เทคโนโลยีสวมใส่ หรือ Wearable Technology ที่กำลังมาแรงในปีนี้คงหนีไม่พ้นแว่นตาโลกเสมือน (Virtual Reality) เป็นแว่นล้ำยุค 3 มิติ ที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากจอคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิงว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือท่องโลกเสมือนจริง

หนึ่งในผู้พัฒนาแว่นสุดล้ำและถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น “Oculus VR” ที่มีแผนนำแว่นรุ่นใหม่ Oculus Rift วางตลาดในเร็วๆ นี้ ยิ่งบริษัทนี้ถูก “เฟซบุ๊ก” ซื้อกิจการเพื่อไปต่อยอดธุรกิจในอนาคตมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์หรือราวกว่า 71,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก มองว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจจะเข้ามาต่อยอดนอกเหนือจากการเล่นเกม เช่น การนัดพบแพทย์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์นี้ การชมการถ่ายทอดสดกีฬาราวกับว่านั่งลุ้นอยู่ขอบสนาม หรือนั่งเรียนพร้อมกับนักเรียนอื่นๆ ทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าโลกแห่งอนาคตไม่ไกลเกินเอื้อมเลยจริงๆ

ในการประชุมสุดยอด Vision VR/AR ที่รวบรวมเอาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ดีไซเนอร์ โปรแกรมเมอร์ วิศวกร ศิลปิน และนักดนตรี เป็นต้น เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย “พาลเมอร์ ลักกี้” ผู้ก่อตั้ง ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ตนไม่เพียงแต่ต้องการขายชุดแว่นสามมิติ แต่ต้องการให้ผู้ซื้ออุปกรณ์นี้ได้ใช้งานทุกวัน ซึ่งการจะประสบความสำเร็จคือการใช้เวลาอยู่กับอุปกรณ์นี้ไม่ใช่วัดจากตัวเงิน

การที่ผู้บริโภคซื้อมาใช้งานทุกวันจะถือว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีสำหรับระบบนิเวศธุรกิจของโลกเสมือนจริงในอนาคต เทคโนโลยีของ Oculus จะทำให้ผู้สวมใส่ได้มองเห็นมุมมอง 360 องศาในโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นทั้งจากภายในคอมพิวเตอร์เองหรือจากกล้องถ่ายหลายๆ ตัว ชุดแว่นดังกล่าวจะติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน และสามารถใช้ตัวควบคุมที่เรียกว่า Touch เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การโต้ตอบ

...

ตามแผนการตลาด ทางเฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวชุดแว่น Oculus Rift ในวันที่ 28 มีนาคมที่จะถึงนี้ ราคาขายปลีกสำหรับผู้บริโภคอยู่ระหว่าง 599–1,499 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 21,260–53,200 บาทขึ้นอยู่กับว่าจะเอาชุดแว่นหรือชุดแว่นมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ขั้นสูงที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานกับชุดแว่นนี้ และจัดส่งชุดแว่น แต่ทาง “ลักกี้” ระบุว่า ชุดแว่นดังกล่าวอาจจะมาพร้อมการทดลองใช้ 4 เดือน เป็นรุ่นสำหรับมือโปรของ Unity engine เป็นชุดสำหรับผู้สร้างสรรค์ ไม่ใช่สำหรับผู้บริโภค

ด้าน “จอห์น ริชชิเตลโล” ซีอีโอของ Unity มองว่าในระยะ 5-10 ปีข้างหน้าจะมีผู้บริโภคผู้ใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนจริงถึง 1,000 ล้านคน เป็นการเติบโตที่มีลักษณะคล้ายกับสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน

การคาดการณ์นี้จะเป็นจริงหรือไม่ต้องจับตามองกันต่อไป!!!

หนุ่มดิจิตอล
cybernet@thairath.co.th