หลังจากที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับครูก้อง เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง ข้ามภพ ข้ามชาติ โดยมองเห็นว่าใบหน้าลูกศิษย์ตัวเองบังเอิญคล้ายกับรูปถ่ายของเด็กหญิงชาวสงขลาเมื่อปี 2470 รวมทั้งต้องการสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กๆ จึงจินตนาการจนก่อเกิดเป็นเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ระลึกชาติกระหึ่มโซเชียล! เปิดใจผู้เขียน ‘ข้ามภพ ข้ามชาติ’ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย? ก่อนที่จะย้อนวันวานเรื่องระลึกชาติที่เคยเกิดขึ้นตามข่าวต่างๆ มาแล้ว ตายแล้วไปไหน...? รวม 5 เรื่องพิศวง 'คนระลึกชาติ'

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอนำเสนอมุมมองของหลักพุทธศาสนาและหลักวิทยาศาสตร์ ว่าแท้จริงแล้วระลึกชาติมีจริงหรือไม่ ?

PART 1

'การระลึกชาติ' ตามหลักพุทธ มีจริงหรือไม่..!?

พระอาจารย์สมพงษ์ รตนวํโส โมฆรัตน์ พระนักเทศก์ทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่ อธิบายเรื่องการระลึกชาติกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า ระลึกชาติ เป็นความวิเศษของจิตอย่างหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยญาณของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถระลึกชาติได้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สามารถนึกย้อนเรื่องราวไปกี่ภพกี่ชาติก็ได้ ขึ้นอยู่กับภาวะจิตที่นิ่ง ทั้งนี้ ญาณวิเศษที่พระพุทธเจ้าใช้บรรลุการรระลึกชาติได้ คือ บุพเพนิวาสานฺสติญาณ เป็นญาณขั้นต้น อย่างไรก็ตาม ญาณวิเศษนี้ เป็นเพียงหนทางย้อนไปสู่เรื่องราวในภพก่อน แต่ไม่ได้บ่งบอกว่า หมดกิเลส หรือบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

...

“ตามความเชื่อดั้งเดิม พระอาจารย์เชื่อว่าการระลึกชาติเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากในอดีตพระอาจารย์เคยได้ยินได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องแรกคือ เรื่องราวของพันตำรวจตายแล้วฟื้น และเคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าสามารถระลึกชาติได้ ซึ่งสมัยที่พระอาจารย์ยังเด็กก็สงสัยว่า การระลึกชาติ เกิดจากอะไร แต่เมื่อได้บวชเรียนจึงรู้ว่าเป็นความสามารถของจิตที่สามารถย้อนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาได้ สามารถย้อนกลับไปได้ถึงชาติก่อนหรือภพก่อนๆ ฉะนั้น ถ้ามนุษย์นั่งสมาธิได้ถึงขั้นนี้ จะเรียกว่า ภาวะจิตสงบ” พระอาจารย์สมพงษ์ กล่าว

ตามหลักพุทธ! การระลึกชาติเป็นแบบไหน ตายแล้วฟื้น ใช่ระลึกชาติหรือไม่..!?

พระอาจารย์สมพงษ์ กล่าวต่อว่า การระลึกชาติ คือ การที่บุคคลนั้นมีความสามารถของจิตในการรับรู้ได้ว่า ชาติปางก่อนเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรบ้าง เช่น ภพก่อนเคยทำร้ายสัตว์ ชาตินี้เราก็จะรับรู้ถึงพฤติกรรมเหล่านั้นได้ ซึ่งการระลึกชาติในทางพระพุทธศาสนา จะต้องเกิดจากการมีภาวะจิตที่แน่วแน่เท่านั้น

สำหรับมนุษย์บางคนที่ตายแล้วฟื้น เมื่อใช้ชีวิตในสถานที่ที่เคยอยู่ เคยสัมผัสมาก่อน เขาจะรู้สึกว่าสามารถจดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้หมด จดจำได้ทั้งสถานที่และบุคคลที่เคยรู้จัก กรณีเช่นนี้ในทางพระพุทธศาสนาไม่ยืนยันว่าเป็นการระลึกชาติได้ แต่อาจเป็นความเชื่อมากกว่า

ญาณวิเศษขั้นแรกที่พระพุทธเจ้าได้จากการนั่งสมาธิ ในวันเพ็ญเดือน 6 คือ บุพเพนิวาสานฺสติญาณ หรือการระลึกชาติวังหลัง โดยญาณวิเศษ มี 3 ขั้น ได้แก่ บุพเพนิวาสานฺสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ ซึ่งเป็นญาณขั้นสูงที่ทำให้จิตใจหมดกิเลส

ทั้งนี้ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไม่ให้มนุษย์ลุ่มหลงกับญาณวิเศษเพียงอย่างเดียว เนื่องจากจะกลายเป็นความหลง เช่น เมื่อมนุษย์นั่งสมาธิที่ภาวะจิตสงบก็มักจะหลงว่า บรรลุธรรมหรือตนเองวิเศษ หรือมีญาณทิพย์ เป็นต้น ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นเพียงความสามารถของจิตที่สามารถนึกคิดเรื่องเก่าได้ เช่น เมื่อวานทำอะไรบ้าง เราก็จะจดจำได้ทั้งหมด แต่เมื่อนึกย้อนไปอีกหลายๆ วัน ความทรงจำเหล่านั้นก็จะค่อยๆ เลือน ราง ซึ่งภาวะจิตลักษณะนี้มนุษย์สามารถนึกคิดได้ทุกคน เนื่องจากเป็นความทรงจำระยะสั้น ไม่ถือเป็นการระลึกชาติ

...

ในปัจจุบันพระหลายท่านก็สามารถระลึกชาติได้ แต่ด้วยวินัยของพระ จะห้ามไม่ให้พระอวดตัวเอง ทำให้ไม่มีพระท่านใดที่เล่าเรื่องการระลึกชาติให้ญาติโยมฟังว่า มีญาณวิเศษที่สามารถระลึกชาติได้ เนื่องจากจะทำให้ญาติโยมไม่เลื่อมใสและศรัทธาในตัวท่าน รวมถึงการระลึกชาติไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์

ระลึกชาติ! บางคนย้อนได้ บางคนย้อนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับ..!?

พระอาจารย์สมพงษ์ เปิดเผยว่า การระลึกชาติตามหลักพระพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับภาวะจิตจากการทำสมาธิ โดยหลักการทำสมาธิ มี 3 ระดับ ได้แก่ 1.ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่ง เป็นสมาธิขั้นต้นที่บุคคลทั่วไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในการงานประจำวัน 2.อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่ตั้งได้นานสักระยะ ใกล้ที่จะได้ฌาน เกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นแสงสว่างอยู่ระยะหนึ่ง 3.อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ถึงฌาน เป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด ดังนั้น ถ้าเรานั่งสมาธิบ่อยๆ มีภาวะจิตนิ่งก็สามารถระลึกชาติได้ แต่บางคนอาจจะได้ความสามารถในการมีตาทิพย์หรือหูทิพย์แทน เช่น อาจมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หรือได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของจิตของแต่ละบุคคล

...

นอกจากนี้ มนุษย์บางคนสามารถระลึกชาติได้ ขณะที่จิตสงบ แต่บางคนสามารถระลึกชาติได้ เพราะต้องการใช้ความสงบแห่งจิตระลึกสู่ภพชาติก่อน อย่างไรก็ดี การระลึกชาติ ไม่สามารถระลึกย้อนเรื่องราวได้ทั้งหมด ระลึกได้เพียงเหตุการณ์บางช่วงบางตอนที่เป็นเหตุการณ์เด่นชัด ดังนั้น การที่คนเราสามารถระลึกชาติได้ จะต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานเท่านั้น

ยกเว้นกรณีพิเศษคือ เป็นบุคคลที่มีความสามารถทางจิตมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยไม่ต้องฝึกสมาธิ ซึ่งบุคคลที่มีความสามารถในการนึกคิดย้อนหลังได้ บุคคลเหล่านี้จะใช้พลังค่อนข้างมากสำหรับการนึกย้อนเรื่องราวในอดีต ซึ่งมักจะมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางคนถึงขั้นป่วย ไม่สบาย หรือไข้อย่างรุนแรง ซึ่งปัจจุบันมีเด็กที่สามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นความโชคร้ายมากกว่าความโชคดี เนื่องจากการระลึกชาติไม่ได้เกิดผลดีกับเด็ก แทนที่จะอยู่กับโลกปัจจุบัน กลับต้องอยู่กับโลกในอดีตเป็นส่วนใหญ่

...

'บุพเพนิวาสานฺสติญาณ' ความวิเศษของจิตย้อนระลึกชาติได้

พระอาจาย์สมพงษ์ กล่าวอีกว่า การระลึกชาติ เป็นหลักคำสอนที่ถูกบัญญัติอยู่ในหลักทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า บุพเพนิวาสานฺสติญาณ เป็นความวิเศษของจิตอย่างหนึ่ง จิตที่ผ่านการฝึกฝน ได้แก่ จิตที่นิ่ง สงบ ร่มเย็น ผ่องใส และสามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งผลจากการนั่งสมาธิ จะทำให้สามารถระลึกชาติได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความนิ่งของภาวะจิต ซึ่งคนที่มีพลังของจิตมาก จะเรียกว่ามีความวิเศษมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งความสามารถทั้งหมดเกิดจากการฝึกฝนของจิตทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผลดีของการระลึกชาติคือ เป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษย์ระลึกได้ว่า ความสุขสบายในปัจจุบัน ล้วนเป็นผลมาจากความดีในภพชาติก่อน ดังนั้น การระลึกชาติจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อใช้ให้เกิดประโยชน์

“สำหรับบางคนที่ไม่เชื่อเรื่องของการระลึกชาติ เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในภาวะจิตเดียวกัน จะไม่มีทางเข้าใจหรือรับรู้ได้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่เคยเห็นผี ก็มักจะไม่เชื่อและยากที่จะเชื่อเรื่องเหล่านี้ ดังนั้น ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในภาวะจิตที่สามารถระลึกชาติได้ บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่เชื่อด้วยประการทั้งปวง ยกเว้นบางคนที่เรียนมา จะมีความเชื่อตามที่เรียน แต่ก็ไม่สามารถอธิบายให้คนที่ไม่เชื่อเห็นภาพได้” พระอาจารย์สมพงษ์ รตนวํโส ระบุ

นอกจากนี้ การปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม มี 2 สาย ได้แก่ วิปัสสนากรรมฐาน คือ การรู้แจ้ง รู้ทันอารมณ์ พ้นทุกข์ หมดกิเลส และสมถกัมมัฏฐาน คือ ความสมถะแห่งจิต ซึ่งเมื่อผู้ปฏิบัติธรรมสามารถทำสมถกัมมัฏฐานได้ดี ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีความวิเศษทางจิต สามารถระลึกชาติได้

อย่างไรก็ตาม การที่มนุษย์จะสามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น จะต้องพ้นทุกข์ หมดกิเลส เนื่องจากจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือ การหมดกิเลสและอาสวะ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าตนเองจะหมดเมื่อไร ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์พึงกระทำได้ดีที่สุดคือ หมั่นทำความดีเท่าที่จะทำได้ โดยการยึดหลักทาน ศีล และภาวนา

PART 2

หลักวิทย์ พบ ระลึกชาติมี 2 ประเด็น คือ ไม่จริง กับ น่าสนใจ!

จากนั้น ทีมข่าวฯ จึงสอบถามในมุมมองของวิทยาศาสตร์บ้าง โดย รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ผู้คร่ำหวอดในวงการวิทยาศาสตร์ เปิดเผยถึงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องการระลึกชาติว่า ตามหลักเบื้องต้นทางวิทยาศาสตร์จะไม่ปฏิเสธอะไรก่อนในทันทีทันใด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะแปลกอย่างไรก็ตาม ส่วนเรื่องระลึกชาติก็เป็นประเด็นหนึ่งที่วิทยาศาสตร์สนใจมานาน และมีการศึกษาวิจัยกันมาเยอะ เรื่องระลึกชาติจะพบว่ามี 2 ประเด็น คือ 1.ประเด็นที่เป็นข่าวกับที่เป็นจริงไม่ตรงกัน บางครั้งสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงไม่มีอะไรมาก ในประเทศไทยน่าจะมีประมาณ 300-400 เรื่อง ที่ออกข่าวหรือเป็นที่พูดถึงกันในสังคม แต่เมื่อออกมาเป็นข่าวจึงกลายเป็นเรื่องราวที่มีการขยายความกันมาก และเมื่อติดตามไปเรื่อยๆ ก็พบว่า เรื่องระลึกชาติจำนวนมากสามารถอธิบายตามหลักทางวิทยาศาสตร์ได้ และไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการระลึกชาติ

ส่วนประเด็นที่ 2.ประเด็นที่มีจำนวนน้อยแต่มีความน่าสนใจ ไม่มีการจัดฉาก ไม่ใช่การประมวลหรือจับเรื่องราวต่างๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย อย่างเช่น เด็กที่ระลึกชาติได้บางกรณีในทิเบตหรือในอินเดีย และรวมทั้งในประเทศไทยด้วย ปรากฏว่ามีความน่าสนใจ ซึ่งแม้แต่องค์พระดาไลลามะยังสนใจ และท่านเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย ทำให้ท่านมองเรื่องวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาด้วยใจที่เปิดกว้างและคิดอย่างเป็นระบบ ท่านก็ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้เช่นกันและได้สรุปไปในแนวทางเดียวกับวิทยาศาสตร์ คือ สามารถอธิบายได้เป็นส่วนใหญ่

หลักวิทยาศาสตร์ 90% ระบุ อาจจะไม่มีชาติภพ!

นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง อธิบายต่อว่า เรื่องของการระลึกชาติ ในแง่ของวิทยาศาสตร์จะศึกษาได้ก็ต้องหาวิธีการว่าอะไรเป็นสื่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นตัวศึกษาอย่างเป็นระบบและชัดเจน คือ วิญญาณ การเกิด กำเนิดของชีวิต ซึ่งตรงนี้ทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างที่จะบอกชัดเจนว่าชีวิตเกิดได้แบบไหนอย่างไรบ้าง แต่ทางพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกที่ยึดถือกันมานานว่า ในทางพุทธศาสนาแล้วกำเนิดของชีวิตมีได้ 4 อย่าง ได้แก่ 1.กำเนิดจากครรภ์ของมนุษย์ 2.กำเนิดจากไข่ เช่น นก งู 3.กำเนิดจากความชื้น จากสิ่งที่เป็นสิ่งโสโครก เช่น หนอน และ 4.กำเนิดแบบโอปปาติกะเป็นการกำเนิดแบบทันทีทันใด ไม่ใช่มาจากการปฏิสนธิ ไม่ใช่จากไข่ แต่โอปปาติกะต้องอาศัยสื่อซึ่งน่าสนใจมากเป็นพิเศษคือวิญญาณ

“วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนาในเรื่องของการกำเนิดที่จะไปโยงเรื่องระลึกชาตินั้น มีส่วนที่ขัดแย้งกัน นั่นคือ ทางวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มที่สูงมากถึง 90% ว่าอาจจะไม่มีชาติภพ เพราะว่า วิทยาศาสตร์นั้น จะต้องหาสิ่งที่ศึกษาได้ แน่นอนก็ศึกษาหมดทั้งในเรื่องของผีอะไรต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ยังมีคำอธิบายได้ แต่ก็ยังมีส่วนที่ยังอธิบายไม่ได้”

วิทยาศาสตร์ใช้ ‘วิญญาณ’ เป็นสื่อเพื่อศึกษาเรื่องระลึกชาติ

รศ.ดร.ชัยวัฒน์ อธิบายต่อว่า สิ่งที่จะศึกษาเรื่องการระลึกชาติได้อย่างชัดเจน ก็คือ เรื่องของวิญญาณ เพราะว่าวิญญาณเป็นสื่อหลักในการให้กำเนิดชีวิตแบบโอปปาติกะขึ้นมา และน่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงได้มากที่สุดในเรื่องของการระลึกชาติ จึงเป็นที่มาให้วิทยาศาสตร์ศึกษาว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ ซึ่งในอดีตนั้นได้เปิดกว้างว่าวิญญาณนั้นเป็นอะไร ค่อยๆ ศึกษาออกมาในทุกประเด็น จนกระทั่งได้คำตอบมาถึงวันนี้แม้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% แต่แนวโน้มค่อนข้างชัด อย่างเช่น วิญญาณถ้ามีจริงก็ต้องเป็นอะไรบางอย่าง เป็นสสารหรือเป็นพลังงาน ถ้าวิญญาณมีจริงนั้น ต้องสามารถตรวจจับได้ น่าจะศึกษาได้

แต่เดิมมีความเชื่อว่ามนุษย์จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ร่างกายและวิญญาณ คนตาย ก็คือคนที่วิญญาณออกจากร่างไม่กลับมา ส่วนคนเป็น คือ คนที่วิญญาณอยู่กับตัว เพราะฉะนั้น ชีวิตจำเป็นต้องมีสองส่วน สิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษากันถึงเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย จนได้ข้อมูลค่อนข้างชัดเจนว่า ความเป็นความตาย ของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญาณเลย ทำให้บทบาทของวิญญาณน้อยลงไปเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งความเชื่อที่ว่าวิญญาณอยู่ในร่างกายแบบสวมทับอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เชื่อแค่ว่าอยู่ภายในตัวเรา

ทำไมมนุษย์จึงต้องฝัน ความฝันเกิดจากอะไร​?

นอกจากนี้ ยังมีคนเชื่อกันว่าเวลาที่ฝัน วิญญาณจะออกจากร่างไปท่องเที่ยว รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ให้คำตอบว่า ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ยังรู้ไม่หมดเกี่ยวกับความฝันว่าทำไมถึงฝัน และความฝันบอกอะไรได้บ้าง แต่วิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่า ความฝันเกิดจากการทำงานของสมอง และไม่เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ

ส่วนการที่ฝันเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ เนื่องจากเป็นส่วนของความทรงจำของคน ซึ่งสมองของคนทำงาน 2 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับที่สมองทำงานเต็มที่ ทุกส่วนของร่างกายทำงานเต็มที่ และ 2.จิตใต้สำนึกที่เป็นเรื่องของความทรงจำ บางสิ่งที่เจอมาในอดีตเป็นเรื่องที่อยู่ในใจเหล่านี้ก็อยู่ในสมอง อย่างเช่น ในขณะที่ตื่นสมองความทรงจำเหล่านี้จะถูกเก็บ และเมื่อนอนหลับสมองทำงานลดลง 50% แต่สิ่งที่อยู่ในจิตใจไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนกับเวลากลางวันคนต้องคิดถึงสิ่งที่เป็นภาระ จดจ่อในการทำงาน แต่พอกลางคืนเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต ซึ่งอยู่กับตัวเราตลอดเวลามันจะออกมาในตอนที่นอนหลับ

“คนที่กำลังนอนหลับแล้วฝันช่วงฝันลึกตาของเขาจะขยับ เพราะว่าฝันเห็นเหตุการณ์จริงว่าเดินหรือวิ่งไปไหน ให้ลองปลุกเขาในตอนนั้นทันทีเขาจะจำได้ อันนี้เป็นวิธีง่ายๆ แต่ว่าทางวิทยาศาสตร์สามารถใช้เครื่องอีจี (EG) จับและวัดคลื่นสมองจะรู้เลยว่าตอนนี้กำลังหลับสบาย ตอนนี้กำลังฝัน และรู้ด้วยว่าฝันประเภทไหนลักษณะใด แต่ไม่ถึงกับรู้ว่าเรื่องราวของความฝันเป็นอย่างไร ตื่นเต้นหรือสบายๆ ผ่อนคลาย หรือเป็นฝันร้าย วิทยาศาสตร์บอกได้ ถึงแม้ว่าจะยังตอบไม่ได้ทั้งหมดว่าทำไมเราจึงฝัน ความฝันบอกอะไรได้ไหม แต่ที่ชัดเจนแล้วอธิบายได้ คือ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ”

90% ของกระบวนการวิทยาศาสตร์พบไม่มีวิญญาณอยู่จริง

อย่างไรก็ตาม วิญญาณถูกหักล้างด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เรื่อยๆ จนแทบไม่มีบทบาทเลย ทำให้ในการที่จะอธิบายเรื่องของระลึกชาติ โดยโฟกัสไปที่วิญญาณนั้น มีแนวโน้มถึง 90% ว่าไม่มีวิญญาณ แต่ไม่ได้หมายความเรื่องของการระลึกชาติไม่จริง เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ฉะนั้น จึงสรุปเรื่องระลึกชาติได้ว่า ส่วนใหญ่จะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ประมาณ 10% ซึ่งวิทยาศาสตร์บอกว่าน่าสนใจ และไม่สามารถตอบได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ต้องศึกษาและพิสูจน์กันต่อไป โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางกรณีก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องไปศึกษาเจาะอย่างละเอียดทุกเรื่องราวเท่าที่จะเป็นไปได้

“ยกตัวอย่างเช่น เวลาไปอ้างถึงใคร ก็ต้องไปหามาแล้วมาศึกษาดูว่าใช่หรือไม่ใช่ ซึ่งตรงนี้ปรากฏว่าเวลาจะทำจริงๆ นั้นเกิดปัญหา มักจะมีข้อขัดข้องเช่น ติดต่อไม่ได้ ไม่สะดวกจะให้ข้อมูล คนที่เกี่ยวข้องบอกว่าแค่นี้พอนะ เริ่มไม่สบายใจแล้วที่จะให้เจาะลึกศึกษาต่อไป หรืออาจจะกลายเป็นเรื่องของการไปรบกวนบรรพบุรุษ และอีกฝ่ายอาจจะมองว่าเป็นการมาจับผิดเขาหรือเปล่าเหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มันก็เลยทำให้ในส่วนที่วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่นั้น จึงไม่ได้ในจุดนี้ทั้งหมด”

ทุกเรื่องมีโอกาสเป็นไปได้ แม้เกิดเพียงแค่กรณีเดียว!

เมื่อทีมข่าวถามอาจารย์ชัยวัฒน์ว่า นอกเหนือจากวิธีที่จะพิสูจน์จากวิญญาณที่จะมาเป็นตัวศึกษา ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่นั้น นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ให้คำตอบว่า “มี แต่ชัดเจนไม่เท่าศึกษาจากเรื่องของวิญญาณ เพราะวิญญาณมีองค์ประกอบที่สามารถศึกษาอย่างเป็นระบบชัดเจนที่จะตอบโจทย์ข้อนี้ สิ่งอื่นมันจะไม่ชัดเจนเท่า เพราะว่าวิญญาณจะเกี่ยวข้องหมดเลยทั้งในเรื่องของความเป็นความตาย เรื่องชาติภพ เรื่องระลึกชาติ เรื่องของความฝัน แต่คำตอบที่เรารู้มันแกะเป็นปมออกมาในแนวโน้มอย่างที่ว่า เรื่องชาติภาพอาจจะไม่มีจริง แต่ก็ยังไม่ใช่ 100% ส่วนน้อยที่เหลืออยู่ไม่มากไม่ถึง 10% โอกาสจะเป็นจริงขึ้นมาได้ไหมนั้น มองว่าเป็นไปได้

อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์ก็ยังถือว่า เรื่องของวิญญาณ เรื่องของการระลึกชาติ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องชาติภพ เป็นเรื่องที่ยังไม่ปิด เพราะถ้ามีข้อมูลหลักฐานใหม่หรือเรื่องเก่า ที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ชัดเจน แม้จะเป็นเพียงเรื่องเดียว วิทยาศาสตร์ก็ยอมรับ!

แนวคิดทางพุทธศาสนา เชื่อว่าการระลึกชาตินั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับภาวะจิตที่นิ่ง ขณะที่ ทางวิทยาศาสตร์ มีแนวโน้มว่าระลึกชาติอาจจะไม่มีจริง แต่ยังมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ แล้วคุณล่ะ...คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?