ตลกคาเฟ่ เคยเป็นอาชีพที่รุ่งเรืองเป็นอย่างมากในอดีต ตลกหลายคนสร้างเนื้อสร้างตัวมีชื่อเสียงมาได้เพราะอาชีพตลกคาเฟ่เป็นใบเบิกทาง แต่ในวันนี้ยุคสมัยได้เปลี่ยนไป เลยทำให้ ตลกคาเฟ่ เหลือแค่ชื่อไว้เป็นตำนานเล่าขานให้ลูกหลานฟังว่าครั้งหนึ่งในเมืองไทยของเรา เคยมีอาชีพตลกคาเฟ่
เมื่อตลกคาเฟ่มาถึงทางตัน แล้วอาชีพตลก หรือนักแสดงตลก จะมาถึงทางตันบ้างหรือไม่ จะหายไปจากวงการบันเทิงอีกหรือเปล่า เพราะเท่าที่เหลือก็เหลืออยู่ไม่กี่คณะแล้ว อาชีพตลก จะหายไปเหมือน ตลกคาเฟ่ หรือไม่นั้น วันนี้รายงานพิเศษ จะไปพูดคุยกับอีกตลกชื่อดัง จากคณะชวนชื่น อย่าง จิ้ม ชวนชื่น หรือ นพดล ทรงแสง ผู้ที่เคยอยู่ในยุคตลกคาเฟ่รุ่งเรืองจนถึงยุคอวสานตลกคาเฟ่ ว่านักแสดงตลก จะยังคงมีอยู่ต่อไปใช่หรือไม่
เมื่อครั้งที่วงการตลกเข้าสู่ยุคทอง?
ช่วงที่ตลกรุ่งเรืองเราเคยมี พีคสุดจะเป็นเทศกาลนะ ชวนชื่นเราเคยวิ่งรับงานถึง 17 งานในวันเดียว ที่รับได้เยอะ เพราะเล่นทีละครึ่งชั่วโมง จึงทำให้เราวิ่งได้ถึง 17 งาน แต่ว่ายอดรายได้ก็ไม่มากนะ (หัวเราะ) เพราะเรามีกันเยอะ ไปเล่นที 20 กว่าคน สิ่งที่ทำให้เรามีงานเยอะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราลงทุนเยอะด้วยมั้ง เพราะพวกเราชอบเล่นประกอบฉาก ลงทุนทำฉาก ตัดชุด เล่นลิเกก็มีชุดลิเก มีฉาก มีระนาด ถ้าเป็นละครก็ทำฉากละครนั้นๆ เล่นเป็นคนญี่ปุน คนจีน เราก็ตัดชุดจีน ชุดญี่ปุ่นใส่กัน เพื่อเป็นสีสันให้คนดู คนดูจะไม่เบื่อ ดูมีอะไรให้ดู เพราะอย่างนี้มั้งเลยทำให้เรามีงานเยอะ ช่วงที่ตลกมีงานเยอะๆ พวกเราก็รุ่งเรือง มีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวได้ มันทำให้หลายคนคิดจะมาเอาดีทางด้านตลกกันเยอะขึ้น เพราะหวังว่าจะลืมตาอ้าปากได้ ช่วงนั้นคณะใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย หรือบางคนที่พอเริ่มมีชื่อเสียงก็แยกตัวออกไปตั้งคณะของตัวเอง มีวิดีโอตลกออกมาให้คนที่ไม่ได้มีโอกาสมานั่งดูตลกเล่นในคาเฟ่ได้ดู ช่วงนั้นวงการตลกรุ่งเรือง เฟื่องฟูมากๆ ผมยังจำบรรยากาศตอนนั้นได้เลย
...

ตลกชอบพูดว่า ถึงจะเป็นตลก แต่ในชีวิตจริงก็ไม่ตลก?
ใช่ มันไม่มีใครจะหัวเราะได้ตลอดเวลาหรอก บางทีก่อนจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องให้คิด เครียด แต่พอต้องขึ้นแสดง ก็ต้องสลัดมันออกไปก่อน นับ 1 2 3 แล้วขึ้นไปสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดู แสดงเสร็จก็กลับมาเครียดต่อ (หัวเราะ) แต่ละคนก็มีหลายเรื่องให้คิด ให้เครียด อย่างที่บอก บางทีเจอคนข้างนอก พอเค้าเห็นว่าเราเป็นตลกนี่หน่า ก็จะชอบบอกให้เราเล่นตลกให้ดูหน่อย บางทีมันก็ไม่ใช่นะ (หัวเราะ) เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น จะเล่นตลกมันต้องมีทีม มีคนชง มีคนช่วย ไม่ใช่พูดๆ แล้วก็ทำให้คนขำได้ บางทีก็แอบคิดเหมือนกัน เค้าเห็นเราเป็นอะไรเนี่ย แต่ก็ดีใจเพราะเราสร้างเสียงหัวเราะ สร้างความสุขให้กับคนได้ เวลาเล่นแล้วคนดูขำ เราดีใจนะ แต่บางทีเล่นแล้วแป๊ก คนเงียบ ขำกันน้อย ก็เริ่มเสียเซลฟ์ล่ะ (หัวเราะ) ถามว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ย เคยสิ ไม่เห็นจะแปลก แต่เราก็ต้องมีสติ รีบเดินหน้าปล่อยมุกใหม่ทันที ไม่ก็พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส แซวคนดู แหม ขำกันดังกริบเชียว อะไรประมาณนี้ คนก็จะยิ้มๆ ไปกับเรา

เมื่อขึ้นสูงสุด ก็ถึงยุคขาลงของตลก?
จริงๆ มันไม่ได้เข้าสู่ยุคขาลงนะ แต่วงการตลก ความตลกมันอยู่ในยุคที่อิ่มตัวแล้วมากกว่า คือตอนนี้ชาวบ้านเค้าสามารถเล่าเรื่องตลกเป็นกันแล้ว เล่าเรื่องทะลึ่งตึงตังกันเป็นแล้ว หรือไม่ชาวบ้านเอาไปเล่ากันเองซึ่งบางทีฟังแล้วตลกกว่าที่ตลกบางคนเอามาเล่าเอามาเล่นด้วยซ้ำไป ความสนุกมันก็หมดลง เพราะมันมีมุกคลาสสิกอยู่ไม่กี่มุกที่เล่นแล้วจะประสบความสำเร็จ และการเล่นตลกมันเป็นสูตรสำเร็จ ทุกคนใช้สูตรนี้ มี 10 คนก็ใช้สูตรนี้สูตรเดียว พอถึงวันนึงมันก็เกิดความจำเจขึ้นมา เราก็ต้องเริ่มเปลี่ยนเพื่อให้พวกเราอยู่รอด จากที่มีหลายๆ คณะ ก็เริ่มปิดตัว แตกแยก แยกย้ายกันไปทำมาหากิน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่คาเฟ่เริ่มแย่ เป็นยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก คนโทรมาแคนเซิลงานของคณะเราวันละ 2-3 งาน คาเฟ่คืนคิวไม่จ้างเราไปเล่นแล้ว ไม่ก็ปิดเร็ว ปิดตัว หรือแขกไม่มี แขกน้อย เค้าก็ไม่จ้าง เพราะมันไม่คุ้ม ตอนนั้นรู้แล้วว่างานมันเริ่มน้อยแล้วล่ะ แต่โชคดี ที่ตอนนั้นเราได้เริ่มเข้าวงการ ได้มาเล่นละคร เล่นหนัง ก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้พี่ๆ น้องๆ ของเรายังเลี้ยงตัวเองได้ หลังจากที่งานเล่นตลกเริ่มหดหาย ก็เลยพยายามดันน้องๆ ฝากงานเข้าไปในวงการทีวี เอาไปแจก เอาไปแถม พยายามนำเสนอ เค้าอยากได้เรา แต่เราก็เสนอขายรวม (ยิ้ม) เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสโผล่หน้าเป็นที่รู้จักของทุกคนจะได้มีงานกัน
...


เพราะไม่มีคาเฟ่ให้ตลกเล่น จึงต้องดิ้นรนพาตัวเองให้มาอยู่ในหน้าจอ?
แน่นอนล่ะ เพราะคาเฟ่ ที่ทำงานประจำของพวกเรามันไม่มีอยู่แล้วมันปิดตัวไป ทำให้ทุกคนก็ต้องหาทางไป หาทางเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะผันตัวเองให้มาอยู่เบื้องหน้าได้นะ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างถึงจะได้เข้ามาทำงานตรงนี้ แต่ต้องยอมรับว่าการได้มาเล่นละคร หรือทำงานเบื้องหน้ามันดีกว่าอยู่แล้ว เพราะรายได้มันเยอะกว่าการเป็นตลกคาเฟ่มาก คนรู้จักพวกเราเยอะกว่าการเล่นตลกอยู่ในคาเฟ่ พอคาเฟ่ล่มสลาย งานทีวีก็เข้ามารองรับพวกเราชวนชื่นพอดี เหมือนเราปูทางมาดี และคณะชวนชื่นของเราถือคติการทำงานด้วยกันแบบทีมเวิร์ก เวลาจะแสดง เราจะกระจายบทให้ทุกคนได้เล่น จะไม่กองบทนำ บทเด่น อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่งตลอดไป ทุกคนจะมีบทบาทหน้าที่ในการเล่นแต่ละเรื่อง เพราะฉะนั้นมันก็เลยได้กระจายให้ทุกคนในวงได้เล่น เหมือนทุกคนได้หัดยิงปืน ทุกคนเลยมีความชำนาญในการจะเล่นตลกเท่าๆ กัน
...


ตลกที่ไม่มีงานในวงการบันเทิงทำ ไปทำอะไรกัน?
ก็น่าจะพอมีงานให้พวกเค้าทำกันอยู่บ้างนะครับ ยังพอมีคาเฟ่ที่จ้างอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่มากเหมือนเมื่อก่อน สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นที่รู้จัก ก็ยังมีตลกส่วนหนึ่งที่ทำอยู่ ยังเล่นตลกตามคาเฟ่งานจ้างอยู่ แต่พวกเราชวนชื่นไม่ได้เล่นตลกตามคาเฟ่แล้ว เราไม่ได้ดัดจริตที่จะไม่รับงานเล่นที่คาเฟ่นะ พวกเราเคยทำแต่ว่ามันไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันไม่มีที่เล่น เรายังคิดถึงสถานที่ บรรยากาศเก่าๆ อยู่เสมอ ค่าจ้างไม่แพงเราก็ไป มันไม่ได้ติดที่ค่าจ้าง เพราะเราคิดถึงกลิ่นอายการเป็นตลกคาเฟ่ แต่มันติดตรงที่ไม่มีใครจ้าง ไม่มีที่ให้เล่นมากกว่า แล้วลองนึกตามพี่ๆ น้องๆ ชาวตลกที่เค้ายังไม่มีชื่อเสียงที่คนรู้จัก เค้าจะทำอย่างไร บ้างก็ไปทำงานอย่างอื่นเพื่อเลี้ยงชีพแทนการเล่นตลก
...
มุมมองที่อยากจะพัฒนาวงการตลกให้อยู่คู่วงการบันเทิงไทย?
ในมุมมองและความคิดของผมนะ อยากจะเติมทักษะให้กับตลกรุ่นใหม่ๆ ที่เค้าอยากจะเข้ามาอยู่ในวงการตลก เพื่อให้พวกเค้ามีความหลากหลาย ไม่ซ้ำเดิม ไม่น่าเบื่อ เพราะตลกที่ยังไม่มีงานอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเค้ายังไม่เก่งหรือว่ายังจับทางตัวเองไม่ได้ก็เป็นได้ ถ้ามีวิทยากรดีๆ มาสอน มีโรงเรียนให้เรียน มาเรียนการแสดง มันน่าจะไปได้นะ พวกเค้าน่าจะมีงานทำต่อไป แต่ตรงนี้พวกเราสมาคมตลกเรายังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะทำอะไรอย่างที่เราคิดได้ มันเป็นเรื่องที่คิดง่ายแต่ทำยากนะ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นตลก แต่พอต้องมาเป็นตลกเราก็ต้องพัฒนา ผมคิดอย่างนี้


กลัวว่าวันหนึ่งตลกจะกลายเป็นตำนานมั้ย?
ตลกคาเฟ่จะกลายเป็นตำนานแน่นอน เพราะคาเฟ่แบบสมัยก่อนจะไม่มีอีกแล้ว (ยิ้ม) ไม่น่าเชื่อเลยนะ (ยิ้ม) ในเมื่อคาเฟ่ไม่มีแล้ว ตลกคาเฟ่ก็ต้องหายไปด้วยเป็นธรรมดา เพราะไม่มีเวทีให้พวกเราได้ขึ้นไปเล่นแล้ว ตลกคาเฟ่ก็จะกลายเป็นตำนาน แต่อาชีพตลกไม่เป็นตำนาน เพราะอาชีพนักแสดงตลกยังคงเป็นสีสันให้กับงานในวงการบันเทิงอยู่ ส่วนคนที่จะมาเป็นอาชีพนักแสดงตลกรุ่นต่อไปจากพวกเรา อาจจะมาจากเด็กรุ่นใหม่ที่เรียนจบนิเทศฯ จบการแสดงมาที่มาเอาดีด้านการเล่นเป็นนักแสดงตลกแบบนี้ซะมากกว่า ตลกที่สืบทอดทางสายเลือดแบบพวกเราอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่สำหรับผมนะ ผมก็ยังคงเรียกตัวเองว่าเป็นตลกคาเฟ่นะ เพราะผมภูมิใจกับนามสกุลนี้มาก มีความสุขกับการได้เป็นตลกคาเฟ่ ผมเกิดมากับยุคนี้ ผมลืมไม่ลงหรอก มันอยู่ในความทรงจำของผม ของพวกเราทุกคน แม้ว่าตอนนี้จะเหลือตลกอยู่ไม่กี่คณะแล้วก็ตาม แต่พวกเราก็ยังรักใคร่กัน เวลาตลกรุ่นใหญ่ๆ ไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วย พวกเราก็ยังช่วยเหลือกันอยู่ ไม่ทิ้งกันไปไหน มันเป็นมิตรภาพที่ดีๆ นะ ถึงแม้จะต่างนามสกุลกันก็ตาม แต่พวกเราคือเพื่อนอาชีพเดียวกัน นั่นก็คืออาชีพตลก

