ควันหลงการประชุม ก.ตร. พิจารณาลงมติเห็นชอบคำสั่งศาลปกครองให้เยียวยาคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ย้อนหลังไปสู่มติ ก.ตร.ที่ไม่เห็นชอบการนับวันทวีคูณแต่งตั้ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ ขยับเป็น ผบช.ภ.1 ตั้งแต่สมัย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เหตุเกิดปี 2553

ท่ามกลางความสับสนของตำรวจส่วนใหญ่ว่าเหตุใด ก.ตร.ต้องให้ความสำคัญวาระการเยียวยาคำสั่งศาลปกครองกรณี พล.ต.ท.ศรีวราห์ เสมือนเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน


การประชุม ก.ตร.ต่อเนื่อง 3 ครั้งกว่าจะได้ข้อยุติเป็นไปตาม “ใบสั่ง” หรือไม่ หรือจำเป็นต้องคืนสิทธิ์ชอบธรรมตามความต้องการของเจ้าตัว

ฝ่าด่าน ก.ตร.ที่ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาคำสั่งของศาลปกครอง ซึ่งเป็นอำนาจการบริหารงานบุคคล การพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา โดยมี ก.ตร.ร่วมตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ

ครั้งแรก ก.ตร.ครั้งที่ 8/2558 วันที่ 25 มิ.ย.2558 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ก.ตร. แต่พอเข้าวาระได้มอบให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมต่อ มีการพิจารณาคำร้องของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ลงมติโหวตลับ 2 ครั้ง

...


ได้ข้อยุติมีมติอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติของ ก.ตร.

ด้วยบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความยากลำบากในการแสดงความคิดเห็น เนื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ได้มีหนังสือคัดค้านการแต่งตั้ง พล.ต.ท.ศรีวราห์

เรียกร้องให้ ก.ตร.อุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองเรื่องเยียวยา พล.ต.ท.ศรีวราห์

ไม่มี ก.ตร.คนไหนที่อยากตกเป็น “จำเลยสังคม” และถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

กรณีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นเรื่องราวขัดแย้งรุนแรงถึงโรงถึงศาล


ทุกคนรู้สภาพที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี

ทันทีที่การประชุม ก.ตร.รอบแรกจบลง พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้มีหนังสือร้องเรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธาน ก.ตร. กรณีมติการประชุม (ลับ) ก.ตร.ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ ก.ตร.

อ้างความชอบธรรมและข้อบังคับกฎหมายเพื่อยกเลิกมติอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง

พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้ง ผบ.ตร.ระบุว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ได้คัดค้านการลงมติในการประชุม ก.ตร.อันขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ จากการประชุม ก.ตร. ให้พิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เสนอความเห็นโดยด่วนใน 29 มิ.ย.2558

เป็นช่วงที่ ผบ.ตร.เดินทางไปราชการต่างประเทศ

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ได้สั่งให้ พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทน หารือเรื่องนี้ร่วมกับตัวแทนสำนักงานกฎหมายและคดี ตัวแทนสำนักงาน ก.ตร. เพื่อพิจารณาตามที่มีการสั่งการเรื่องร้องเรียนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์


มีความเห็นว่าเป็นการประชุมมิชอบตามกฎหมายของ ก.ตร.

...

นัดประชุมรอบ 2 พล.ต.อ.สมยศเป็นประธาน ก.ตร. ประชุมไม่ได้ข้อยุติ ต้องเสนอเลื่อนออกไป และนัดประชุมด่วนรอบที่ 3 ก่อน พล.ต.อ.สมยศ ต้องลงมาคุมการลงคะแนนโหวตลับ มติเป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 0

พล.ต.อ.สมยศต้องแสดงความเป็นผู้นำเพื่อแก้ไขปัญหาก่อนบานปลาย

แม้รอง ผบ.ตร.หลายคน ไม่อยากเข้าร่วมประชุม เนื่องจากไม่อยากถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ฟ้องร้องในเรื่องการพิจารณาคำร้องดังกล่าว

เป็นเรื่องความรู้สึกที่กดดันของรอง ผบ.ตร.ทุกคน แต่ในเมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ลงมาทำหน้าที่เอง ทุกคนต้องยอมรับการตัดสินใจเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

คมเฉือนคมต้องต่อสู้กันด้วยข้อกฎหมายเป็นหลัก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สายตรง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เข้ามาดูแลด้วยตัวเอง

งานนี้ พล.ต.อ.สมยศ ต้องคิดถึงประโยชน์ขององค์กรและ ก.ตร.

มีทางออกทางเดียวคือ การโหวตลงมติใหม่เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของ ก.ตร.


ผลโหวตลับมติออกมาเป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 0 ที่สุด ก.ตร.กลับมติไม่อุทธรณ์!!!

ก.ตร.นัดที่ผ่านมาจะไม่เกิดปัญหาอะไรเลย หากมีการทักท้วงของ ก.ตร. รวมทั้งรอง ผบ.ตร.ที่มีความชำนาญด้านกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องออกแรงให้มากมายเพราะลำพังเสียงสนับสนุน ก.ตร.ส่วนใหญ่ คิดเห็นแนวทางเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ ทำให้ตำรวจส่วนใหญ่มองว่ามีการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง

...

มองว่ามีการข้ามหัว เกินกว่าขอบเขตหน้าที่

กรณีนี้น่าจับตาว่าจะมีอะไรต่อไปเพราะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ได้มีหนังสือตรง ผู้มีอำนาจ ข้อความรุนแรงว่า เตือนอย่าพยายามใช้อำนาจที่มีอยู่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้ข้อยุติที่ถูกต้องเป็นธรรมต่อข้าราชการตำรวจ

เตือนกันแบบให้คิดถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ที่ถูกดำเนินคดีที่ศาลฎีกาอยู่ในขณะนี้ ผู้มีอำนาจก็อาจจะยื่นให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้

กลายเป็นละครเรื่องยาวที่ต้องลุ้นกันหยดสุดท้าย.....

คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับหน้า “เสี่ยงภัย” ที่ใช้ ก.ตร.มาเป็นเครื่องมือต่อกรประลองกำลังเป็นวังวนของการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ.....

บันไดขั้นนี้ของ พล.ต.ท.ศรีวราห์จึงมองได้ถึงอนาคตอาจเบียดถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.เลยทีเดียว


ไม่ต่างจากการปรับโครงสร้างตำรวจ ที่มีความพยายามของผู้ที่ใกล้ชิดขั้วอำนาจอยู่เบื้องหลัง เข้ามาคิดปรับโครงสร้างตำรวจในรูปแบบแปลกๆ ไม่อยู่กับสภาพความเป็นจริงในสังคมไทย ไม่ได้มองประโยชน์สูงสุดเกิดกับพี่น้องคนไทย

...

แต่เป็นการปรับเปลี่ยนลดอำนาจ ผบ.ตร.ให้ลงมา เพิ่มอำนาจ ผบช.มีอำนาจเทียบเท่า ผบ.เหล่าทัพ เหตุผลแค่ตัดตอนอำนาจ ผบ.ตร.ในเรื่องอำนาจแต่งตั้งโยกย้าย งบประมาณ แต่มองข้ามการบังคับบัญชา เคลื่อนกำลังเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ต้องเป็นอำนาจของ ผบ.ตร.

ขณะนี้ปัญหาตำรวจสิ่งที่ต้องปรับอย่างมากคือ ปรับทัศนคติวิธีคิดของผู้ใหญ่ คิดว่าตำรวจทุกคนเป็นลูกน้องเสมอกัน ผู้ยิ่งใหญ่ที่สอนไว้ว่า “ไม่ว่าจะแมวดำหรือขาว ไม่สำคัญ ขอเพียงให้จับหนูได้”

หากผู้นำยังแบ่งชั้น รักแบบลำเอียง ใช้หลักพวกกู โดยไม่คำนึงถึงระบบคุณธรรม แม้จะปรับโครงสร้างอีก 10 ครั้ง ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน

ประเทศไทยต้องมีการอุปถัมภ์ ค้ำจุน เส้นสาย แต่ระบบอุปถัมภ์ต้องเดินคู่กับคุณธรรม

ต้องมีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ ทุกวันนี้ลากตั้งกันจนเลอะเทอะ ชีวิตตำรวจหลายคนไม่มีความผิด ไม่มีเส้น ไม่มีโอกาสได้รับความเป็นธรรม

แต่วงการตำรวจไทยยุคนี้อะไรก็เป็นได้ทั้งนั้น เพราะผู้มีอำนาจหลงฟังคนที่ไม่เข้าใจตำรวจ สุดท้ายผู้มีอำนาจตกเป็นเครื่องมือ

หากปรับแต่โครงสร้าง สตช.แต่ไม่ปรับกระบวนคิดของผู้บริหาร ประชาชนก็คงไม่ได้อะไร.

ทีมข่าวอาชญากรรม