอโตขึ้นจึงได้เรียนรู้และเข้าใจว่า ทั้งสองพระองค์ทรงรักกันมาก เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยตั้งแต่วันแรกที่ทรงพบสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อปี พ.ศ.2491 ที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ครั้งนั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้รับสั่งให้พระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรสมเด็จพระนางเจ้าฯ บุตรสาวของ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส โดยให้ดูว่าเป็นอย่างไร ตามประสาของแม่ทั่วไปที่อยากให้ลูกชายเจอคนดีๆ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงโทรศัพท์กลับไปบอกสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก”
และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรูปถ่ายของสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของพระองค์ท่านนั้น โดยมีอยู่ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้มาถ่ายรูปรวมกัน เพราะหากจะถ่ายแต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็จะดูชัดเจนเกินไป และในขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังทรงพระเยาว์ได้ไปประทับอยู่ด้านหลังท่ามกลางผู้ใหญ่หลายท่านจนโดนบดบัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงรับสั่งว่า “ยู้ฮู คนที่อยู่ด้านหลังน่ะ ยื่นหน้าออกมาหน่อย”
และหลังจากวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงขยันเสด็จมาบ่อยพอสมควร โดยให้เหตุว่ามาดูรถบ้างหรือพระราชกิจอย่างอื่น ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ ด้วยความที่ยังเด็กและในยุคนั้นต้องสงวนท่าที จึงไม่กล้าคิดอะไรและทรงไม่อาจเอื้อม
หลังในหลวงเกิดอุบัติเหตุ ขอสมเด็จพระนางเจ้าฯ ดูแลใกล้ชิด
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ทรงนึกถึงคนอยู่สองคน คนแรกคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระองค์ท่านได้หยิบรูปของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทูลกับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ว่า ช่วยตามสมเด็จพระนางเจ้าฯ มาเฝ้าหน่อย สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้เข้าเยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทำให้สัมพันธภาพของทั้งสองพระองค์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น นั่นคือ จุดเริ่มต้นความรักของทั้งสองพระองค์
และหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็ขึ้นเป็นพระราชินี โดยมีชนมายุเพียง 18 พรรษา ทั้งนี้ พระราชาทั่วไปอาจจะมีอายุมาก แต่พระราชาและพระราชินีอายุยังน้อย รวมทั้ง พระองค์ท่านก็ทรงโรแมนติก แต่งเพลงราชนิพนธ์หลายเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง และแต่งพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าฯ ด้วย
นอกจากนี้ ยังทรงโปรดฉายพระรูป ซึ่งนับว่าชีวิตของทั้งสองพระองค์เป็นชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็ต้องทรงงานเหน็ดเหนี่อย ต่อสู้กับความยากจน ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ขณะเดียวกันทั้งสองพระองค์ก็ยังทรงเป็นคู่ทุกข์คู่ยากมาด้วยกัน
...
“ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไปว่า เรื่องราวของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่ใช่หนึ่งในล้าน แต่เป็นหนึ่งในพันล้าน ใครกันจะโชคดีที่ทรงพบรักกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ท่านก็ทรงรักพระองค์มาก ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ไม่เคยที่จะเปลี่ยนแปลง”
แม่ของแผ่นดิน...ผู้ทรงสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง
หากพูดถึงความประทับใจในสมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้น ม.ล.ปิยาภัสร์ ตอบทันควันโดยไม่นิ่งคิดเลยว่า
“ถ้าในฐานะพระราชธิดา..พระองค์ท่านทรงเป็นพระราชธิดาที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ทรงมีความกตัญญูต่อพระราชบิดาพระราชมารดา และยังทรงดูแลเครือญาติไม่มีตกหล่น
ถ้าในฐานะพระชนนี..พระองค์ท่านดูแลทูลกระหม่อมทุกพระองค์เป็นอย่างดี ทรงให้การอบรมสั่งสอน
ถ้าในฐานะพระมเหสี..พระองค์ท่านดูแลสารทุกข์สุกดิบภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของเสวยหรือฉลองพระองค์ ที่สำคัญที่สุดพระองค์ท่านยังมีพระจริยวัตรที่อ่อนโยนแด่พระราชสวามีของพระองค์ด้วย
...
และถ้าในฐานะแม่ของแผ่นดิน..ไม่มีข้อใดกังขา”
เอ็มวีเพลง 'เหมือนเคย' บ่งบอกความรักของในหลวง-ราชินี ในมุมมองคุณหญิงต้น
ม.ล.ปิยาภัสร์ เผยที่มาของมิวสิกวิดีโอเพลงเหมือนเคย ว่า สำหรับเพลงเหมือนเคย ที่เป็นข่าวนั้น ที่จริงแล้ว เป็นอย่างที่เคยโพสต์ในเฟซบุ๊ก ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ ที่ได้ทำถวายพระองค์ท่าน แต่เมื่อเริ่มออกสื่อ คนฮือฮา กลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าฯ ซึ่งแท้จริงแล้ว..ไม่ใช่
“เพลงเหมือนเคยนั้น เป็นความรู้สึกส่วนตัวของเรา ได้ฟังเพลงเหมือนเคย แล้วรู้สึกว่า นี่คือความรักของทั้งสองพระองค์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเกิดขึ้นตอนที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มีพระชนมพรรษา 72 พรรษา เราได้เห็นทั้งสองพระองค์ทรงเป็นห่วงเป็นใยกันตลอดเวลา ฟังแล้วนึกถึงแต่พระองค์ท่าน สมเด็จฯท่านก็มิเคยเปลี่ยน เรารู้สึกว่านี่แหละ สมเด็จฯ (เสียงสูง) สมเด็จฯ (หัวเราะปนคราบน้ำตาที่คลอตลอดเวลาที่ได้ให้สัมภาษณ์ พร้อมกับเงยหน้าเหมือนกับนึกถึงความหลัง)
...
เสียงอ่อนหวาน...ยิ้ม หัวเราะ ก็มานั่งคิดกับ กุ๊กกี้ (ทินกร อัศวรักษ์) เราคนรุ่นใหม่ แต่ครั้นจะนำเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านก็อาจจะเป็นการอาจเอื้อม อีกทั้งก็ไม่แน่ใจในความหมายที่พระองค์ท่านทรงสื่อไว้ จะทูลถามก็ไม่ใช่...จึงคิดว่าทำแบบนี้น่าจะดี”
“จากนั้น จึงได้กราบทูลสมเด็จพระเทพฯ ว่าจะทำมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ นอกจากนี้ ยังมีเค้ก ซึ่งเป็นเค้กที่ทูลกระหม่อมทุกพระองค์ทำถวาย ส่วนขั้นตอนการทำ MV ก็พยายามเลือกรูปภาพฝีพระหัตถ์ โดยช่วยๆ เลือกกับกุ๊กกี้ ซึ่งเรามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งชอบมา โดยเป็นหนังสือพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีรูปอยู่ในหนังสือดังกล่าวหลายรูป ตั้งแต่ทรงฉายภาพที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ ก็ใช้รูปจากสนองพระโอษฐ์ เคยถ่ายไว้”
หลังจากเปิดเอ็มวี พวกเราก็ขึ้นไปเข้าเฝ้าฯ วันนั้นในหลวงตรัสถามว่า...
“เพลงชื่ออะไร”
“เหมือนเคยเพคะ”
“ดี..เพราะดี”
จากนั้นเราก็ก้มลงกราบ กล่าวขอพระราชทานอภัย ที่ละลาบละล้วง
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสว่า “ก็ดี...รูปพวกนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว...ดีใจได้เห็นรูปลูกๆ ตั้งแต่เล็ก”
ทั้งนี้ ในระหว่างที่เปิดเพลง เราที่กำลังยืนแอบดูอยู่ เห็นพระองค์ท่านทรงจับพระหัตถ์กัน โดยมีรับสั่งว่า “รูปนี้ถ่ายที่ไหน ตอนไหน” ระหว่างที่ดูทั้งสองพระองค์ทรงแย้มพระสรวลโดยตลอด วันนี้เราเห็น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระสำราญมาก พอทูลกระหม่อมเข็นเค้กออกมาถวาย ทุกพระองค์ล้วนทรงพระสำราญท่ามกลางข้าราชบริพาร ซึ่งตัวเราเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็นทั้งสองพระองค์ทรงพระสำราญด้วยเช่นกัน
ความรัก ผ่านสายพระเนตร
ผู้สื่อข่าวถาม ม.ล.ปิยาภัสร์ ว่า “เวลาที่ในหลวงทรงแสดงความรักต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ จะทรงแสดงออกทางไหน?” สุภาพสตรีด้านหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “ทางสายพระเนตร...” จากนั้นก็นิ่งเงียบอีกครั้งก่อนจะตอบว่าอยากให้ทุกคนดูคลิป
“ตอนที่ประทับรอพระราชอาคันตุกะ ระหว่างพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี สายพระเนตรในหลวงทรงมองสมเด็จฯ นั้น ทรงเปี่ยมไปด้วยความรัก จะประทับก็ทรงประคอง ทรงจับพระหัตถ์กัน นี่แหละคือสิ่งที่พระองค์ทรงทำอยู่เสมอ แต่วันนั้น พระองค์ทรงทำให้คนไทยทุกคนได้เห็น วันนั้นทั้งสองพระองค์อยู่คู่กันมาเกือบจะ 60 ปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ถ้าประทับอยู่ด้วยกันก็จะคอยดูแลกัน หากจะเสวยอยู่ก็จะทรงดูแลว่าเสวยอะไร....สายพระเนตรที่ทรงมองกันไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ได้รับใช้ สนองงาน แต่ไม่ใช่ นางสนองพระโอษฐ์
ม.ล.ปิยาภัสร์ กล่าวต่อว่า “ส่วนตัวเราไม่ใช่นางสนองพระโอษฐ์ เราไม่มีตำแหน่งอะไรเลย แต่หลังจากคุณแม่เสีย เราก็เข้าไปรับใช้ช่วยงานต่างๆ ถวายพระองค์ท่าน ซึ่งก็แล้วแต่พระองค์ท่านจะรับสั่งใช้งานสิ่งใด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องส่วนพระองค์เสียมากกว่า เช่น ของใช้ ซึ่งคงจะทราบว่าพระองค์ท่านไม่ได้เสด็จออกมาภายนอก พระองค์ท่านพระราชประสงค์อะไรเราก็จะจัดหาให้ บางครั้งมีพระราชอาคันตุกะ หรือ มีข้าราชบริพารเข้าเฝ้าฯ อย่างเช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา หรือ การดูแลความเรียบร้อยพระที่นั่งต่างๆ ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ หรือ การแต่งพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ บางครั้งก็โปรดให้ตามเสด็จในพระราชพิธีต่างๆ
ที่ผ่านมา ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ต่างถวายงานพระองค์ท่านตามที่พระองค์ท่านจะมีพระประสงค์ บางครั้งคุณพ่อกับคุณแม่ก็ช่วยออกแบบ เหรียญเซเรส ที่มอบให้ข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด และเหรียญในโอกาสพิเศษต่างๆ และตกแต่งพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพิธีพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ในช่วงฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี ในงานพระราชพิธีครั้งนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเป็นแม่งาน คอยดูแลควบคุมด้วยตนเอง ซึ่งก่อนจะถึงงาน 1-2 เดือน ฝุ่นยังคลุ้งสถานที่จัดงานอยู่ แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้เสด็จมาบัญชาการด้วยตนเอง จนกระทั่งสำเร็จออกมาสวยงาม...เรื่องราวเหล่านี้บางคนอาจจะไม่เคยรู้ในรายละเอียดมาก่อน ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยละทิ้งพระราชกิจ”
น้ำพระทัยพระราชินี ทรงยืนโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรเห็นพ่อหลวง
สำหรับงานสุดท้ายที่เสด็จฯ นั้น ม.ล.ปิยาภัสร์ เล่าว่า "วันนั้นเป็นวันที่ในหลวงทรงเสด็จลงเรืออังสนาทรงชุดจอมพลทหารเรือ โดยพระองค์เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปยังเกาะเกร็ดและมณฑลพิธีเปิด 5 โครงการชลประทาน 'น้ำสร้างชีวิต' อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ บริเวณหน้ากรมชลประทาน นั่นคือ งานที่สมเด็จนางเจ้าฯ เสด็จก่อนที่จะประชวร งานนี้ คนที่ได้ดูถ่ายทอดสดคงไม่ทราบว่า พระองค์ทรงยืน ซึ่งจะสังเกตว่าระหว่างฝั่งกับเรือ อยู่ไกลกันมาก พระองค์ท่านทรงโบกผ้าซับพระพักตร์สีขาวตลอดเวลา (เสียงสั่นเครือ) สิ่งที่พระองค์ทรงทำเพราะว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับนั่ง และให้ประชาชนยืนรอเฝ้าอยู่ตามฝั่งแม่น้ำ ทรงกลัวว่าประชาชนจะไม่เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ที่ใด...นี่คือน้ำพระทัยของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านจึงเรียกผ้าซับพระพักตร์ และทรงโบก เพื่อต้องการให้ประชาชนรู้ว่าในหลวงประทับอยู่ตรงไหน แต่หลังจากคืนนั้น พระองค์ทรงประชวร อย่างที่ทราบข่าวกัน"
แม้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ ‘แม่ของแผ่นดิน’ ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง
....หากจะถามในตอนนี้พระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง ม.ล.ปิยาภัสร์ ตอบว่า “พระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรงดี อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ขบวนของพระองค์ท่านเสด็จออกจากศิริราชไปที่วังสวนจิตรฯ ส่วนกรณีข่าวลือที่ว่า สมเด็จพระบรมฯ และทุกพระองค์ เสด็จเข้าไปหลังฉากหลังพิธีสวดพระบรมศพ เพื่อทรงกราบสมเด็จพระนางเจ้าฯ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย และวันนั้น พระองค์ท่านก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าประทับที่วังสวนจิตรลดาทันที
วันที่ทุกคนเห็นภาพพระองค์ท่านนั้น พระองค์ไม่ได้ต้องการเป็นที่ปิดบังแต่ประการใด แต่พระองค์ท่านก็ทรงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา (กล่าวพร้อมน้ำตาเอ่อล้น) พระองค์ท่านยังคงงดงามในใจเราเสมอ อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังมีพระพลานามัยแข็งแรงดี อยากให้ทุกคนร่วมกันถวายพระพร อยากให้ทุกคนระลึกว่าพระองค์ท่านทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญ ของปวงชนชาวไทย”