"บันเทิงไทยรัฐออนไลน์" ชวนพูดคุยกับหนุ่มๆ ทั้ง 6 คนที่เคยโด่งดังจากภาพยนตร์ "แฟนฉัน" และกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องใหม่ "บุปผาอาริกาโตะ" ค่ายสหมงคลฟิล์ม พร้อมทั้งอัพเดตถึงชีวิตปัจจุบันและอนาคตของพวกเขาด้วย
ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 2546 หรือเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ไทย "แฟนฉัน" หนังไทยแนวสดใสที่ถ่ายทอดความรักและความทรงจำในวัยเด็กได้ถูกใจคอหนังจนกวาดรายได้ไปกว่า 137 ล้านบาท และด้วยฝีมือการกำกับโดยผู้กำกับฯ 6 คน ในนามกลุ่ม 365 ฟิล์ม จึงทำให้ชื่อของเหล่านักแสดงหนังเรื่องนี้ยังเป็นที่จดจำของคอหนังบ้านเราอยู่เสมอ และในปี 2559 นี้ พวกเขา "แก๊งแฟนฉัน" กำลังกลับมารวมตัวอีกครั้งในภาพยนตร์สยองขวัญโรแมนติกสุดฮาเรื่องใหม่ "บุปผาอาริกาโตะ" ค่าย สหมงคลฟิล์ม ที่มีทั้งความตลก น่ากลัว และดราม่าอยู่ในเรื่องเดียวกัน ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 5 พ.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
แต่เรื่องราวความสนุกจะเป็นอย่างไร การร่วมงานครั้งแรกระหว่างแก๊งแฟนฉันกับนางเอกหน้าใส เก้า สุภัสสรา ธนชาต (รับบทเป็นโรส หรือบุปผาราตรีคนใหม่) รวมทั้งผู้กำกับดัง ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค เป็นอย่างไร ชีวิตปัจจุบันและมุมมองเรื่องอนาคตของเหล่าแก๊งแฟนฉันเป็นยังไงบ้าง งานนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของหนุ่มๆ ทั้ง 6 คน แน็ก ชาลี ปอทเจส, แจ๊ค เฉลิมพล ฑิฆัมพรธีรวงศ์, หยก ธีรนิตยาธาร, อ๋อง ธนา ตันตรานนท์, ออฟ อภิชาญ เฉลิมชัยนุวงศ์ และ เก็ท ตรีวรัตถ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย มาบอกเล่ากันดีกว่า แต่บอกเลยว่าตลอดการสนทนากับหนุ่มๆ ทั้ง 6 คน "ทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐออนไลน์" ทั้งขำทั้งฮาที่หนุ่มๆ แก๊งแฟนฉันขนมุกตลกๆ กระเซ้าเย้าแหย่จนหัวเราะท้องแข็งเลยจ้า!!
...
แนะนำตัวและคาแร็กเตอร์ในหนังกันหน่อย?
อ๋อง : ชื่ออ๋องครับ ในเรื่องนี้ก็ชื่ออ๋องเหมือนกันครับ เป็นตากล้องครับ
ออฟ : ชื่อออฟครับ ในเรื่องก็ชื่อออฟเหมือนกัน คือทุกคนเล่นเป็นตัวเองเลย ซึ่งผมรับบทเป็นผู้จัดการกองถ่ายให้เพื่อนๆ เป็นคนที่ไปเช่าบ้านออสการ์ลอดจ์ให้เพื่อนๆ เนี่ยแหละครับ
แน็ก : เรื่องนี้ผมรับบทแน็ก เป็นนักดนตรีที่จะไปถ่ายเอ็มวีที่ประเทศญี่ปุ่น
หยก : ผมหยกครับ เล่นเป็นตัวเองเหมือนกัน ในหนังเรื่องนี้ผมเล่นเป็นฝ่ายซาวนด์ ถือไมค์บูมครับ
แจ๊ค : แจ๊คครับ เรื่องนี้ผมเล่นเป็นผู้กำกับครับ เรื่องของเรื่องคือแน็กจะมีเพลงของมัน แล้วมันอยากทำเอ็มวีที่ญี่ปุ่น ก็เลยไปด้วยกันทั้งแก๊ง แต่ละคนก็มีหน้าที่ต่างๆ ครับ
เก็ท : เรื่องนี้ผมเล่นเป็นเก็ทครับ หน้าที่ในกองถ่ายจะเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ เป็นคนจัดเตรียมพร็อบให้กับกองครับ พี่ต้อมอยากให้เราเล่นเป็นตัวเองในเรื่อง ประมาณว่าเพื่อนกลุ่มนึงไปถ่ายเอ็มวีที่ญี่ปุ่นครับ
หยก : หนังเรื่องนี้เขาน่าจะเลือกจากบุคลิก อย่างอ๋องจะเป็นแนวอาร์ตๆ ไปทางศิลปะ ก็เหมาะสมที่จะเป็นตากล้องครับ
เป็นหนังสยองขวัญเรื่องแรกของเราไหม?
ออฟ : จริงๆ ผมเคยเล่นหนังบุปผาราตรีภาค 2 มาก่อนแล้ว รับบทเณรที่ไปปราบผี แต่คราวนี้รับบทที่ต่างออกไป คือมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แล้วไปถ่ายเอ็มวีกัน เป็นครั้งแรกที่พวกเราแก๊งแฟนฉันเล่นหนังผีด้วยกันเลย
หยก : ก็สนุกครับ แต่เอาจริงๆ แล้วเรามาเล่นเรื่องนี้ก็ยังฟรุ้งฟริ้งอยู่นะ (ยิ้ม) ติงต๊องเหมือนเดิม
ออฟ : เป็นหนังสยองขวัญแต่ยังมีนิสัยความเป็นพวกเราอยู่ เจอผีแล้วมันเป็นโมเม้นต์ที่แปลกใหม่ ไม่ใช่มาฮาอย่างเดียว คือเราก็มาเจอผีแบบน่ากลัวสยองเลยจริงๆ แต่เราจะมีวิธีการรับมือแปลกๆ ตรงนี้เลยเกิดเป็นความฮาสนุกสนานกันครับ
...
หลายคนไม่ได้เล่นหนังมานานกี่ปีแล้ว?
อ๋อง : ผมนี่มีบ้างประปราย มีร่วมงานกับแน็กบ้าง แต่ผมจะไปทางศิลปะมากกว่า ไปแข่งอาร์ตเรียลลิตี้ ทำงานศิลปะ ทำงานแฮนด์เมดขายมากกว่า
แน็ก : จริงๆ ผมเคยเล่นหนังแนวนี้ตั้งแต่เรื่องเด็กหอ ก็เลยรู้สึกสนุกดีครับ
หยก : ผมครั้งแรกครับ ก็ตื่นเต้นครับ แต่ผมตื่นเต้นเรื่องโลเกชั่นมากกว่า เพราะเราไปถ่ายที่ญี่ปุ่นครับ
ออฟ : ต้องบอกเลยว่าที่หยกรับเล่นเรื่องนี้เพราะได้ไปญี่ปุ่นครับ (ยิ้ม)
เล่าบรรยากาศการถ่ายทำที่เมืองนิเซโกะ ประเทศญี่ปุ่น ให้ฟังหน่อย?
ออฟ : บรรยากาศการถ่ายทำวันแรกที่เราไป เราต้องไปเจอพายุหิมะตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึงญี่ปุ่นเลย ทำให้บรรยากาศในกองมีหิมะตก ต้องถ่ายกับเวลาในหน้าหนาวที่มันมืดเร็ว เราก็ต้องแข่งกับเวลาเพื่อเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้คุณผู้ชม แต่ก็อยู่กันอย่างสนุกสนาน ถ่ายกันเต็มที่มากๆ ที่โน่นพอ 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว เราจะมีเวลาถ่ายฉากกลางวันค่อนข้างน้อย เราต้องตั้งใจ จะมาติดเล่นกันแบบสมัยก่อนไม่ได้แล้ว ต้องฟังพี่ต้อม ทำให้มันดีที่สุดและรวดเร็วครับ
...
ได้มาร่วมงานกับน้องเก้า สุภัสสรา เป็นไงบ้าง?
แจ๊ค : เคยเจอน้องมาบ้างแล้วครับ พอได้มาร่วมงานกันก็แจ่มเลยครับ (ยิ้ม) หมายถึงหน้าตาแจ่มครับ จริงๆ เก้าเป็นคนที่การแสดงดีครับ เรื่องซีนร้องไห้ ซีนอารมณ์เขาทำได้ดี จริงๆ พวกแก๊งเราไม่ค่อยเล่นกับเก้าเยอะเท่าไหร่ ต้องถามแน็คครับที่จะเล่นด้วยตลอด
แน็ก : น้องเก่งมากๆ เรื่องการแสดง เขาเป็นคนที่แสดงได้ธรรมชาติมากๆ ครับ เก่งมากๆ เลยครับ ส่วนฉากกุ๊กกิ๊กไม่ค่อยมี เรื่องนี้จะไม่ได้กุ๊กกิ๊กมาก
ออฟ : ถามว่าใครปลื้มเก้าบ้าง หยกเลยครับ (ยิ้ม)
หยก : ใครกันแน่ ผมอยู่เฉยๆ นะ
ออฟ : ไม่ๆ เปลี่ยนคำถาม ใครไม่ชอบเก้ามั่ง
แจ๊ค : ผมไม่ได้ชอบเก้า ผมมีแฟนแล้ว (ยิ้ม)
ออฟ : จริงๆ เราทุกคนก็ดูแลแหละ ก็เข้าไปคุยเล่นกับน้องเขา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษครับ ผมว่าเขาเกร็งนะ ตอนแรกไม่เคยเจอกันไงมันก็จะเกร็งกันแหละ แต่พออยู่กันไปสักพักมันก็ชินน่ะเนอะ
ทำงานกับพี่ต้อม ยุทธเลิศ เป็นไงบ้าง เขาทุ่มเทขนาดไหน?
ออฟ : เป็นผู้กำกับที่เจ๋งมากในความคิดผมนะ พี่ต้องจะเป็นคนที่มีไอเดียแปลกใหม่ตลอดเวลา ทำให้บทมันดีขึ้น พอไปเห็นสถานที่เขาก็จะมีไอเดียแปลกๆ ใหม่ๆ ทำให้ตัวบทน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคนช่วยกันพัฒนาบทว่าเล่นแบบนี้เป็นไง โอเคไหม
หยก : เขาให้เราช่วยกันเบรนสตรอม ช่วยกันคิดว่าแบบนี้จะดีกว่าไหม ฮากว่าไหม พี่แจ๊คบางทีคิดมุกอะไรได้ก็จะเสนอพี่ต้อม พี่ต้อมก็บอกว่าชอบ เออ เอาอันนี้ โดยที่ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคาแร็กเตอร์ของเราเป็นหลักครับ
เก็ท : เรื่องนี้พี่ต้อมเขาเจ๋งมาก เขาถ่ายเองด้วย กำกับเอง ตัดต่อเอง ทำทุกอย่างเองเกือบหมดเลย (หัวเราะ)
ออฟ : ใช่ครับ เพราะเรื่องนี้เขาต้องการให้เป็นหนังที่คุณภาพจริงๆ เขาก็ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
เก็ท : แล้วที่ญี่ปุ่นอุณหภูมิ -8 ตลอด ใส่ถุงมือไม่ได้ ห้ามใส่ถุงมือเพราะพี่ต้อมบอกว่าเขากดปุ่มอะไรไม่ได้ ก็ต้องอยู่อย่างนั้น คือสภาพมือแข็งแล้วถ่ายกลางหิมะ
ออฟ : มีหลายครั้งที่พี่ต้อมถ่ายเสร็จเลิกกองแล้วหลับคาโลเกชั่นเลย เหนื่อยเพราะเขาใส่เต็มที่ไง พอเลิกปุ๊บก็หลับกลางบ้านที่ใช้ถ่ายนี่แหละ แบตหมดเลยครับ พี่ต้อมทุ่มเทมากครับ
...
บุปผาราตรีภาคที่ผ่านมาทั้งรายได้และกระแสค่อนข้างดี พอเรามาเล่นมีกดดันไหม เพราะคนก็คาดหวัง?
เก็ท : อย่าคาดหวังว่ามันจะเหมือนบุปผาภาคก่อนดีกว่า เพราะอันนี้เหมือนเป็นเรื่องใหม่ขึ้นมาเลย มันไม่ใช่ภาคต่อ มันคือเรื่องใหม่ มันคือบุปผาอาริกาโตะไม่ใช่บุปผาราตรีครับ ไม่ใช่หนังภาคต่อ
ออฟ : อยากให้คิดอย่างนี้ดีกว่าว่าเราซื้อตั๋วดูหนังบุปผาอาริกาโตะไป แค่เตรียมตัวเตรียมใจพบกับความหลอนที่มันแปลกใหม่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการหนังผีไทย พี่ต้อมอยากสร้างอะไรที่เป็นแนวใหม่ของหนังผีไทยที่ยังไม่เคยเจอ ปกติหนังผีไทยจะเป็นแนวมาหลอกปึงปัง เป็นหนังอึมครึม ปกติหนังผีจะมืดๆ ใช่ไหม แต่คราวนี้ถ่ายหิมะมาเลยสว่างๆ จะมีการเปลี่ยนใหม่ตลอด ให้คิดว่าไปดูหนังผีแนวใหม่ พบกับพวกเราแบบใหม่เหมือนกัน อย่ามองว่าเป็นบุปผาแบบนั้นจะดีกว่า ทุกคนน่าจะสนุกกับมันมากกว่า
เรื่องนี้โฟกัส (โฟกัส จีระกุล) ไม่ได้มาร่วมงานด้วย มีโอกาสได้เจอกับโฟกัสบ้างไหม?
เก็ท : ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เห็นเขามีร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว แต่ก็ได้เจอกันตอนปาร์ตี้ที่จัดกันเอง เขาก็น่ารัก พี่กัสอยู่กับแฟน
ออฟ : ถามว่าเสียดายไหมที่ไม่ได้มาร่วมงานกันในหนังเรื่องนี้ก็ไม่เสียดายครับ เพราะว่ายังมีโอกาสอื่นที่ได้เจอกัน อันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะมาเปิดมุมมองใหม่ของแก๊งแฟนฉันมาเจอกับน้องเก้าไงครับ
แน็ก : จริงๆ พอดีตอนแรกผมทำเพลงอินดี้ แล้วคนบอกว่าอยากเห็นเล่นเอ็มวีกับโฟกัส ผมก็ถามเขาว่าเล่นได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ แล้วเขาก็มาช่วยเล่นให้เลยครับ เขาก็น่ารักตั้งแต่เด็กอยู่แล้วครับ โตมาเขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิมครับ
ทั้ง 6 คนไม่ได้มาร่วมงานด้วยกัน 12 ปี พอกลับมาเจอกันในหนังเรื่องนี้เป็นไงบ้าง?
เก็ท : ผมว่าโตแต่ตัวครับ ยังเล่นกันเป็นเด็กๆ อย่างที่เห็นแหละครับ (ยิ้ม)
ออฟ : คุยกันก็ยังไรัสาระปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ยังชอบนั่งสุมหัวกันเหมือนเดิม
หยก : แค่บางอย่างจะดาร์คขึ้นหน่อย (หัวเราะ) แฮงก์เอาต์กันตอนกลางคืน
ออฟ : พวกเราจะอยู่กลางคืนได้ดึกมากขึ้น เพราะตอนเด็กๆ เราง่วงเร็ว
แจ๊ค : ถามว่าต่างจากเมื่อ 12 ปีที่แล้วไหมไม่ต่างเลยครับ อย่างแน็กเนี่ยเมื่อก่อนรักสัตว์โลกไง เลี้ยงทุกอย่างที่คนไม่เลี้ยง
แน็ก : แต่เดี๋ยวนี้เลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย (หัวเราะ)
หยก : ตอนที่ผมกลับมาเจอ ผมประหม่าไอ้แน็กมากที่สุด 10 กว่าปีที่ไม่เจอกันมันจะเป็นยังไง จะคุยกับมันยังไง จะคุยรู้เรื่องไหม ตอนเด็กคุยรู้เรื่องนะ ผมกับมันสนิทกัน เล่นด้วยกัน ที่ประหม่าเพราะแน็กมันติสต์ มันเลี้ยงงู ผมกลัวงูไง เขาก็มีแนวของเขาไง เราแค่กลัวว่าจะคุยภาษาเดียวกันรึเปล่า แต่พอมาเจอที่สนามบินปุ๊บ 2 นาทีเท่านั้นแหละ รู้เลยว่ามันไม่ต่างจากพวกเรา ปัญญาอ่อนเหมือนกัน (ยิ้ม)
แน็ก : ที่ชอบเลี้ยงงูคือปกติ พอดีผมชอบสัตว์ ชอบหมาแมว
หยก : เลี้ยงหมาแมวไว้ให้งูกิน (หัวเราะ)
12 ปีผ่านไป แต่ละคนมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างนอกจากหน้าตา?
ออฟ : มันก็มีเรื่องตอนเด็กๆ ล้อกันแหละ โตมายังล้อเหมือนเดิมทุกอย่าง ถามว่าแจ๊คแสบสุดไหมไม่นะ ผมว่าแสบเท่ากันแหละ
อ๋อง : จริงๆ ทุกคนเปลี่ยนไปหมดแหละในเรื่องรูปร่าง เพราะหยกก็สูงเกินไป ออฟก็ผอมลง พี่แจ๊คก็ผอมลง แต่เรื่องนิสัยจะมีเก็ทที่ดูโตขึ้นครับ ตอนเด็กๆ เก็ทไม่รู้เรื่องเลย (หัวเราะ) แต่ก็ยังติงต๊องเหมือนเดิม
เก็ท : ตอนเด็กๆ ผมเรียนชั้นประถมเอง ผมเด็กที่สุดไงครับ แต่อย่างน้อยผมไม่เล่นเพื่อนนะ (ยิ้ม) ทุกคนก็เหมือนเดิม
หยก : แต่สิ่งนึงที่ผมสังเกตได้ พอกลางคืนเราแฮงก์เอาต์กันจะเริ่มคุยเรื่องอนาคตกันเพราะเราจะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว ก็เริ่มคุยแบบมีสาระขึ้นมานิดนึง (ยิ้ม) แต่คุยได้ไม่กี่คำแค่นั้นแหละ แล้วก็ปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ด้วยความที่เราโตขึ้นมั้ง เราก็จะชอบหยิบเรื่องเด็กๆ ขึ้นมาคุยกัน
แล้วตอนนี้แต่ละคนทำอะไรอยู่บ้าง?
เก็ท : ตอนนี้ผมเรียนด้านบริหารอยู่ครับ ที่ ม.ชินวัตร ปี 3 ยังไม่ได้คิดว่าจะทำงานอะไรเป็นหลักแหล่งเพราะทุกวันนี้มีงานถ่ายละครเป็นจ๊อบๆ มีเข้ามาเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านมาละครที่เพิ่งจบไปก็มีเรื่องอตีตา, ตะพตโลกันตร์ ทางช่อง 7 และก็จะมีละครเหยี่ยวรัตติกาลซึ่งปิดกล้องไปแล้ว และก็มีละครเรื่องปะการังสีดำ ทางช่อง 3 ผมเป็นฟรีแลนซ์ก็ถ่ายละครไปเรื่อยๆ รับเชิญบ้าง เล่นเต็มเรื่องบ้างครับ ก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ได้มีละครเปรี้ยงๆ ขนาดใหญ่อะไร หางานด้วยการเป็นนักแสดงแบบนี้ดีกว่า
หยก : เรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ก็หนักหนาสาหัสมาก ตอนนี้เรียนปี 4 แล้วครับ อีกปีนึงจบครับเพราะคณะนี้เรียน 5 ปี ตอนเข้าไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ แต่เรียนแล้วสนุกครับ ผมคิดว่าคงลองทำสถาปนิกดูครับแต่ก็มองอย่างอื่นไว้ ถ้าทำไปแล้วไม่ชอบอาจจะไปทางด้านการลงทุนหรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังต้องศึกษาอีกเยอะครับ
ออฟ : เพิ่งเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา ม.อัสสัมชัญ เมื่อปีที่แล้วครับ ตอนนี้ทำงานเอเจนซี่โฆษณา ก็มาต่อในสิ่งที่คิดว่าเราชอบครับ พอมีหนังเข้ามาก็มีโอกาสได้เจอเพื่อนๆ เราก็รับเล่นเพราะไม่ได้เจอเพื่อนนานแล้วไง ก็คิดถึงเพื่อนแล้วกลับมารวมตัวกันครับ แต่ว่างานประจำก็ยังทำอยู่ครับ
แน็ก : จริงๆ ผมอยากเป็นหลายอย่างมาก อยากเป็นนักบิน นักแข่งรถ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ตอนนี้มาชอบดนตรี ฝึกฝนด้านดนตรีครับ เรื่องนี้ก็เล่นเป็นนักดนตรีก็เข้าทางครับ จริงๆ ผมชอบเพลงทุกแนว เหมือนเพลงผมก็ทำทุกแนวเลยครับ ทำคนเดียวครับ
อ๋อง : ส่วนผมทำงานแฮนด์เมดขายครับ เมื่อก่อนก็จะทำงานศิลปะด้วยครับผม เช่น รับเขียนรูป เขียนรูปขาย แต่ส่วนใหญ่ผมจะทำงานแฮนด์เมดขายมากกว่าครับ ขายตามถนนคนเดิน ทำเองขายเองครับ เข้าไปดูรายละเอียดได้ในเพจ www.facebook.com/70sHippie พอไปขายก็มีคนจำผมได้เหมือนกันครับ
แจ๊ค : ตอนนี้ช่วยอ๋องขายกระเป๋าครับ (หัวเราะ) จริงๆ ผมทำรายการแหละครับ คือรายการตื่นมาคุย พอโตขึ้นความเปลี่ยนแปลงทางการงานมันน่ากลัวขึ้นเนอะ ตอนเด็กๆ ไม่รู้เรื่องอะไรมาก วัยเด็กเราไม่ต้องซีเรียสอะไร พอโตขึ้นมันเหนื่อยเหมือนกันครับ มันต้องเจออะไรหลายอย่าง ทำงานพิธีกรก็สนุกดีครับ พอมาเจอเจ๊มดดำ พี่วู้ดดี้ ซึ่งเขาเป็นรุ่นใหญ่ เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ครับ นอกจากนี้มีละคร 2 เรื่อง คือเรื่องคุณชายไก่โต้ง ทางช่อง 7 และเรื่องแรงตะวัน ทางช่อง 3 ครับ ส่วนธุรกิจส่วนตัวยังครับ เน้นทำงานตรงนี้ให้เต็มที่ก่อนดีกว่า เก็บประสบการณ์ให้มันเยอะๆ ครับ ส่วนหมูสะเต๊ะเราหยุดไปก่อนเพราะไม่มีเวลาทำ ไม้สองไม้ไม่ขาย ถ้าใครจ้างทำเยอะๆ ก็ขายครับ (ยิ้ม)