อธิบดีกรมอุทยานฯ ชี้หนังสือเซ็นตั้ง กก.สอบหัวหน้าอุทยานทางทะเลชื่อดัง 3 แห่ง เขียนไม่ชัด สั่งแก้ใหม่แล้ว ปัดสอบสวน แต่สอบคนเก่าแทนเหตุเก็บเงินรายได้น้อย

เมื่อวันที่ 14 ก.ย.59 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหัวหน้าอุทยานฯ ทางทะเลชื่อดัง 3 แห่ง คือ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อ่าวพังงา และหมู่เกาะสุรินทร์ ว่า ยอมรับว่าครั้งแรกที่เห็นคำสั่งนี้ตกใจเหมือนกัน ว่าออกไปได้อย่างไร ใครเป็นคนตั้ง แต่เมื่อตรวจสอบไปแล้ว พบว่า เรื่องออกมาจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ ที่ 5 นครศรีธรรมราช (สบอ.5) เป็นการสอบข้อเท็จจริง หัวหน้าอุทยานคนเก่าทั้ง 3 ที่ เพราะจากการเปรียบเทียบกับยอดรายได้ปัจจุบันพบว่า แตกต่างกันมาก คือ เดิม ปี 2558 นั้น หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เก็บรายได้ได้ 84 ล้านบาท ปี 2559 แค่ 11 เดือน เก็บได้ถึง 502 ล้าน บาท อ่าวพังงา ปี 2558 เก็บได้ 62 ล้านบาท แต่ปี 2559 เก็บได้ 302 ล้านบาท และสิมิลัน ปี 2558 เก็บได้ 40 ล้านบาท แต่ปี 2559 เก็บได้ 185 ล้านบาท ในความเป็นจริงแล้วจะต้องสอบว่า ทำไมเมื่อก่อนเก็บได้แค่นี้ แล้วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในอุทยานฯ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงตัวหัวหน้าอุทยาน การเปลี่ยนระบบหลายอย่างทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จะต้องให้หัวหน้าคนเก่าทั้ง 3 แห่ง มาชี้แจง รวมทั้งให้หัวหน้าคนใหม่เข้ามาให้ข้อมูลว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

"หนังสือที่ทาง สบอ.5 ทำออกไปนั้น อาจจะไม่มีความชัดเจน ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจคลาดเคลื่อนไปหมด ขอเรียนว่าตัวผมเองรู้สึกชื่นชมหัวหน้าอุทยานคนใหม่ ทั้ง 3 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนเสียด้วยซ้ำ ที่เสียสละเวลาทำงานให้ขนาดนี้ โดยที่ผ่านมา ทั้งตัว พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ และผม ก็ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมพื้นที่อุทยานฯ เหล่านี้มาตลอด เห็นการทำงานเป็นอย่างดี ยิ่งตรวจสอบจากเอกสารก็เห็นความแตกต่างชัดเจน แต่ต้นเหตุของความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องนี้ มาจากการที่ทาง สบอ.5 นั้น ได้รับการร้องเรียนผ่านทางเว็บไซต์ว่า ในพื้นที่นั้นมีขยะจำนวนมาก เก็บเงินรายได้ได้มากขนาดนี้ ทำไมยังปล่อยให้มีขยะอยู่ กรมไม่ได้ตั้งกรรมการสอบ แต่ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่าขยะในทะเลนั้น แม้จะมีการเคลียร์ทำความสะอาดไปแล้วในช่วงเย็น แต่ด้วยลมฟ้าอากาศที่เกิดขึ้น ก็อาจจะมีคลื่นซัดขยะจากพื้นที่อื่นเข้ามาได้อีก เป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องเงินรายได้อุทยานฯนั้นตามระเบียบแล้ว รายได้ที่เก็บได้ใน ปี 2559 ใช่ว่าจะเอามาใช้ได้ทันที แต่อุทยานนั้นๆ จะต้องนำส่งเข้ามายังส่วนกลาง และสามารถนำมาใช้ได้ในปีถัดไป โดย 5% ของเงินที่ได้มาจะส่งกลับคืนไปยัง อบต.ในพื้นที่นั้นๆ 20% กรมอุทยานเก็บไว้ 50% บำรุงอุทยานที่จัดเก็บได้ 10% เป็นสวัสดิการให้เจ้าหน้าที่ โดยเงินรายได้อุทยานที่ถูกจัดเก็บไว้กับส่วนกลางนั้น ตั้งแต่ที่ตนเข้ามารับตำแหน่งนั้น การใช้จ่ายทุกอย่างต้องผ่านคณะกรรมการทั้งหมด" นายธัญญา กล่าว

...

นายธัญญา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะให้ทางฝ่ายกฎหมาย ออกหนังสือเรื่องตั้งกรรมการสอบใหม่ ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ใครเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนขึ้นมาอีก เราต้องการนำพากรมอุทยานไปสู่อุทยานยุค 4.0 ไม่ใช่ 0.4 การปฏิบัติการทุกอย่างต้องมีความโปร่งใสชัดเจน นับตั้งแต่ยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามา เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง หากไม่ทำในยุคนี้คิดว่า ต่อไปก็คงทำยากแล้ว