วันนี้ถึงวันศุกร์ 23–25 ธันวาคม ช่วงเทศกาลคริสต์มาสพอดี รัฐบาลจะเปิดทำเนียบ แถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี โดยให้ รองนายกฯ 6 ฝ่าย นำทีมแถลงด้วยตัวเองวันละสองคนสองรอบ รอบเช้าและรอบบ่าย ยังไม่รู้จะมีการถ่ายทอดสดทุกช่องเหมือนรายการ คสช.หรือไม่ ชาวบ้านแฟนทีวีต่างพากันลุ้น
23 ธันวาคม รอบเช้า นายกรัฐมนตรี จะแถลงผลงานในภาพรวม แล้วให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม แถลงผลงานฝ่ายความมั่นคง รอบบ่าย ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
24 ธันวาคม วันคริสต์มาสอีฟ รอบเช้า พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกฯ แถลงผลงานกระทรวงด้านสังคม รอบบ่าย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ แถลงผลงานกระทรวงศึกษาฯ พลังงาน ไอซีที ที่แตกต่างกันคนละทิศละทาง คนแถลงไม่งง คนฟังก็งง
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส รอบเช้า ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แถลงผลงานเศรษฐกิจในกำกับ กระทรวงการคลัง ต่างประเทศ เกษตรฯ คมนาคม พาณิชย์ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ฯ บีโอไอ สภาพัฒน์ แค่หน่วยงานละ 10 นาที ก็ปาเข้าไปชั่วโมงครึ่งแล้ว รอบบ่าย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ แถลงด้านท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
ก็เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลแถลงผลงานให้ประชาชนทราบ โดยใช้เวลาสามวัน แถลงผลงานทุกกระทรวง พร้อมจัดแสดงนิทรรศการ จะได้ไม่ต้อง อ้างว่า รัฐบาลมีผลงานเยอะ แต่อ่อนประชาสัมพันธ์ ความจริงรัฐบาลก็ประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ทุกวันอยู่แล้ว ออกอากาศทุกช่องในช่วงเย็น จนแม่บ้านแฟนละครบ่นกันพึม
การจัดแถลงผลงานรัฐบาล 3 วัน ทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายครั้งนี้ น่าจะติดอันดับ กินเนสส์บุ๊ก เป็น รัฐบาลที่แถลงผลงานต่อเนื่องนานที่สุดในโลก เพราะยังไม่เคยได้ยินว่ามีรัฐบาลประเทศไหนจัดแถลงผลงานแบบนี้มาก่อนความจริง การวัดผลงานรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องยาก หน่วยงานรัฐ และ ภาคเอกชน ต่างก็ใช้เครื่องชี้วัดตัวเดียวกัน คือ KPI หรือ Key Performance Indicator ดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงาน แค่เอาเครื่องมือตัวนี้ไปวัดผลงานของแต่ละกรมแต่ละกระทรวง ก็จะรู้ว่าแต่ละกรมแต่ละกระทรวงมีผลงานหรือไม่
...
แต่ ตัวชี้วัดผลงานรัฐบาลได้ดีที่สุดอีกตัว ก็คือ “ความรู้สึกที่ดีของประชาชน” ที่มีต่อผลงานรัฐบาลในหนึ่งปีที่ผ่านมา เช่น ทำให้ประชาชนรู้สึกมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นไหม มีความสุขมากขึ้นไหม เป็นต้น เป็นผลงานที่สัมผัสได้ รู้สึกได้
การชี้วัดผลงานรัฐบาล โดยใช้ ความรู้สึกที่ดีของประชาชน เป็นตัวชี้วัดที่ผมเขียนถึงนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ สภาพัฒน์ หรือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำมาใช้เป็น ตัวชี้วัดการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ แผนพัฒนาฉบับที่ 8 ที่ 9 โดยใช้ความอยู่ดีมีสุข หรือ Well Being ของประชาชนมาเป็นเครื่องชี้วัด
ผลงานพัฒนาของรัฐบาล แทนการวัดด้วยตัวเลขการเติบโตของจีดีพี ซึ่งไม่สะท้อนความกินดีอยู่ดีของประชาชนทั่วไป
สภาพัฒน์ ได้ให้คำจำกัดความของ “ความอยู่ดีมีสุข” ว่า หมายถึง การมีสุขภาพอนามัยที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ มีงานทำที่ทั่วถึง มีรายได้พอเพียงต่อการดำรงชีพ มีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และ อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการ
ที่ดีของภาครัฐ ครอบคลุมองค์ประกอบ 7 ด้าน คือ สุขภาพอนามัยความรู้ ชีวิตการทำงาน รายได้และการกระจายรายได้ ชีวิตครอบครัว สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต และการบริหารจัดการที่ดีของรัฐเป็นการชี้วัดผลงานรัฐบาลโดยใช้ “คน” หรือ “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง
ผมก็เชื่อว่า ดัชนีชี้วัดผลงานรัฐบาลที่ดีที่สุด ก็คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน หาใช่ ตัวเลขจีดีพี หรือ เมกะโปรเจกต์ ที่เผยแพร่กันอยู่ทุกวันไม่.
“ลม เปลี่ยนทิศ”