"นายกฯ" หารือทวิภาคีร่วม "บัน คี มูน" ประกาศหนุนวาระ 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยันไทยเดินหน้าตามโรดแม็ปที่วางไว้ คาดสามารถ ลต.ได้ในปี 2560
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27 กันยายน เวลา 18.20 น. เวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา ณ ชั้น 27 อาคาร Secretariat สำนักงานใหญ่ สหประชาชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบหารือกันอีกครั้งหลังจากได้พบกันที่เมืองเซนได ญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่เชิญให้มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และรู้สึกยินดีกับการครบรอบการก่อตั้งสหประชาชาติเป็นปีที่ 70 ในปีนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันถึงพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ พร้อมสนับสนุนการทำงานของเลขาธิการฯ และแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์อย่างแข็งขันต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเห็นพ้องในคำแถลงในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 70 เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 58 ของเลขาธิการสหประชาชาติว่า แม้สหประชาชาติจะประสบความสำเร็จในหลายด้าน แต่ยังคงมีความท้าทายใหม่ๆ ที่ต้องการความร่วมมือจากประเทศสมาชิกในการแก้ไขปัญหา วาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีการรับรองวาระ 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งไทยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาที่มีคนเป็นศูนย์กลางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สะท้อนอยู่ในวาระดังกล่าวซึ่งการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาสู่การปฏิบัติในอีก 15 ปีข้างหน้าเป็นเรื่องที่ท้าทาย
...
โดยสหประชาชาติสามารถช่วยเหลือประเทศสมาชิกให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ภายใต้บริบทของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะการระดมทุนอย่างสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนา การเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการจัดเก็บสถิติ และการเชิญชวนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในงานพัฒนา ไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และแนวปฏิบัติที่ดีในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ เช่น การส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของประชาคมโลกร่วมกัน
ขณะนี้ไทยกำลังจัดทำ INDCs (Intended Nationally Determined Contributions) ในเรื่องของการกำหนดอัตราการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ จากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะสามารถเสนอร่างให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณาได้ในไม่ช้านี้ ทันการนำเสนอ UNFCCC ภายในเดือนตุลาคมนี้ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ หลังจากที่มีการรับรองกรอบการดำเนินงานเซนได ไทยได้จัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้ขับเคลื่อนกรอบการดำเนินงานฯ สู่แผนปฏิบัติการในระดับประเทศ การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2558 ไทยจัดการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก 20 ประเทศ รวมถึงผู้แทนจาก IOM UNHCR และ UNODC เอกอัครราชทูตและอุปทูตที่ประจำการในไทยประมาณ 40 ประเทศเข้าร่วม โดยที่ประชุมเห็นพ้องถึงความจำเป็นเร่งด่วนของสถานการณ์ในปัจจุบันที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนบนพื้นฐานของการแบ่งเบาภาระและความรับผิดชอบร่วมกัน เนื่องจากเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน หลายมิติ โดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอต่างๆ อาทิ มาตรการเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ตกค้างอยู่กลางทะเล การป้องกันการโยกย้ายถิ่นฐาน แบบไม่ปกติ การลักลอบขนคน และการค้ามนุษย์ และการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่ประเทศต้นทาง
สำหรับสถานการณ์การเมืองไทย นายกรัฐมนตรียืนยันว่า การดำเนินการต่างๆ ตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) นั้นเป็นกระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย และเพื่อให้ไทยได้ทำหน้าที่สมาชิกสหประชาชาติได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น และจากการที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ คสช.จะตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่ง ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ สปช. ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 180 วัน และจัดให้มีการลงประชามติ ซึ่งหากประชาชนเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดังกล่าว ก็จะดำเนินการยกร่างกฎหมายลูกประกอบการเลือกตั้ง คาดว่าจะสามารถประกาศการเลือกตั้งทั่วไปได้ภายในกลางปี 2560
ด้านการสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกไม่ถาวร UNSC วาระปี ค.ศ. 2017-2018 ของไทย โดยไทยเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC มาแล้วสมัยหนึ่ง เมื่อปี ค.ศ. 1985-1986 ในการสมัครครั้งนี้ ไทยได้รับการรับรองและสนับสนุนจากทุกประเทศสมาชิกอาเซียน โดยการรณรงค์ของไทยมีพื้นฐานจากการทำงานที่ดีในงานทั้ง 3 ด้านของสหประชาชาติ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในประเด็นสันติภาพและความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ไทยสามารถทำหน้าที่เสมือนเป็นสะพานเชื่อม และสนับสนุนการทำงานร่วมกันมากขึ้นระหว่างประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ และประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก