ผจญภัยกับการล่องแก่ง.
มีโอกาสล่องใต้ไปกับ คณะกรรมการในโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปยังรอยต่อของเมืองนครศรีธรรมราชและพัทลุง ทำให้ได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์อีกแห่ง นั่นก็คือ “หนานมดแดง” ซึ่งมีกิจกรรมล่องแก่งเป็นไฮไลต์สำคัญที่ไม่ควรพลาด
รอฮาน่า แขกพงศ์ พนักงาน “ล่องแก่งหนานมดแดง” รีสอร์ตท่ามกลางธรรมชาติที่ ลุงโยธิน เขาไข่แก้ว อดีตเกษตรอำเภอเหนือคลอง จ.กระบี่ ผันตัวเองมาทำธุรกิจท่องเที่ยวในชุมชนอย่างเต็มตัว บอกว่า ไม่เคยคิดว่าบ้านตัวเองจะมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามแบบนี้อยู่
รอฮาน่า บอกว่า คำว่า “หนาน” ในภาษาใต้แปลว่าน้ำที่ต่างระดับ ภาษากลางก็คือแก่งนั่นเอง ซึ่งที่นี่มีหนานถึง 40 กว่าหนาน แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวคือจุดบริเวณที่รีสอร์ตซึ่งเธอทำงานอยู่ตั้งอยู่นั่นเอง ที่เรียกว่า หนานมดแดง ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกแก่งบริเวณนี้ เนื่อง จากมีปลามาตายและมดจำนวนมากมากินปลา เลยเรียกชื่อว่า “หนาน มดแดง” แต่ระหว่างเส้นทางล่องแก่งที่ยาวกว่า 6 กิโลเมตรนั้น ยังมีหนานที่มันส์ๆอีกหลายหนาน เช่น หนานตาเส้า หนานพี่ หนานน้อง หนานลุงจวน ฯลฯ
...
คณะของเราไปถึงที่หนานมดแดงราวเที่ยงกว่า คุณลุงโยธินเจ้าของรีสอร์ตจัดเตรียมอาหารกลางวัน เมนูพื้นบ้านไว้ต้อนรับ มีทั้ง แกงไก่บ้านคั่วหยวกกล้วยป่า ผักกูดลวกกะทิ น้ำพริกผักสด แกงส้มปลานิลสับปะรดยอดมะขาม ปลาแดดเดียวทอด บอกได้คำเดียวว่า อร่อยมากๆ ชนิดที่ต้องขอ ข้าวสวยร้อนๆเพิ่มกันอีกจานสองจานทีเดียว
หลังอิ่มอร่อยกับมื้อกลางวันแบบบ้านๆแล้ว ก็ได้เวลาเข้าสู่โปรแกรมท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งการล่องแก่งและเที่ยวถ้ำให้เลือกตามอัธยาศัยสำหรับโปรแกรมล่องแก่งนั้น เป็นไฮไลต์ของที่นี่ ระยะเวลาในการล่องประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร ระหว่างการล่องแก่ง จะมีสตาฟฟ์ของรีสอร์ตคอยประกบ ดูแลช่วยเหลือตลอดเส้นทาง
พวกเราขึ้นรถกระบะไปยังจุดปล่อยเรือ อุแม่เจ้า!ไม่น่าเชื่อ เรือคยัคเป็นร้อยๆลำ ซึ่งลุงโยธิน บอกว่า สำหรับล่องแก่งหนานมดแดง มีความพร้อมมากในกิจกรรมนี้ มีเรือถึง 300 ลำ รองรับนักท่องเที่ยวต่อครั้งได้ถึง 600 คน ไม่ต้องกังวลว่าถ้ามาหลายคนแล้วจะไม่ได้สนุกสนานกับการล่องแก่ง
ค่าบริการล่องแก่งก็ถูกเหลือเชื่อ แค่ 200 บาทเท่านั้น.........
ลุงโยธิน บอกว่า นอกจากความสนุกสนาน ตื่นเต้น ท้าทายจากการล่องแก่งแล้ว ระหว่างทางของการล่องแก่ง ยังสามารถสัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งดอกไม้นานาพันธุ์ นกประจำถิ่นหลายชนิด สร้างความเพลิดเพลินระหว่างการล่องแก่งได้อย่างมาก
...
สำหรับคนที่ใจไม่ถึงแต่อยากท่องเที่ยวชมความสมบูรณ์ของธรรมชาติ บริเวณรอบๆหนานมดแดง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมหัศจรรย์อย่างมาก นั่นก็คือ “ถ้ำวังนายพุด” ซึ่งเป็นถ้ำเก่าแก่ ตามประวัติบอกว่า เป็นถ้ำที่ค้นพบตั้งแต่ช่วงสงครามเก้าทัพ โดยคนที่พบเป็นแม่ทัพ 3 คน คือ นายพุด นายหมี และนายหนอน ที่หลังจากเสร็จจากการรบแล้ว ได้มาปักหลักที่นี่ และเห็นว่าถ้ำแห่งนี้น่าอยู่ ชื่อถ้ำก็ตั้งชื่อตามชื่อคนค้นพบ คือ นายพุด ทางเดินขึ้นถ้ำต้องผ่านเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์หลายต้น ตลอดเส้นทาง ตรงกับตำนานบางตำนานที่เขียนไว้ว่า ป่าแห่งนี้เป็นป่ามหาอุดมีภูเขาล้อมรอบ มีทางเข้าออกทางเดียว จึงไม่มีใครสามารถตัดไม้และนำออกไปได้
...
ต้นไม้ที่เป็นไฮไลต์ของถ้ำนายพุด คือ ต้นสมพงษ์ยักษ์ ที่มีคนเคยพิสูจน์ความใหญ่ยักษ์ของต้นไม้นี้ว่า ต้องใช้คนถึง 13 คนโอบ เลยทีเดียว
บริเวณหน้าถ้ำโอ่โถงใหญ่โต จึงเรียกว่า “ถ้ำวังนายพุด” เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำ จะเห็นหินก้อนใหญ่ สีเขียวเหมือนหยก รูปร่างคล้ายเต่า ชาวบ้านเรียกหินก้อนนี้ว่า “เต่ามรกต” มีคนแนะนำว่าให้ใช้มือลูบหลังเต่าแล้วอธิษฐานขอพรให้อายุยืน ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ซึ่งก็มีหลายคนทำตามอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้ไปติดตามผลว่า กลังจากกลับมาแล้ว คำอธิษฐานเป็นจริงกันมากน้อยแค่ไหน
...
นอกจากนี้ ภายในถ้ำยังมี หินรูปสิงโตจีน และ หินรูปฤาษีตาไฟ ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่ก้อนหินธรรมดาๆจะกัดกร่อนจนเป็นรูปร่างแบบที่มนุษย์สามารถจินตนาการได้ต่างๆนานา
อีกด้านหนึ่งของถ้ำเป็นป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ตอนที่จะออกไปยังผืนป่าอีกด้านนั้น ก็มีเรื่องให้ต้องลุ้นกันอีก โดยเฉพาะสาวเจ้าเนื้อหลายคน ที่กลัวว่าจะออกไปจากถ้ำไม่ได้ เพราะทางออกเป็นแค่ช่องเล็กๆ สามารถลอดตัวไปได้ทีละคน เทคนิคการลอดถ้ำนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ใช้ หลังพิงผนังถ้ำ แล้วค่อยๆกระดึ้บๆ ซึ่งก็ทุลักทุเลกันพอสมควร โดยเฉพาะคนที่มีกระเป๋าสัมภาระติดตัวมา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะที่สุดแล้ว ให้ร่างตุ้ยนุ้ยขนาดไหน ก็ลอดผ่านไปได้ทุกคน
ภายนอกถ้ำนอกจากต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังมีเถาวัลย์ยักษ์ที่คะเนว่าอายุไม่น่าจะน้อยกว่า 100 ปี แต่ที่เป็นจุดสนใจมากที่สุด เห็นจะเป็นตอไม้รูปศิวลึงค์..ที่ดูเหมือจะดึงความสนใจของสาวใหญ่ สาวน้อยได้ดีทีเดียว หลายคนเวียนดู เวียนจับด้วยความสนใจ ไกด์ที่พานักท่องเที่ยวขึ้นไปบอกว่า ตอไม้ นี้น่าจะอายุอานามไม่ต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งก็คง ต้องมีหน่วยงานเข้าไป พิสูจน์กันอีกทีว่าจริงๆ แล้ว มหัศจรรย์ธรรมชาติเหล่านี้อายุประมาณกี่ปีกันแน่
เสร็จจากชมถ้ำล่องแก่งแล้ว พวกเรากลับมาที่รีสอร์ต “ล่องแก่งหนานมดแดง” เพื่อชำระล้างร่างกาย เลยสังเกตเห็นว่า ห้องพักของรีสอร์ตที่นี่ออกแบบได้เก๋ไก๋ไม่เบา เป็นบ้านต้นไม้ ที่เจ้าของบอกว่ามีหลายขนาดพักได้ตั้งแต่ 2 คนไปจนถึง 10 คน
บ้านต้นไม้แต่ละหลังสร้างหลากหลายสไตล์ ลุงโยธินบอกว่า ที่สร้างบ้านแบบนี้ก็เพื่อจะได้ ไม่ต้องตัดต้นไม้เพราะบางหลังมีต้นไม้ทะลุอยู่กลางบ้าน เวลาพักให้อารมณ์ประมาณนอนอยู่ในป่ายังไงยังงั้น
เราอำลาจากหนานมดแดง ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม ไม่ใช่เพราะความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจจากการล่องแก่ง หรือความสุขจากการชมธรรมชาติในถ้ำ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ที่นี่ คือ วิถีแห่งความพอเพียงของทั้งเจ้าของกิจการ พนักงาน ชาวบ้าน ที่อยู่กันแบบพึ่งพา เอื้ออาทร
เป็นอีกทริปที่สอนให้เรารู้ว่า บางทีความสุขก็ไม่ได้มาจากความร่ำรวยเสมอไป แต่เพราะมีหัวใจที่กว้างขวางต่างหากที่ทำให้ความสุขอยู่ไม่ไกล..จนเกินกว่าใจจะไขว่คว้า...!!!