คสช. ชี้ บุก "ธรรมกาย" ไม่ได้พุ่งเป้าแค่จับ "ธัมมชโย" เผยหวัง "ล้วงตับ–เปิดโปง" ให้สังคมเห็นเบื้องหลัง ยันไม่ล้มเหลว "แกนนำ-สาวก" เปิดเผยตัวตนอยู่การเมืองฝ่ายใด ระบุ จนท.เช็กเส้นทางการเงินวัด ทั้งผู้สนับสนุนเงิน-อาหาร
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 17 มิ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จะเข้าไปจับกุม พระธัมมชโย ในวัดพระธรรมกาย แต่ไม่สามารถจับกุมได้เนื่องจากถูกขัดขวางจากศิษยานุศิษย์ ว่า คดีดังกล่าวถือเป็นคดีปกติทั่วไป ซึ่งทาง ดีเอสไอ คงถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องใช้การดำเนินงานที่ค่อยเป็นค่อยไป ให้เกียรติกันในแต่ละส่วน แต่ก็ยังจะคงดำเนินการทุกอย่างไปตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นหลักสากล ไม่ได้ใช้สิ่งที่นอกเหนือไปจากกรอบกติกาที่ดำเนินการอยู่
ทั้งนี้ หากได้ติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า พระธัมมชโย ไม่ได้เข้ามามอบตัว เนื่องจากระบุว่ามีอาการป่วย แต่ล่าสุด เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) ได้มีการเบี่ยงเบนประเด็น โดยอ้างว่าในตอนนี้บ้านเมืองขาดหลักประกันในกระบวนการยุติธรรม ตรงนี้ถือเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นที่ทำให้สังคมเกิดความสับสนในข้อเรียกร้องที่อ้างมาใหม่ ซึ่งในข้อมูลตรงนี้จะต้องช่วยกันพิจารณาด้วยว่า มันเป็นเช่นไร แต่ในส่วนของ คสช.นั้น จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่เฉยๆ
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่ศิษยานุศิษย์ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า รอให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยก่อนถึงจะมอบตัวนั้น เรื่องนี้คงจะต้องไปถาม ดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ แต่ในส่วนของ คสช. นั้นจะมองภาพรวมของคนทั่วไป แต่จากข้อมูลที่ศิษยานุศิษย์ได้ประกาศต่อสาธารณะนั้น อาจจะทำให้เป็นข้อกังวลบ้างเพราะมันทำให้สังคมเข้าใจว่า เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่ง คสช.เองไม่อยากให้คดีความปกติถูกนำไปเชื่อมโยงกับความมั่นคงและการเมือง เพราะทางวัดเองก็เคยยืนยันว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาตั้งแต่ต้น แต่มีบางกลุ่มเข้าใจว่ามีมวลชนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเข้าร่วมทำกิจกรรมในวัด
...
พ.อ.ปิยพงษ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. เปิดเผยว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในการบุกเข้าไปภายในวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไม่ได้ล้มเหลว เจ้าหน้าที่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มกำลัง ภายใต้สถานการณ์ที่มีข้อจำกัด ล่อแหลม ที่จะเกิดความรุนแรง ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า หากดำเนินการต่อไปจะเกิดผลกระทบอย่างไร หากเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปจับโดยมุ่งไปที่ตัวผู้ต้องหา คือ พระธัมมชโย เพียงคนเดียวแล้วเกิดความรุนแรง ภาพที่ออกมาก็จะเกิดข้อครหาต่อสาธารณชน และสังคมโลก ว่า เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในสถานที่ปฏิบัติธรรม มีคนนุ่งขาวห่มขาวเต็มไปหมด ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ถอยก็เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมต่อไป ส่วนที่บอกว่า จะมอบตัวเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้น เป็นการเปิดเผยตันตนว่า อิงอยู่กับการเมืองฝ่ายใด และเจ้าหน้าที่คงไม่สามารถทำตามได้ คงต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย
“แม้จะไม่ได้ตัวผู้ต้องหา แต่เราได้ข้อมูลจากสิ่งที่เห็น ทั้งเรื่องสถานที่ตั้ง พื้นที่ด้านในบางส่วน ภาพกลุ่มแกนนำ นอกจากนั้น ยังพบข้อมูลว่ามีพระมาจากภาคใต้ มวลชนจากภาคอีสาน ที่เดินทางเข้ามา 2 วันก่อนที่เจ้าหน้าที่เข้าไป แน่นอนว่า มวลชนเหล่านี้คือผู้ที่นับถือวัดพระธรรมกายแต่เราก็ต้องดูว่า มีใครบ้างเป็นแกนนำ อีกทั้งดูว่าคนจำนวนมากขนาดนั้น มีองค์ประกอบอย่างไร มีการปฏิบัติอย่างไร” พ.อ.ปิยพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมวัดพระธรรมกาย และ กลุ่มผู้สนับสนุน หรือไม่ พ.อ.ปิยพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ติดตามอยู่ เรามองว่า มาจากใคร และใครให้การสนับสนุน โดยดูว่าใครให้สิ่งของ หรือตัวเงิน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวของ พระธัมมชโย อย่างเดียว แต่เจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลอื่นๆ ด้วย เช่น การที่เราประกาศว่า จะมีการดำเนินคดีกับผู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ กลุ่มคนที่ขัดขวางก็จะมีการนำผ้ามาปิดหน้าเพื่อไม่ให้ทราบใบหน้าที่แท้จริง
พ.อ.ปิยพงษ์ กล่าวด้วยว่า กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) คงต้องมีการตั้งด่านตรวจรอบวัดพระธรรมกาย เพื่อดูแลเรื่องความปลอดภัย เพราะกรณีนี้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชน และสังคมที่กำลังจับตามองอยู่ ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุแทรกซ้อน ส่วนกรณีที่วัดมีทั้งบอลลูน และโดรนถ่ายภาพทางอากาศนั้น ก็เป็นอีกประเด็นที่สื่อจะช่วยให้ประชาชนได้เห็นว่า เครื่องมือเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อใช้ในพื้นที่การปฏิบัติธรรมหรือไม่.