'อภิสิทธิ์' บรรยายพิเศษครบ 5 ปี สถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ ชง 3 ทางแก้ปัญหาชาติ สุจริต เข้าถึง ไม่ใช้กำลัง จี้นักการเมือง อย่าอยู่เฉย คิดนโยบายภารกิจพิชิตจน...

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 10 ก.ค. ที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บรรยายพิเศษหัวข้อ "ประชามติเปลี่ยนไทย เปลี่ยนโลก" ในโอกาสครบรอบ 5 ปี ของสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ ตอนหนึ่งว่า การออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. มีการถกเถียงกันมากว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และมีการวิเคราะห์ว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน แต่คำถามพ่วงไม่ผ่าน หรือร่างฯ ไม่ผ่าน แต่คำถามพ่วงผ่าน หรือไม่ผ่านทั้งคู่ จะเกิดอะไรขึ้น สำหรับตนไม่เคยเชื่อว่าจะกำหนดอนาคตล่วงหน้าได้ แต่อยู่ที่ประชาชนทุกคนจะกำหนดว่าหลังประชามติแล้วประเทศไทย หรือโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร จึงไม่เชื่อว่าเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ แต่ขึ้นอยู่กับคนในสังคมที่ต้องเป็นผู้แก้ไข ส่วนหลังการทำประชามติ ตนคิดว่า คสช. จะคลายกฎกติกาในปัจจุบัน เพราะนายกฯ ย้ำเสมอว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ ก็จะเดินหน้าตามโรดแม็ป เว้นแต่ว่าเกิดความวุ่นวายมากจริงๆ จึงมั่นใจว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร จะไม่ให้เกิดความวุ่นวาย บ้านเมืองก็จะเดินไปข้างหน้า แต่ถ้าไม่ผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ ต้องบอกสังคมว่าจะทำอย่างไร

...

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนเสนอสามแนวทางในการเปลี่ยนประเทศไทย คือ 1.การเมืองที่แก้ปัญหาประเทศ ตอบโจทย์คนไทยทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และการเมืองที่ดีขึ้น เชื่อว่าหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะพรรคการเมืองจะตอบสนองความต้องการประชาชน ทั่วโลกจะเข้ามาค้าขายกับรัฐบาลไทยมากขึ้น หลังจากที่มีการแขวนการเจรจาเอาไว้จนกว่าการเมืองจะเดินไปอย่างมีระบบ 2.คนที่เข้ามาแก้ปัญหาต้องซื่อสัตย์สุจริต 3.การเมืองที่ไม่มีการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาล คสช. มีผู้ที่มีความสามารถ และตั้งใจดี แต่ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินถึงแค่ผู้นำชุมชนกับผู้รับเหมา ไม่ถึงประชาชน เพราะไม่มีส่วนร่วม เป็นบทเรียนว่า นอกจากมีคนเก่งและตั้งใจดีแล้ว ต้องเอาคนที่เข้าถึงประชาชนมาร่วมแก้ปัญหา และดูบทเรียนความล้มเหลวในอดีต ทั้งโครงการจำนำข้าว แท็บเล็ต หรือ รถยนต์คันแรก ไม่ได้ทำให้คนไทยหลุดพ้นจากปัญหา เพื่อไม่ให้กลายเป็นฉากบังหน้าของคนบางกลุ่มเข้าสู่ผลประโยชน์เพื่อนายใหญ่ หรือใครก็ตาม ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยนประเทศ ต้องทำให้สังคมไทยร่วมกันผลักดันว่า คนที่เข้ามาบริหารประเทศ แม้จะมีคนเห็นต่างต้องไม่มีการสร้างความรุนแรงหรือสร้างความเกลียดชัง แตกแยก

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ใครที่บอกว่าพรรคการเมืองอยู่เฉยๆ ให้รอการเลือกตั้ง เป็นการตอกย้ำความล้มเหลวการเมืองไทยในอดีต ที่บอกว่าพรรคการเมืองสนใจแต่แย่งอำนาจตอนเลือกตั้ง แต่นักการเมืองต้องคิดนโยบายเปลี่ยนประเทศรับมือแก้ปัญหาของประเทศเป็นสิ่งที่พวกเราพยายามทำอยู่ตอนนี้ โดยตั้งใจว่าจะออกชุดนโยบายที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเป็น ภารกิจพิชิตจน จับมือส่วนท้องถิ่น สื่อมวลชน ภาคประชาชน รวมถึงนักการเมืองข้ามพรรค เพื่อแก้ปัญหาประชาชน จึงจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ส่วนการออกเสียงประชามติในประเทศอังกฤษที่ขอออกอียูนั้น เป็นการเตือนคนทั้งโลกว่า มีคนในสังคมจำนวนมากที่ปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แม้ฝ่ายที่ต้องการให้อยู่ ขู่ว่าเงินปอนด์จะตก เศรษฐกิจจะพัง แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่กลัว วันนี้โลกมาถึงจุดที่ตัวเลขเศรษฐกิจไร้ความหมายกับคนธรรมดา คือแม้เงินไหลออกแสนล้าน แต่ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม เพราะเป็นแค่เรื่องคนจำนวนหนึ่งที่เล่นกับกองกระดาษเท่านั้น

ดังนั้นหากผู้บริหารยังพูดถึงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเดิม ในขณะที่ชาวบ้านไม่ได้อะไร ก็ควรต้องเปลี่ยนโจทย์ ตั้งชุดนโยบายและเครื่องมือทางเศรษฐกิจใหม่

“การเมืองกำลังเปลี่ยน สิ่งที่เป็นวาทกรรมการตอบโต้ทางการเมืองกำลังเปลี่ยนโดยสิ้นเชิงสำหรับประชาชน ที่อังกฤษหลังประชามติมีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคการเมืองสามพรรค เป็นตัวบอกว่าประชาชนไม่เอาการเมืองแบบเดิม ส่วนประเทศไทยนั้นหลังประชามติต้องตั้งหลักให้ถูกต้อง ซึ่งจะต้องมาทำด้วยกันในการเปลี่ยนไทยเปลี่ยนโลกหลังการทำประชามติ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว.