ไม่ใช่นางเอกโด่งดัง ไม่ใช่ซุปตาร์มาไวแรงเว่อร์ แต่เป็น ดร.เอ็ม สายน้ำผึ้ง รัตนงาม ที่จะมาชำแหละบันเทิงผสมธรรม เพื่อกล่อมเกลาใจเราให้สงบร่มเย็น และแนะเดินทางชีวิตให้ถูกทาง ดร.เอ็ม สายน้ำผึ้ง คลุกคลีกับวงการบันเทิงมายาวนานหลายสิบปี ในบทบาทของนักข่าวบันเทิง เรื่องลับๆ ล่อๆ แหลๆ ของดาราในอดีตมีเยอะนะ แต่ป่วยการที่จะมาฉะแฉ! แซ่บนัว! ในตอนนี้ เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ ชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะมีธรรมจากพระพุทธเจ้าคอยนำทางสว่างให้
ลุยบันเทิงอย่างโชกโชน
ด็อกเตอร์เอ็ม สายน้ำผึ้ง เริ่มร่ายยาวถึงชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยน้ำเสียงดังชัดแบบจริงใจ "พี่เอ็มจบปริญญาตรี นิเทศศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นนิเทศฯ รุ่นแรกเลย เรียนจบไปทำงานเป็นนักข่าวที่แรก ที่หนังสือทีวีพูล ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นนักข่าวบันเทิงอะไรมากมายหรอกนะ (ยิ้ม) ลองๆ ทำไป เด็กจบใหม่ใช่มั้ย ก็ปากกัดตีนถีบ ได้งานก็ทำๆ ไป ตอนนั้นทีวีพูล ดังมากๆ เป็นหนังสือบันเทิงเล่มเดียวในตลาด ที่ขายดีมากๆ ซึ่งตอนนี้ก็อย่างที่รู้ๆ กันสื่อสิ่งพิมพ์ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเหมือนเก่าก่อนแล้ว เพราะพฤติกรรมคนอ่านส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปเสพข่าวจากทางออนไลน์กันเพิ่มมากขึ้น
"พี่เอ็มทำข่าวบันเทิงทั่วไปเลย โอ๊ย!!!!!! อย่าให้เล่านะเรื่องดารามีเยอะ จำไม่ไหว จำไม่ได้แล้ว มันนานเนอะ (หัวเราะ) ข่าวฉาวๆ เน่าๆ ของดาราพี่เอ็มไม่ถนัดนะคะ (ยิ้ม) ตอนนั้นก็มีคอลัมน์ประจำของตัวเองด้วย ชื่อคอลัมน์คลื่นลูกใหม่ พี่เอ็มสัมภาษณ์มาหมดแล้ว เยอะมากๆ ดาราที่เพิ่งเข้าวงการมา พี่เอ็มไปตามสัมภาษษณ์มาหมดเลย ตั้งแต่โน่นเลย นัท มีเรีย ,แจ๊บ เพ็ญเพชร เพ็ญกุล ,แอน ทองประสม ฯลฯ ก็จะน่ารักใสๆ กัน เพราะเพิ่งเข้าวงการตั้งแต่สมัยอยู่ก๊วนของไฟว์สตาร์
...
"หลังจากนั้นพี่เอ็มไปทำให้ ทีวีบันเทิง มีเดียพลัส ,เอ็มทีวี MTV ,แชนแนลวี ไทยแลนด์ Channel V Thailand สมัยโน่นเลยที่ พี่เปิ้ล หัทยา ,พี่เอื้อง สาลินี ปันยารชุน ทำกันอยู่ หลังจากนั้นก็ไปเป็นนักข่าวต่อที่ไทยสกายทีวี นึกกันออกมั้ย นานแล้วนะ หลังจากนั้นก็ลาออก มาเปิดบริษัทมันเดย์ อินทิเกรท คอมมูนิเคชั่นจำกัด รับทำพีอาร์ ประชาสัมพันธ์ ทำแบบเล็กๆ มีพนักงานไม่กี่คน (ยิ้ม)"
เลือกเลียนแบบสิ่งดีของดารา
"ดารานี่เป็นอาชีพ ที่ทุกคนอยากเป็นเนอะ (หัวเราะ) ทำงานดูเหมือนจะง่าย ได้เงินไวได้เงินเยอะ แวดล้อมด้วยสิ่งสวยงาม ดาราดังๆ ก็เก่งสร้างตัวเองได้ แต่จริงๆ เราต้องมองให้ออกในส่ิงที่เขาทำ ในสิ่งที่เขาเป็นให้ดีๆ ด้วย ส่วนดีๆ เราเลียนแบบได้ ทำตามอย่างดาราได้ แต่อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำแค่นั้นเอง ดารานะ โอโห พวกนี้มีบุญเนอะทำบุญมาเยอะ ถึงได้เกิดมาสวยหล่อชาตินี้ เมื่อก่อนไม่เชื่อเรื่องชาติที่แล้ว ลองคิดๆ ดูนะ ทำไมเราไม่เกิดมาเป็นผู้หญิง ทำไมเราเกิดมาเป็นผู้ชาย ทำไมเราถึงมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันแบบนี้ ชาติที่แล้วจะไม่มีไง พระพุทธเจ้าพูดเอาไว้เลยนะ ชาติที่แล้วมีจริง เนื่องจากก้อนกลายเป็นกรรมเก่า"
เหล้าเบียร์ ไม่รับทำพีอาร์
"บริษัทพีอาร์ของพี่เอ็ม มีหลักในการทำพีอาร์อยู่อย่างหนึ่งคือ เราจะไม่รับทำพีอาร์ให้สถานที่อโคจร และสินค้าพวกเหล้าเบียร์ ได้เงินเยอะเท่าไหร่ก็ไม่รับ (น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมากๆ) สมัยก่อนเคยมีคนจ้างให้ทำ งบพีอาร์ประชาสัมพันธ์ประมาณ 500,000 มันก็ท้าทายกับกิเลสเรานะ เม็ดเงินเยอะขนาดนั้น แต่พี่เอ็มบอกเขาไปเลยว่า ไม่รับ! ขอบคุณคะ! (ยิ้ม) เราไม่ว่าใครนะ ใครจะทำก็ทำไป แต่เรามีจุดยืนของเรา พี่เอ็มได้แนวคิดมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ให้ประกอบอาชีพสุจริต สัมมาอาชีโว มันใช่เหรอ ที่เราจะไปส่งเสริมให้คนมากินเหล้ากินเบียร์ มันใช่มั้ย พี่เอ็มทำงานพีอาร์มานาน รู้เลยว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าพวกนี้ มันค่อยๆ ใช้กลยุทธ์หลายอย่างหลายวิธี ค่อยๆ ซึมให้ผู้บริโภครับรู้ ไม่ว่าจะกินแล้วเก๋เท่ห์ กินแล้วมีเพื่อนได้มิตรภาพ มันไม่ใช่อ่ะ! ไม่ควรเลย! พี่เอ็มไม่อยากจะไปสร้างกรรมแบบนี้ให้กับใคร เพราะกรรมที่เราทำกัน มันจะส่งผลในชาตินี้แหละ
"ก่อนหน้าที่จะมายึดหลัก ไม่รับทำพีอาร์ให้กับสินค้าประเภทเหล้าเบียร์ของมึนเมา ตอนเปิดบริษัทใหม่ๆ พี่เอ็มก็เคยรับงานหนึ่งนะ (ยิ้ม) เป็นเหล้ายี่ห้อใหม่แบบมิกซ์เซอร์พร้อมดื่มเลย ตอนนั้นไปจัดอีเว้นท์กันที่ภูเก็ต ในงานพี่เอ็มเห็นเด็กผู้หญิงอายุน่าจะเกิน 12 ปี ดื่มแล้วเมา สภาพดูไม่จืดเลย พี่เอ็มเลยรู้สึกผิด! ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานในครั้งนั้น ยิ่งเราได้มาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วด้วย ยิ่งค้นพบเลยว่า เหล้าเบียร์สินค้าที่มีแอลฮอล์ก ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด มีแต่โทษ!
"หลังจากนั้นก็เลยบอกกับตัวเองว่า สินค้าพวกเหล้าเบียร์ของมึนเมาทั้งหลายเหล่ จะไม่รับทำพีอาร์ให้อีก! ต่อให้ได้เงินเยอะแค่ไหนก็จะไม่ทำ! อย่างบางคนอกหักแล้วชอบเข้าผับเธคกินเหล้า โคตรสนุกเลย เอ๊ะ มันเป็นทางออกจริงเหรอ พอกินเหล้าเมาแล้ว ตื่นมามันไม่หายไง มันไม่ใช่ทางออกนะ อย่าหลงผิด! ตอนนี้พี่เอ็มไปทำงานเป็นนักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ กระทรวงยุติธรรม ไปช่วยพูดคุยให้กำลังใจกับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ เช่นโดนข่มขืน ยิ่งรู้เลยว่า คนที่กระทำผิดส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซนต์ เพราะเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์"
แม่ชีชี้ทางธรรมนำชีวิต
"พี่เอ็มได้รู้จักกับแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ที่เสถียรธรรมสถาน (www.sdsweb.org) ตอนนั้นพี่เอ็มอายุ 25 ยังสาวและสวยนิ๊ดหนึ่ง (หัวเราะลั่น) พี่สาวพาไปเข้าเสถียรธรรมสถาน ไปครั้งแรกชอบมาก ชอบเพราะเป็นสถานที่ทำให้คนได้ปัญญา พี่สาวพาไปแนะนำให้รู้จักกับไปแม่ชีศันสนีย์ ได้เห็นการทำงานของแม่ชีศันสนีย์แล้วก็ศรัทธา เพราะท่านทำเพื่อคนอื่นจริงๆ ก็เลยมีแม่ชีศันสีนีย์เป็นไอดอล
...
"เรามีความรู้ความสามารถในเรื่องการทำพีอาร์ ประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็เลยเข้ามาช่วยตรงนี้ให้กับแม่ชีศันสนีย์ และเสถียรธรรมสถาน ทำให้!!! ตั้งแต่เริ่มรู้จักเสถียรธรรมสถาน เริ่มรู้จักแม่ชีตั้งแต่ปีอายุ 25 ตอนนี้อายุ 45 ปี ทำพีอาร์ให้แบบไม่คิดเงิน สักสลึงเดียว!!! มา 20 ปีแล้ว ก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วแต่คุณแม่จะเรียกใช้ ส่วนมากคุณแม่จะเรียกใช้พี่เอ็มเรื่อยๆ เรื่องไม่ต้องเรียก เวลามีงานอะไรที่เราพอจะช่วยพีอาร์ได้ พี่เอ็มก็ไปช่วยเลย ทำเพื่อช่วยคุณแม่ ช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาไง (ยิ้มกว้าง) ต้องขอบคุณมากๆ ที่คุณแม่ให้โอกาสอยู่ในทางธรรม ให้โอกาสเราในการทำดี เมื่อก่อนพี่เอ็มเป็นคนอารมณ์ร้อนนะ ไม่ยอมใคร ถ้าใครทำอะไรไม่ถูกใจด่าเลย ตอนนี้โดนด่าแทน (หัวเราะ) กรรมติดจรวดเลย พี่เอ็มแปลกอยู่อย่าง มีงานเข้ามาให้ทำอยู่เรื่อยๆ คิดว่าเป็นเพราะเราทำให้ด้วยไง ไม่ทำเอาอย่างเดียวไง ทำให้จริงๆ นะ"
...
แปลงร่างเป็นครูเฟี้ยวฟ้าว
"หลังจากได้รู้จักแม่ชีศันสนีย์มากขึ้นๆ พี่เอ็มก็เริ่มศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นๆ สนใจทางธรรมมากขึ้น เลยตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต สาวิกาสิกขาลัย และไปเรียนต่อปริญญาเอก สาขาพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เห็นมั้ยสายธรรมสุดๆ (ยิ้ม)
"แรกๆ ไม่เคยรู้เลยว่า มีปริญญาเอกด้านพุทธศาสนา เฮ้ย!!! เรียนไป จะไปทำมาหากินอะไร!!! ไม่มีประโยชน์เลยนะโว๊ย!!! (เสียงดัง) แต่ปรากฎหลังจากเรียนจบแล้ว เราพบว่าได้ประโยชน์ทางใจมาก!!! ได้มากกว่าหาเงินด้วย คือถึงที่สุด ชีวิตคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงิน...เท่าไหร่นักหรอก เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องมือหากิน เราไม่ต้องมีเงินเยอะหรอก ใช้แบบพอดีๆ เหมือนในหลวงบอกไว้ว่า ให้พอ เศรษฐกิจพอเพียง ใช้เท่าที่มี อยากได้อยากมีอะไร ถ้ามีปัญญาหาเงินมาซื้อก็โอเค แต่ถ้าไม่มีเงินพอ ก็ทำงานหนักกันไปเป็นวัวควายเลย มันเหนื่อยนะ คือแต่ละคนก็จะมีความพอไม่เหมือนกัน บางคนมีเสื้อผ้าเต็มตัว ก็ยังซื้อๆ อีก หรือบางคนมีรองเท้าเป็น 50 คู่ก็ยังไม่พอ ก็ต้องดูตัวเองด้วยว่า จะพอแบบไหนอย่างไร ที่จะไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนทั้งกายและใจ"
รู้เท่าทันสื่อชวน(ไม่)เชื่อ
"หลังจากเรียนจบเป็นด็อกเตอร์แล้ว พี่เอ็มก็ไปเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต ที่สาวิกาสิกขาลัย ไปเป็นอาจารย์พิเศษประจำหลักสูตรปริญญาโท วิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และเป็นรองประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.)
"พี่เอ็มได้ไปเป็นอาจารย์บรรยายให้พระที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) สอนมาตั้งแต่ปี 2557 เวลาพี่เอ็มไปบรรยาย พระก็จะตื่นตาตื่นใจมาก เพราะไม่เคยเจอครูแบบนี้ (หัวเราะดัง) ก็บรรยายให้พระหลายระดับ ทั้งระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะตำบล อำเภอ พี่เอ็มสอนได้หมด เนื้อหาวิชาที่สอน ก็เอามาจากดุษฎีวิทยาพนธ์ของเราเองนั่นแหละ เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อคุณภาพชีวิต เราทำด้านสื่อบันเทิงมาก่อน ทำงานพีอาร์ประชาสัมพันธ์มาด้วย เรารู้ว่าเลยว่าข่าวแต่ละข่าวนั้น แต่ละเล่มแต่ละสื่อ ก็จะรายงานข่าวไม่เหมือนกัน มีการใส่ความเห็นลงไปด้วย มีวาระซ่อนเร้นอยู่ อย่าให้พี่เอ็มบอกหมดเลยนะ ว่าวาระซ่อนเร้นในแต่สื่อมีอะไรเป็นยังไง (ยิ้มอ่อน) เอาเป็นว่า เราอยากให้คนอ่าน เฮ้ย!!! อย่าไปเชื่อทั้งหมด ฟังหูไว้หู ใช้หลักของพระพุทธเจ้าคือ หลักกามาลาสูตร
...
สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ
"หลักกาลามสูตร ต่อไปนี้ พี่เอ็มไม่ได้คิดเองพูดเองนะคะ แต่เอามาจากพระพุทธเจ้าคือ 1.อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา 2.อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา 3.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือมา 4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรามา 5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง 6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา 7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ 8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน 9.อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ 10.อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้ อ้าว! แล้วจะให้เราเชื่อแบบไหนเหรอ พระพุทธเจ้าบอกต่อว่า จะเชื่อสิ่งใดๆ ได้ก็ต้องมีศีล ทำสมาธิ ที่สำคัญต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พุทธวิธีการรู้เท่าทันสื่อคือ ต้องสร้างสติให้ตัวเอง ด้วยการรู้ตัวทั่วพร้อม เสพสื่ออะไรเข้าไป ส่งผลทำให้เราโกรธมากขึ้น เกลียดมากขึ้น อยากมากขึ้น เบียดเบียนผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าเป็นไปในแนวทางนั้น ก็ไม่ควรเสพ"
พุทธเริ่มเสื่อม?
"อย่างพระบางรูป ก็บ้าไสยศาสตร์ให้คนมีทุกข์ไปนอนในโลง รดน้ำมนต์แก้กรรมสะเดาะเคราห์ มันไม่ใช่นะ ธรรมะมีลำดับเป็นขั้นตอน พุทธ แปลว่ารู้ตื่นรู้เบิกบาน ไสยศาสตร์ ทำให้คนหลับไหลลุ่มหลง บางคนไปยึดติดกับครูบาอาจารย์ ไปยึดติดกับบุคคล พระพุทธเจ้าบอกเลยนะว่า ไม่ให้ยึดติดกับอะไรเลยนะ ให้พึ่งตนเอง พึ่งธรรมะ ยึดธรรมคำสอน เพราะมันดี พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านะ เพราะมันดีจริง สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ให้เราปล่อยพระธรรมด้วยนะ มันลึก! ถ้าพูดประเด็นนี้จะยาวเลยนะ สั้นๆ เลยคือ ที่เพี้ยนทุกวันนี้ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าไง จะบอกดังๆ ให้ว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า โอ๊ย!!! โคตรสุดยอดเลย ขอให้คนจงมาดูเถิด มาทำเถิดตามพระธรรมคำสอน
"คนเราคิดไม่เหมือนกันไง สังเกตมั้ยเวลาไปคุยกับคนที่มีความคิดไม่เสมอกันกับเรา ทะเลาะกันตาย พี่เอ็มจะไม่ยัดเยียดธรรมให้นะ ต้องให้เขาลองเรียนรู้ศึกษาเองก่อน ชอบเองก่อน เพราะถ้าเราจะไปยัดเยียดธรรมให้กับเขา ก็จะไม่ได้ผล เสียเวลาเสียกำลังใจด้วย คนเราเกิดมาต้องมีศีลกำกับ เอาง่ายๆ เลยนะ แค่ศีล 5 ถ้าทำได้ไม่มีปัญหาเลย ศีล 5 พอแล้ว อะไรที่ไม่ดีก็ค่อยๆ ลด ค่อยๆ ละ แล้วค่อยเลิก"
ลับ ลวง แหล กับสื่อชวนเชื่อ
"ข่าวบันเทิงเป็นข่าวที่มีเสน่ห์ ทุกคนชอบเสพ สังเกตตามร้านขายหนังสือสิ มีแต่หนังสือบันเทิง หนังสือพิมพ์คนก็ชอบเปิดอ่านข่าวบันเทิงกันก่อน หน้าแรกๆ ที่คนเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ก็หน้าบันเทิง ข่าวออนไลน์คนก็ชอบอ่านข่าวบันเทิงกันทั้งนั้น อย่างในไทยรัฐออนไลน์ ข่าวที่คนชอบอ่านแล้วอ่านกันเยอะมากๆ ก็ต้องข่าวบันเทิง ใช่มั้ยค่ะ เวลาอ่านข่าวบันเทิงก็อย่าไปเชื่อหมด ให้ใช้ปัญญาใช้หลักกาลามสูตร เพราะเป็นหลักที่ไม่วันตาย
"หรือสื่อโฆษณาต่างๆ ที่เราดูๆ กันอยู่ ดูแล้วต้องคิดต้องระวังกันด้วย เพราะนักโฆษณาคิดสร้างสรรค์ออกมาได้เนียนมาก ดูแล้วค่อยๆ ทำให้เราคล้อยตามหลงเชื่อตาม เช่น ต้องกินเหล้ากินเบียร์กินแล้วเท่มีเพื่อนเยอะ หรือพวกบัตรเครดิต กดบัตรเงินสดมาใช้ก่อนจากบัตรเครดิตให้พ่อแม่ไปเที่ยว มันใช่เหรอ เขาเอาหลักศีลธรรมความกตัญญูกับพ่อแม่มาเคลือบไว้ไง เห็นมั้ยว่านักโฆษณามันเก่งฉลาดเนอะ คิดๆ ดูนะคะ มันใช่เหรอ กดเงินสดจากบัตรเครดิตมาให้พ่อแม่พาไปเที่ยว ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ เราต้องรู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันตัวเราเอง ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต รู้ๆ กันอยู่ว่าแพงมากๆ ทำงานผ่อนดอกเบี้ยกันหน้าเหลืองเลย มันใช่เหรอ นี่คือเราต้องรู้เท่าทันสื่อด้วย
สังคมดีได้ ด้วยมีสื่อดีส่งเสริม