ศิษย์ดีก็ต้องมีครูที่ดี ที่คอยแนะนำสั่งสอน อบรมบ่มวิชาความรู้ให้ศิษย์ และศิษย์จะได้ดี ก็ต้องไม่ลืมพระคุณของครูบาอาจารย์ ระลึกถึงท่าน กลับไปหาท่าน ไปพบไปดูแลท่านบ้าง นั่นแหละที่เรียกว่า ศิษย์กตัญญู...
จึงไม่แปลกนักที่วันครบรอบของสถาบัน หรือวันสำคัญที่มหาวิทยาลัยจัดงานขึ้น จะมีบรรดาศิษยานุศิษย์ เดินทางไปร่วมกิจกรรม และไปสักการะครูและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถาบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ก็เช่นกัน ล่าสุดจัดงานพิราลัยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พร้อมกับจัดกิจกรรมสัปดาห์แห่งการเชิดชูเกียรติ เนื่องในโอกาสที่เสนอชื่อ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี 2561
สำหรับปีนี้มีการจัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมีนักศึกษา ศิษย์เก่า และบุคคลทั่วไปที่เคารพนับถือ เดินทางร่วมกิจกรรมและนำพวงมาลัยดาวเรืองมาไหว้อนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จำนวนมาก ทำให้บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคัก
อย่างไรก็ตาม การจัดงานประกอบด้วยการจัดกิจกรรมหลายอย่าง ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือนิทรรศการ 150 ปี ศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน “ผู้ส่งเสริมสันติวัฒนธรรมนำสยามสู่ประชาคมโลก” โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลินดา เกณฑ์มา อธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิด ทั้งนี้มีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา ให้ความสนใจและเข้าร่วมชมนิทรรศการกันอย่างมาก สำหรับเนื้อหาของนิทรรศการนี้ น่าสนใจไม่น้อย ประกอบไปด้วยคุณูปการของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) หลายด้าน เช่น
...
ด้านฝากบ้านฝากเมือง …ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ก็เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่ ท่านฟ้าน้อย 2 พระองค์ …การต่อไปภายหน้าเห็นแต่เอง (พระยาศรีสุริยวงศ์) ที่จะรับราชการเป็นอธิบดีผู้ใหญ่ต่อไป การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าเสียทีแก่เขาได้ จากพระบรมราชโองการ ตอนหนึ่งที่มีต่อพระยาศรีสุริยวงศ์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
อีกด้านคือ การเปิดใจกว้างรับชาวต่างประเทศและการเจรจาทางการทูต คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรต่างชาติ และให้ความเคารพในลักษณะกัลยาณมิตรที่พร้อมดูแลต้อนรับขับสู้ อย่างผู้ที่มีฐานะคนเสมอกันและไปมาหาสู่กัน นอกจากนี้ยังเรียนรู้ชาติตะวันตกผ่านโลกตะวันออก เป็นผู้บัญชาการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกไปดูงานต่างประเทศ ณ ประเทศสิงคโปร์ใน พ.ศ. 2404 เพื่อดูแบบอย่างการบริหารและการปกครองของอังกฤษ นำมาปรับปรุงบ้านเมือง
ทั้งนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้ทำหน้าที่อันสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านของบ้านเมือง ด้วยคติประจำใจของท่านที่ว่า “คำพระ คำพระมหากษัตริย์ คำบิดามารดา ใครลบล้าง ก็เป็นอกตัญญู นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้วางรากฐานความเจริญต่างๆ แก่สยามประเทศ เป็นผู้มีอัจฉริยภาพในการประสานความเป็นไทยซึ่งเป็นตะวันออก เข้ากับความเป็นตะวันตกได้อย่างเหมาะสม เปิดรับแนวคิดวิทยาการสมัยใหม่ของชาติตะวันตก มาทำให้คุณภาพชีวิตของคนสยามดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ยังถือว่าเป็นผู้ส่งเสริมสันติวัฒนธรรม เนื่องจากได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีช่วงชีวิต 5 แผ่นดิน ได้รับราชการสนองคุณแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามบรรพบุรุษ และมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการสืบราชสันตติวงศ์ถึง 3 รัชกาล ด้วยการยึดหลักแนวคิดแบบ “สันติวัฒนธรรม” ยึดมั่นความจงรักภักดีในพระบรมราชจักรีวงศ์