“ผมไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดต่อหน้าสาธารณชนว่าเหตุใดไปขุดหาสมบัติที่เชื่อกันว่าซุกซ่อนในที่ต่างๆ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไม่หวั่นไหวแม้คนวิจารณ์ว่าผมเป็นคนบ้า และพากันเรียก “โกโบริน”...!
นี่คือส่วนหนึ่งในพ็อกเก็ตบุ๊กที่เขียนโดย ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ กับกรณี ขุดหาสมบัติที่ “ถ้ำลิเจีย” จ.กาญจนบุรี อ้างว่ามีทองคำนับพันตัน ธนบัตรจำนวนมหาศาล ถูกซุกซ่อนโดยทหารญี่ปุ่น
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ย้อนเหตุ ทวนความทรงจำ ถึงประวัติศาสตร์ข่าวดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และครั้งนี้คือเหตุ “ตื่นทอง” ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 ต่อเนื่องยาวไปถึงปี 2544
...
ขุมทรัพย์ญี่ปุ่น เจอแล้ว ทองคำมหาศาล!
นี่คือพาดหัวใหญ่ของ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2538 โดยมีเนื้อหาระบุว่า ได้เกิดข่าวลืออื้ออึง นักแสวงโชคทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นแห่กันเข้าป่าขุดสมบัติพระศุลีเมืองไทย เป็นทองคำแท่งและสมบัติมีค่าจำนวนมหาศาล ที่ทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซุกซ่อนฝังไว้ ตามเขาตามถ้ำ ถึงขนาดมีคนระดับนายพลสั่งปิดปากชาวบ้านไม่ให้พูด
เรื่องมีอยู่ว่า...ป่าทั้งป่าของเมืองกาญจนบุรี กลายเป็นป่า “ลายแทง” ซุกซ่อนสมบัติ นักแสวงโชคชาวไทยและต่างชาติพากันระดมขุดกันอย่างมโหฬารมานับสิบๆ ปี นับตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามฝ่ายพันธมิตรหมาดๆ ก็เริ่มมีการขุดหากันเรื่อยมา
ทั้งนี้ จากการที่กองทัพญี่ปุ่นภายใต้การนำของ พลตรีชิโมดา และ พลตรีกาชิ นำทหารและเชลยมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็จำเป็นต้องถอนกำลังกลับ ก็มีข่าวลือว่าญี่ปุ่นได้นำสมบัติที่ยึดมาได้ซุกซ่อนตามป่าเขาในพื้นที่ อ.ไทรโยค อ.ทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี โดยเฉพาะ “ทองคำแท่ง” ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นไม่นำกลับไปด้วย
นายนิทัศน์ จันทร์ศิริ อายุ 61 ปี นางบุญเยี่ยม จันทร์ศิริ อายุ 65 ปี สองสามีภรรยาเจ้าของ “หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามมหาเอเชียบูรพา” ที่เก็บสะสมอาวุธสงครามและสรรพสิ่งสมัยสงครามโลก กว่า 2 พันชิ้น เล่าให้ผู้สื่อข่าวตอนนั้น (ปี พ.ศ.2538) ฟังว่า สมัยยังหนุ่ม บางคนยังเด็ก ได้เห็นทหารญี่ปุ่นนำสมบัติและสิ่งของมาซุกซ่อนตามถ้ำ แนวรถไฟสายมรณะ โดยมีทหารญี่ปุ่นเฝ้าอย่างเนืองแน่น ซึ่งอ้างว่ากลัวถูกทำลายรางรถไฟ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ได้มีข้าราชการ “สีเขียว” ระดับนายพลเข้าร่วมมีบทบาทด้วย โดยเฉพาะสถานที่หนึ่ง ที่นายพลรายนี้ให้ความสนใจก็คือ “ถ้ำลิเจีย” ท้องที่หมู่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี ซึ่งวัดอดีตพระยันตระอมโร ไปบุกเบิกสร้างขึ้น ในเวลาต่อมาเขาผู้นี้ก็ปรากฏตัว ชายคนนี้คือ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ โดยให้สัมภาษณ์กับ นสพ.ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.38 ว่า
“ได้รับคำยืนยันที่น่าเชื่อถือว่าน่าจะเป็นความจริง ซึ่งหากเป็นไปตามคำบอกเล่า ประเทศไทยจะมีงบประมาณใช้ได้อีกประมาณ 20 ปี เพราะทราบว่ามีแก้วแหวนเงินทองมากเท่ารถไฟ 1 ตู้”
...
เปิดตำนาน ทำไมถึงเชื่อว่า มีขุมทรัพย์ ญี่ปุ่น
เรื่องนี้ ได้มีการเปิดเผยจากพ็อกเก็ตบุ๊ก "คนบ้าของแผ่นดิน" ของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ อ้างว่า ก่อนที่จะดำเนินการขุดค้นนั้น ได้มีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งได้เข้ายื่นถวายฎีกาเพื่อ "ขุดสมบัติ" ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี หลังจากนั้น ทางสำนักพระราชวัง ก็ได้มีหนังสือฉบับหนึ่งออกมา เพื่อให้มีการตรวจสอบ ว่าเหตุใดจึงมีกลุ่มคนอยากที่จะขุดค้นบริเวณนั้น และนี่คือ ที่มาของความมั่นใจของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์
มั่นใจ 10,000% เจอสมบัติยุ่นแน่ ตั้ง กก.ชุดใหญ่คุม
จากนั้น ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ ได้สั่งตั้งกรรมการชุดใหญ่มาดูเรื่องนี้ พร้อมกับให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเชื่อมั่นหมื่นเปอร์เซ็นต์ ต้องพบสมบัติเป็นทองคำแน่ๆ เพราะไม่มีใครบ้าขุดดินลึกถึง 6 เมตร แล้วเอาตู้รถไฟ 3 ตู้ใส่ก้อนหินลงไปฝังไว้ (มีรายงานว่าพบรางรถไฟถูกฝังดินลึก 6 เมตร ใกล้โรงเรียนทองผาภูมิ) ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านเก็บกำไลทองได้ 1 วง นำไปขายได้ 8 ล้านบาทมาแล้ว”...!?!
...
ส่วนสมบัติดังกล่าว มีความเชื่อว่า ญี่ปุ่นขนมาจากอินเดีย และพม่า ก่อนจะเตรียมนำขนใส่เรือกลับญี่ปุ่น
2 วันผ่าน ทีมสำรวจลงพื้นที่...ส่อกลายเป็นเรื่องโจ๊ก!
หลังจากแอ็กชั่นกันใหญ่โต วางแผนดิบดี ว่าจะนำทองที่ได้เก็บเข้าแผ่นดิน...? แต่จากการลงพื้นที่สำรวจ โดยมีทีมค้นหากว่า 100 คน โดยมี แม่ชีหน้าน ป้าอุด อายุ 83 ปี (ว่ากันว่าเป็นอังศุมาลิน...!?!) ที่เคยมีสามีเป็นทหารญี่ปุ่น พร้อมกับระบุว่าเคยเห็นตู้รถไฟ 3 ตู้ จอดอยู่มาชี้จุด แต่เมื่อค้นหากว่าครึ่งวัน กลับไม่พบอะไร มีเพียงที่ดินว่างเปล่า จนนักข่าวที่มาเฝ้ารอทำข่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องโจ๊ก ที่อับอายไปทั่วโลก เพราะขนาดนักข่าวญี่ปุ่นเองยังมารอทำข่าว!
และแม้จะเจอเสียงจากสื่อมวลชนกดดันอย่างหนัก แต่ “เชาวรินธร์” ก็ไม่ยอมแพ้ พร้อมกับประกาศลั่นว่าจะค้นหาจนกว่าจะพบ โดยมี “ลายแทง” ฉบับใหม่ ซึ่งนายละมัย คล้อยบ้านโคก อายุ 39 ปี ชาวบ้านลิเจีย บอกว่า เมื่อปี 2532 เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้พบที่ซ่อนสมบัติญี่ปุ่น ประกอบด้วยเพื่อนตนคนหนึ่ง จ.ส.อ.พิษณุ จำนามสกุลไม่ได้ ไปได้ลายแทงสมบัติ ซึ่งอยู่ในกระบอกอะลูมิเนียมในซอกเขาลิเจียแห่งนี้ เป็นลายแทงอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีม่วง ระบุเส้นทางเข้าซ่อนอยู่ โดยจะต้องลงจากหน้าผาเขาลิเจียในปล่องยอดบนเขา
...
“จึงได้เอาเชือกยาว 80 วา ไต่ลงไป จนถึงด้านล่าง ข้างในเป็นลักษณะห้องโถ่งมีตู้รถไฟ 1 ตู้ พร้อมรถจี๊ปยี่ห้อแมคอาเธอร์ 3 คัน นอกจากนี้ ยังพบลังโลหะ ลังไม้ ซึ่งคาดว่าเก็บของมีค่า แต่ก็ไม่สามารถเอาอะไรออกมาได้ เพราะเข้าไป 6 โมงเย็น กว่าจะหาทางออกมาได้ก็ 6 โมงเช้าของอีกวัน โดยได้เดินทะลุออกมาอีกฝั่ง” ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวอ้าง
ในเวลาต่อมา นายเฮนวิช วิศวกรชาวเยอรมัน พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างเขื่อน 10 คน ซึ่งได้เคยสร้างหลุมหลบภัยให้กับประธานาธิบดี ซัดดัม ของอิรัก ได้บินตรงมาตรวจสอบ โดย เฮนวิช บอกว่า จากการตรวจสอบจุดที่ขุดขุมทรัพย์ 2 จุด คือ ที่วัดจวบจันทร์ฯ เห็นว่า ถ้ำดังกล่าว “อาจเป็นสถานีรถไฟ หรือหลุมหลบภัยทางอากาศของทหารญี่ปุ่นเท่านั้น”
สิบกว่าวันผ่าน แพร่ข่าวอ้างเจอสมบัติ ชาวบ้านเฮโลลงพื้นที่
หลังจากเดินหน้าขุด ที่บริเวณถ้ำ “ลิเจีย” กว่า 10 จุด และจุดอื่นๆ อีกกว่า 50 จุด ก็มีกระแสข่าวว่าทีมขุดได้พบสมบัติแล้ว อ้างเป็นเพชรเม็ดเป้ง ทองคำมูลค่ามหาศาล โดย “ทม มีศิริ” เจ้าของบริษัทเอกชนที่ได้เข้าไปขุด ได้นัดแนะสื่อว่าจะเปิดถ้ำพิสูจน์ ในวันที่ 9 ม.ค.2539
ข่าวดังกล่าวทำให้ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปหลายคน แต่ก่อนจะถึงวันเปิดถ้ำ นายโอโตบิ โอตานิ อายุ 70 ปี อดีตหมอทหารของญี่ปุ่น ที่ประจำการที่ประเทศพม่า ที่ได้แต่งงานสร้างครอบครัวในเมืองไทย ได้กล่าวกับ นสพ.ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2539 ว่า “ขณะที่เป็นพลรถไฟ ได้ถูกส่งไปประจำการที่ประเทศพม่าใกล้ชายแดนไทย และรางรถไฟที่ต่อเข้าประเทศพม่านั้นถูกไฟไหม้เสียหาย จึงไม่มีทหารญี่ปุ่นขนทองมาจากพม่า ถ้าจะขนทองมาจากสิงคโปร์หรือมาเลเซีย ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะขณะนั้นมีสภาพแย่มาก เรื่องนี้มีคนมาพูดกับผมว่าอาจจะมีทอง แต่ผมเชื่อว่าไม่มี!!”
“เรื่องโบกี้ตู้รถไฟจะซุกทองคำนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะรถไฟถูกบอมบ์จนเสียหายหมด อาจมีซุกซ่อนหัวรถจักรไว้บ้างตอนกลางวัน เพื่อนำมาวิ่งตอนกลางคืน อาจจะมีหัวรถจักรซุกซ่อนบ้าง แต่เชื่อว่าไม่มีสมบัติ” นายทหารญี่ปุ่นที่เคยผ่านสงครามมหาเอเชียบูรพา กล่าว
แห้วสนิทแล้ว สมบัติ “บูชิโด” เปิดกรุไม่ได้ พาไปดูถ้ำ กับ ธารน้ำ
เมื่อถึงวันที่สัญญาว่าจะเปิดกรุ ผลปรากฏว่า บริษัทเอกชนที่เข้าไปขุดไม่สามารถเปิดกรุสมบัติตามที่คุยได้ โดยอ้างขึ้นมาว่า “เขาลิเจีย” อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ต้องทำเรื่องขออนุญาต ก.เกษตรฯ ต้องทำหนังสือขอ
ขณะที่ นายทม หัวหน้านักล่าสมบัติ ได้พาสื่อมวลชนไปดู 2 จุด จุดแรกเป็นถ้ำ อ้างว่าเป็นสถานที่หลอมทอง แต่ที่พบเพียง จาน ชาม ไม่มีแม้แต่เศษทอง อีกแห่งเป็นธารน้ำ บอกว่าเจอของเก่าหลายชิ้น จนสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตว่า “ปั้นน้ำเป็นตัว”
“ผมรู้สึกมึนงงกับพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ เคยประกาศว่าจะเปิดขุมทรัพย์หลายครั้ง แต่ก็ไม่ทำเสียที ต่อไปจะไม่ยุ่งกับคนกลุ่มนี้อีกแล้ว” โกโบริน กล่าว ในวันที่ล้มเหลว
ในเดือนกุมภาพันธ์ นายทม ก็ถูกตำรวจจับ ในคดีเช็ค โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 8 เดือน หลังจากจ่ายเช็คเด้ง จำนวนเงิน 2 ล้าน จากนั้นได้หลบหนีความผิด
เรื่องเล่าชาวบ้าน ญี่ปุ่น แอบขนกลับ เปิดธุรกิจหน่อไม้ปี๊บ บังหน้า
มีอีกหนึ่งเรื่องเล่าจากชาวบ้านว่าเหตุใด "ถ้ำลิเจีย" ถึงไร้ขุมทรัพย์ มีชาวบ้านได้เล่าว่า ก่อนหน้านั้น จู่ๆ ได้มีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น มาเปิดธุรกิจหน่อไม้ปี๊บ แต่ชาวบ้านแถวนั้นกลับไม่เคยเห็นว่าในปี๊บดังกล่าวได้บรรจุสิ่งใดในการส่งออก จึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานกันว่า สาเหตุที่ค้นไม่พบ เพราะถูกขนใส่ปี๊บกลับไปแล้ว...!?
ล่าสมบัติภาค 2 “สากกะเบือ” ยอมรับหากขุดเจอ ได้ 33.3% อ้างลงทุนไปมาก
หลังจากนั้น อดีต ส.ส.เจ้าของฉายา “สากกะเบือ” ก็หายหน้าหายตาไปสักพัก แต่แล้วในปี พ.ศ.2541 เขาก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ประกาศต่อว่าจะกลับมา "ล่าสมบัติ" ต่อ ช่วงนั้น นายปองพล อดิเรกสาร รมว.เกษตรฯ ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ให้ นายเชาวรินธร์ เป็นที่ปรึกษา เนื่องจากมีรายงานว่ามีกลุ่มบุคคลจะเข้าไปขุดค้นหาสมบัติ จึงต้องมีการตรวจสอบ โดยให้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เป็นประธานในการตรวจสอบ ขณะที่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ได้ไปตั้งแคมป์ที่หลังวัดลิเจีย ทันที...
ต่อมาผู้สื่อข่าวถามว่า การขุดสมบัตินั้น หากพบผู้ขุดจะได้รับ 20 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ นายเชาวรินธร์ เจ้าของฉายา “สากกะเบือ” และ “โกโบริน” กล่าวว่า “ได้รับ 1 ใน 3 หรือ 33.3 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎหมายของกรมศิลปากรเกี่ยวกับการขุดสมบัติทั้งหมด หากพบตนจะหักออก 33.3 เปอร์เซ็นต์ เป็นของตน เนื่องจากตนลงทุนกับเรื่องนี้ไปมาก...!?
ต่อมา ทีมขุดค้นก็เจอปัญหา เมื่อเจอกระแสต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะที่ผ่านมา ได้มีการขุดเจาะหลายพื้นที่ บางที่ก็ถึงกับระเบิดปากถ้ำ นอกจากนี้ ยังมีการโต้คารมกับคนในรัฐบาลด้วย
24 พ.ย.2541 เจ้าหน้าที่เลขานุการประจำเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เรื่องทองคำมหาศาลเชื่อว่าไม่มีจริง เพราะถ้าญี่ปุ่นมีทองคำมากมายขนาดนั้น เราคงไม่แพ้สงคราม เรื่องนี้เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่เล่าๆ ต่อกันมา”
ส.ส.สากกะเบือ พยายามจะเปิดปากถ้ำลิเจียอีกครั้ง แต่สุดท้าย คนที่เปิดกลับเป็น นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อเปิดออกมาและเข้าไปสำรวจ ก็ยังไม่พบอะไรในถ้ำอีกตามเคย
มาระลอกที่ 3 “สากกะเบือ” เจ้าเดิม ขอเดินหน้าต่อ
หลังจากได้ตำแหน่ง ส.ว.ราชบุรี มาหมาดๆ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะเดินหน้าขุดทองต่อไป และเรื่องก็มาถึงจุดพีค เมื่อช่วงเมษายน ปี 2544 ในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ตอนนั้นมีการขุดถ้ำลิเจียลงไป 3 ชั้น และมีการกล่าวอ้างว่าเห็น “หีบสมบัติ” ต่อมา ทีมขุดก็อ้างว่าเจอ “พันธบัตร” สหรัฐฯ ฉบับละ 100 ล้านดอลลาร์ รวม 250 ฉบับ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นายกฯ ทักษิณ ก็แบ่งรับแบ่งสู้ บอกอย่าเพิ่งแน่ใจอะไร ที่เห็นเป็นเพียงภาพถ่ายเท่านั้น
ประจวบเหมาะว่า ช่วงนั้น ทางการสหรัฐฯ ได้มีการแจ้งเตือน เรื่องพันธบัตรปลอม
2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...หายวับไปกับตา สิ่งที่เคยฟุ้งว่าจะช่วยปลดหนี้ IMF ก็กลายเป็นเรื่องราวให้คนทั่วไปขบขัน
“ในโลกนี้มีของปลอม ไม่ใช่ว่าไม่มี นี่คือตัวอย่างพันธบัตรปลอม ออกโดยใครก็ไม่รู้ และนี่ก็เป็นตัวอย่างของปลอม ปลอมแม้กระทั่งหนังสือจากอินโดนีเซีย บอกว่าได้นำทองคำมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปฝากไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นในโลกใบนี้” โกโบริน กล่าว ในวันที่มีการพิสูจน์แล้วว่าพันธบัตรดังกล่าวเป็นของปลอม
กระทั่งตำรวจกองปราบ ได้จับกุม 5 ผู้ต้องหาในแก๊งพันธบัตรปลอม และจากการสอบสวนพบว่า ได้พยายามหลอกขายคนในวงการไฮโซ ซึ่ง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่าได้ติดต่อซื้อพันธบัตรดังกล่าว แต่ไม่ได้เห็นของจริง และในเวลาต่อมาก็ได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และยืนยันว่า “ถูกหลอก”
ขณะที่ นายกฯ ทักษิณ ก็ให้สัมภาษณ์แบบฟันธงว่า “จากการใช้ดาวเทียมตรวจสอบ “ถ้ำลิเจีย” พบว่าไม่มีอะไร...?
เมื่อเรื่องราวมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างจึงค่อยๆ จบลง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ มีฉายาติดตัวไปจนวันตายว่า “โกโบริน”
ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น...เปิดเรื่องเล่า ขุมสมบัติ