กลายเป็นข่าวใหญ่ กับกรณี แม่ผัวจ้างวานฆ่าลูกสะใภ้แล้วหนีไปกบดานโดยทำทีว่า "เสียชีวิต" แต่จนแล้วจนรอดก็หนีความผิดไม่พ้น...!?! เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคดีลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงได้ย้อนรอยคดีจ้างวานฆ่า ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมไทย ซึ่งก็คือคดี จ้างวานฆ่า “ศยามล”...
จากน้ำผึ้งหวานกลายเป็นยาขม 'ศยามล' เหยื่ออำมหิต! ฆ่าแม่ตายในอ้อมกอดลูก
“แง…แง…!” เสียงเด็กหญิงวัย 2 ขวบร้องไห้ดังลอดออกมาจากรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีขาว ทะเบียน ก 2344 ประจวบคีรีขันธ์ ที่ถูกจอดทิ้งริมถนนทางเข้าบ้านหนองปลาไหล ท้องที่หมู่ 2 ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด เมื่อตอนช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ย.2536
เมื่อตำรวจและประชาชนไปถึง ทุกคนต่างตกตะลึง!กับภาพตรงหน้า คือ ศพของหญิงสาว ทราบชื่อต่อมา คือ "ศยามล ลาภก่อเกียรติ" อายุ 30 ปี นอนตายอยู่บนเบาะติดกับที่นั่งคนขับ สภาพศพมีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมเข้าที่ลิ้นปี่ รวม 3 แผล เลือดไหลเกรอะกรัง โดยมีเด็กหญิงวัย 2 ขวบ กอดศพร่ำไห้อย่างน่าเวทนาและสะเทือนใจ จากการชันสูตรเบื้องต้น พบว่า นอกจากแผลถูกแทง 3 แผลแล้ว ศยามล ยังถูกรัดคอด้วย
...
เปิดประวัติสาวเคราะห์ร้าย ที่แท้เป็นอดีตเมียนายแพทย์คนดัง
จากการสอบสวนทราบว่า "ศยามล" คือ อดีตภรรยาของ นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ แพทย์โรงพยาบาลหัวหิน ก่อนพบจุดจบ นางศยามลได้ขับรถเก๋งคันดังกล่าวออกจากบ้านมาพร้อมกับลูกสาว ตั้งแต่คืนวันที่ 28 ก.ย. คืนนั้นมีผู้พบเห็นชาย 3 คน อยู่ในรถผู้ตายโดยไม่เห็นตัวศยามลจึงคาดว่าจะเกิดเหตุร้าย...
หลังแม่ผู้ตายทราบข่าวก็ได้ติดต่อขอรับศพ พร้อมกับเผยถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอดีตสามีว่าได้เลิกรากันมา 2 ปีแล้ว ซึ่งอดีตสามีได้จ่ายค่าเลี้ยงดู จำนวน 2 ล้านบาท และเมื่อต้นปี 2536 นางศยามลได้ไปเซ้งร้านขายเสื้อบูติก ซึ่งอยู่ใกล้ร้าน "จี่ อัน ตึ๊ง" ซึ่งเป็นร้านขายยาของ นพ.บัณฑิต ทั้งคู่จึงนัดเจอกัน และเป็นฝ่ายชายที่พูดจาข่มขู่ให้เธอย้ายออกจากหัวหิน เนื่องจากกำลังจะแต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่ทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกัน
เบาะแสจากปากหนูน้อย และปมสังหาร
คดีนี้เป็นที่จับตาของคนในสังคม ขณะที่ตำรวจก็เริ่มได้เค้าของฆาตกรรมโหดเหี้ยมแล้ว นอกจากนี้ ยังได้สอบปากคำแม่ของผู้ตายก็ให้การว่า จากการพูดคุยกับหลาน ถามว่า "วันนั้น ศยามล ขึ้นรถไปกับใคร...เด็กหญิง 2 ขวบ บอกอย่างไม่ชัดเจนนักว่า..."ต๋า" ซึ่งอาจตีความได้คือคำว่า "ป๋า" ปกติแล้ว ด.ญ.อิงอิง จะเรียก นพ.บัณฑิต ว่า "ป๋า"
แต่แล้ว...ตำรวจก็พบหลักฐานเบาะแสสำคัญ 1 ชิ้น "บันทึกของศยามล"....ศยามลสาธยายถึงความร้าวรันทดของชีวิตที่เกิดขึ้น จากความผิดหวังในตัวสามีพร้อมกับส่งเรื่องไปตีแผ่ยังนิตยสารรายปักษ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง เมื่อเดือนกันยายน 2534 โดยใช้นามปากกาว่า "สาวนิรนาม"
เปิดบันทึกรัก ศยามล ความเจ็บของคนเป็นแม่
ในบันทึกของเธอ ได้บรรยายถึงตัวเอง และ เผยว่าได้รู้จักกับนายแพทย์ผู้หนึ่งในโรงพยาบาลเดียวกัน นายแพทย์ผู้นี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อยัดเยียดบทบาทความเป็นเจ้าของในตัวเธอ ทั้งที่นายแพทย์ผู้นี้ก็มีหญิงที่หมายปอง คือ นักศึกษาแพทย์รายหนึ่ง ศยามลรู้อยู่เต็มอก และพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะเห็นใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน แต่นายแพทย์ผู้นี้ก็ได้พยายามทุกวิถีทางกระทั่งเข้าทางครอบครัวของเธอ
นายแพทย์ผู้นี้ถึงกับยอมลงทุนให้ศยามลพาไปจุดธูปเทียนสบถสาบานว่า รักศยามลและจะขอแต่งงานด้วย ต่อหน้าหลุมฝังศพของพ่อเธอ ที่สุดศยามลที่จิตใจเอนเอียงอยู่แล้วก็ตอบรับรัก แต่ได้ขอหลักประกันด้วยการจดทะเบียนสมรส
...
นอกจากนี้ ในบันทึกยังระบุอีกว่า หลังจากนั้นเธอได้เบนเข็มทิศชีวิตหันไปเรียนตัดเย็บผ้า ใน กทม. เนื่องจากสามีได้อ้อนวอนให้ทำ เมื่ออยู่ห่างกันสัญญาณร้าวฉานก็มาถึง เมื่อศยามลตั้งท้องแต่สามีกลับไม่ดีใจและยังแนะนำในทางที่ผิด ศยามลบรรยายความรู้สึกที่ปวดร้าวว่า “เขาลืมคำพูดของเขาทุกคำแม้แต่คำว่าเขารักฉัน เพราะเขาไม่ต้องการเกียรติยศและศักดิ์ศรี จากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหมือนกับเมื่อที่ฉันยังไม่ได้เป็นของเขา”
ในบันทึกของศยามลหลังจากนี้ ก็มีแต่เรื่องราวแห่งความเศร้าโศก โดยเล่าถึงสามีที่ไม่เคยดูแลแม้ในยามใกล้คลอด จะขอบัตรประชาชนเพื่อจะแจ้งว่าเป็น “พ่อของลูก” ก็ยังไม่ยอมให้ จึงต้องใช้ทะเบียนสมรสแทน จากนั้นก็ส่งคนมาเจรจาเพื่อขอแยกทาง สุดท้ายเธอจึงยอมเพราะความเบื่อหน่ายโดยได้เงินมาก้อนหนึ่ง ส่วนบันทึกที่เธอเขียนไว้ก็เพื่อให้ลูกได้รู้ว่าแม่ได้ต่อสู้อย่างไรบ้าง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังเจอหลักฐานอื่นๆ จากการตรวจสอบที่บ้านพัก อ.กุยบุรี โดยมีการเขียนระบุถึงผู้จ้างวาน และเผยความในใจว่ายังรักถึงขนาดว่า “หากผู้ใกล้ชิดคนนี้ไปแต่งงานก็จะแต่งชุดดำไปฉีกหน้าในงาน”
...
ผลชันสูตรพบน้ำอสุจิ...!?! แต่หวังตบตา
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนอย่างเข้มข้น กระทั่งเจอหลักฐานใหม่ คือ น้ำอสุจิ ซึ่งต่อมาได้มีการพิสูจน์ว่าได้มีคนนำมาฉีดใส่เพื่อที่จะเบี่ยงเบนประเด็น กระทั่งวันที่ 15 ต.ค.2536 พ.ต.ท.ชัยชาญ เงินมูล รอง ผกก.ภ.จ.เพชรบุรี (ขณะนั้น) พร้อมด้วยทีมสืบสวน ได้บุกจับกุม ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง ขณะกำลังมาขึ้นศาลในคดีพกอาวุธ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ส.ต.อ.แผ่ว อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่ นพ.บัณฑิต สามีของศยามล ก็เก็บตัวเงียบ
บุกจับ “หมอบัณฑิต” คาโรงพยาบาล เจ้าตัวลั่น “ไม่ได้รับความเป็นธรรม!?”
คดีนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับคนมีชื่อเสียงของจังหวัด ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยไม่บุ่มบ่ามจับกุม แต่ที่สุดแล้ว วันที่ 20 ต.ค.36 เจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการบุกจับกุม นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ สามีของ นางศยามล ถึงห้องพักแพทย์โรงพยาบาลหัวหิน โดยตั้งข้อหาจ้างวานฆ่า ปรากฏว่าหลังจากชาวบ้านทราบข่าวได้แห่ไปดูที่หน้าโรงพัก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ทำการแถลงข่าวในเวลาต่อมา พร้อมกับเผยว่าจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ 4 จาก 5 คนแล้ว โดยทีมสังหาร 2 คนคือ ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง และ นายบรรจบ หรือ จุก นิลห้อย ซึ่งให้การซัดทอด นพ.บัณฑิต
“การตายของนางศยามล คล้ายกับคดี “นวลฉวี” ซึ่งเกิดเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงเอาเรื่องมากล่าวหาว่าผม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ทำไมญาติอดีตภรรยาใส่ร้ายผม กล่าวหาจนถูกจับ ทั้งที่การตายของอดีตภรรยาไม่รู้ใครทำ ทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้” นพ.บัณฑิต กล่าวต่อหน้าผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 21 ต.ค.36
...
เป็นหมอไม่กลัวผี เฝ้ารอแฟนใหม่มาเยี่ยม สุดท้ายไม่เห็นเงา ...
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการจองจำ นพ.บัณฑิต ชั่วคราวที่ห้องขัง สภ.อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ทั้งนี้ ห้องขังดังกล่าวขึ้นชื่อเรื่อง “ห้องขังผีสิง” เพราะก่อนหน้ามีคนผูกคอตายไปแล้ว 3 ศพ แม้ตำรวจบ้านลาดเองยังออกอาการ “ขยาด” ทำเอาญาติของ นพ.บัณฑิต ต้องนำเครื่องรางมาให้เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ...แต่ นพ.บัณฑิต กลับไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ผมไม่กลัวผี หากกลัวคงไม่เรียนแพทย์ และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าตัวตายเหมือนกับทั้ง 3 คนก่อนหน้า”
ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้เกาะติดบรรยากาศที่ สภ.อ.บ้านลาด อย่างใกล้ชิด และพบว่า “หมอบัณฑิต” ได้พยายามถามหา “หญิงสาว” รายหนึ่งกับผู้คุม โดยขอให้อำนวยความสะดวก หากเธอคนนั้นมาเยี่ยม แต่ตลอดทั้งวัน ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า “หญิงสาว” คนดังกล่าวอาจจะเป็นคนรักใหม่ของหมอบัณฑิต ซึ่งต่อมามีรายงานว่าได้เดินทางไปต่างประเทศ
3 ศาลยืน “ประหาร” หมอฆ่าอดีตเมีย
กระบวนการสอบสวนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายคนสุดท้ายได้ และครบ 5 คน ประกอบด้วย นายสมหมาย สังข์เคลือบ, นายสมหมาย เนียมศรี, นายสาธิต มีเย็น, นายบรรจบ นิลห้อย และ ส.ต.ต.แผ่ว ภูเต็ง สังกัด กก.ตชด.ที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า
การสอบสวน นายสมหมาย สังข์เคลือบ ยอมรับว่าได้ร่วมกับพวก คือ นายสมหมาย เนียมศรี และ นายสาธิต มีเย็น สังหารผู้ตาย โดยมี นายบรรจบ เป็นผู้รับงาน ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก นพ.บัณฑิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กันตัว นายบรรจบ และ ส.ต.ต.แผ่ว ไว้เป็นพยาน กระทั่งต่อมาได้มีการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งต่อให้อัยการและยื่นฟ้องศาล
22 ธ.ค.2537 ศาลชั้นต้นสั่งประหาร นพ.บัณฑิต ข้อหาจ้างวานฆ่า นายสมหมาย สังข์เคลือบ นายสมหมาย เนียมศรี และ นายสาธิต มีเย็น สั่งจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ต่อมา นายสาธิต ได้เสียชีวิตระหว่างรอยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
23 ก.ย.2539 ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษายืนตามทั้ง 2 ศาล คือ ประหารชีวิต นพ.บัณฑิต ซึ่งยังปฏิเสธมาโดยตลอด เป็นอันสิ้นสุดคดีประวัติศาสตร์
“อิงอิงไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะคนทำดีได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว เปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงสอนไว้อย่างนี้ อิงอิงชอบเป้าบุ้นจิ้นเพราะสอนให้คนทำดี และต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยมาม้า (ศยามล) ของอิงอิงด้วย” เด็กหญิงวัย 5 ขวบ กล่าว ขณะเดินทางมาฟังคำพิพากษากับพี่สาวของศยามล...
สำหรับในวันพรุ่งนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะรวบรวมคดีดังเกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดที่ใช้วิธี “จ้างวานฆ่า” ก่อเหตุ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น โปรดติดตาม...