มุมสวยอีกมุมในฮัลสตัทท์.

กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนไปถ่ายรูป เป็นเมืองที่ถูกถ่ายรูปทำเป็นโปสต์การ์ดมากที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป และเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในเว็บบอร์ดและเฟซบุ๊กในเวลานี้

แน่นอนเรากำลังพูดถึง “ฮัลสตัทท์” เมืองเล็กๆริมทะเลสาบในเขตซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) ของออสเตรีย ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเป้าหมายหลักในการเดินทางมาเที่ยวยุโรปคราวนี้

เราออกจากโรเทนเบิร์กในช่วงสายๆของวันที่ไม่เร่งรีบนัก น้องพลอย...ผู้จัดการสาวสวยแห่ง มิกิ ทราเวล กำชับก่อนมาว่าให้แวะช็อปปิ้งที่เอาต์เล็ตในอินโกลด์สตัท เธอบอกว่าที่นี่ของไม่แพงและมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นของเยอรมันและยุโรป

...

3-4 ชั่วโมงในเอาต์เล็ต วิลเลจ หมดไปแบบไม่รู้ตัว พอๆกับเงินยูโรในกระเป๋า และสลิปบัตรเครดิตอีกปึกใหญ่ ก็ของเขาดีจริง ถูกจริง สมคำร่ำลือ

คืนนี้เราพักค้างคืนที่ “มุนเช่น” หรือ มิวนิก เมืองหลวงแห่งบาวาเรีย แวะจิบเบียร์กับขาหมูเยอรมันเพิ่มน้ำหนักสักเล็กน้อย ก่อนเดินทางสู่ฮัลสตัทท์ในวันรุ่งขึ้น

จริงๆแล้วมีทางเลือกหลายทางจากมิวนิกไปฮัลสตัทท์ เมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งนี้ บางคนนิยมที่จะนั่งรถไฟ ชมทิวทัศน์อันสวยงามระหว่างทาง แต่ต้องไปตามเวลาที่เป็นตารางเดินรถไฟ อาจจะสะดวกสำหรับนักเดินทางประเภทแบ็กแพ็กเกอร์ หรือกลุ่มที่นิยมการท่องเที่ยวด้วยตัวเองแบบไม่ง้อทัวร์

แต่ด้วยคณะของเราประกอบ ไปด้วย ส.ว. (สูงวัย) เราจึงเช่ารถตู้ นั่งไปแบบสบายๆ ซึ่งก็ได้ชมวิวไป ตลอดทางเหมือนกัน โดยเฉพาะทุ่ง ดอกเรปส์ (Rapsfeld) หรือ เรปส์ซีด ที่มีให้เห็นตลอดเส้นทาง

ช่วงที่เราไปฮัลสตัทท์ดอกเรปส์เพิ่งเริ่มบาน เพราะกำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนในยุโรปสีเหลืองอร่ามของทุ่งดอกไม้ ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ช่วยทำให้บรรยากาศหม่นเหงาในวันที่หิมะเริ่มละลายคลายลงได้ไม่น้อยทีเดียว

เราไปถึงฮัลสตัทท์ราว 11 โมง รถบัสขนาดใหญ่หลายคันขนนักท่องเที่ยวจากจีนและไทยทยอยมาเรื่อยๆ เรียกว่าเดินไปตรงไหนแทบไม่เจอฝรั่ง เจอแต่คนจีนกับคนไทย

ฮัลสตัทท์ (HALLSTATT) เมืองเก่าแก่ของโลก ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของถ้ำเหมืองเกลือโบราณที่มีอายุมากกว่า 7,000 ปี ช่วงที่เราไป ดูเหมือนจะมีการซ่อมแซมบางอย่างข้างบนเหมืองเกลือจึงไม่อนุญาตให้ขึ้นไปชมได้ แต่แค่เดินเที่ยวชมเมืองก็มีมุมสวยๆให้เพลินตา เพลินใจแล้ว

ถนนในเมืองฮัลสตัทท์เป็นถนนเล็กๆเลียบทะเลสาบ เรียกว่า ถนนซี สตราซ (See Strasse) ความยาวของถนนจริงๆน่าจะไม่เกิน 500 เมตร เพราะเดินไปแป๊บเดียวก็สุดถนนแล้ว

...

ทะเลสาบฮัลสตัทท์เป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดของออสเตรีย พอๆกับ ทะเลสาบเซนต์โวล์ฟกัง ซึ่งอยู่ในเขตซาลซ์คัมเมอร์กุทเหมือนกัน ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก ซึ่งถ้ามีเวลาโปรแกรมทัวร์ส่วนใหญ่มักจัดให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวทั้ง 2 ทะเลสาบ เพราะที่เซนต์โวล์ฟกังนั้นมีความสำคัญในฐานะที่เป็นบ้านเกิดของโมซาร์ท คีตกวีแห่งโลกด้วย

เราเดินเลาะเลียบไปตามถนนซี สตราซ ตลอดสองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึก ที่ขาดไม่ได้คือเกลือที่ชาวบ้านนำมาใส่ขวดแก้วสีสวย ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบ รวมไปถึงภาพเขียนเมืองฮัลสตัทท์ในมุมต่างๆ

สีสันอีกอย่างหนึ่งของบ้านเรือนและร้านอาหารในฮัลสตัทท์ คือ ต้นไม้ที่ขึ้นติดกับผนังกำแพงและอาคาร บางต้นสูงใหญ่ทะลุเลยหลังคาบ้าน แต่บางต้นเจ้าของบ้านก็พยายามตัดแต่งกิ่งให้ดูมีเลเยอร์ที่สวยงาม

ที่น่าทึ่งอีกอย่างสำหรับเมืองเล็กๆน่ารักที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลแห่งนี้ คือ บ้านเรือนที่ปลูกลดหลั่นกันเป็นชั้นๆบนเขา ถามผู้รู้ได้ความว่า บ้านสไตล์นี้เขาเรียกว่าเป็นบ้านสไตล์อัลไพน์ ซึ่งจะแตกต่างจากบ้านไม้ที่ตีประกบด้วยไม้ซุงแบบบาวาเรียน

บ้านบางหลังเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่ของปู่ และยังเป็นที่พักอาศัยของตระกูลนั้นๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนมือ แม้บ้านบางหลังจะถูกดัดแปลงให้ เป็นโรงแรมหรือโฮมสเตย์ริมทะเลสาบไปแล้วก็ตาม

...

ไฮไลต์อีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนฮัลสตัทท์ คือ โบสถ์ที่อยู่ด้านบนเขา มองลงมาเห็นทะเลสาบอยู่เบื้องล่าง นอกจากโบสถ์แล้วที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ ไบน์เฮาส์ (Beinhaus) หรือ โบน์-เฮาส์ (Bone House) ซึ่งเป็นอาคารหลังเล็กๆที่แยกออกจากคริสตจักร ภายในเป็นที่เก็บหัวกะโหลกมากกว่า 1,200 กะโหลก แต่ละกะโหลกจะมีชื่อของเจ้าของสลักติดไว้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เสียชีวิตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ด้านนอกของไบน์เฮาส์เป็นหลุมฝังศพของบรรพบุรุษชาวฮัลสตัทท์ ทั้งที่เป็นชาวบ้านธรรมดา นักบวช ไปจนถึงผู้นำของหมู่บ้าน

ปลายถนนซี สตราซ เป็นที่ตั้งของจัตุรัสประจำเมือง ซึ่งเป็นลานหินขนาดย่อม มีน้ำพุอยู่กลางลาน นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปบริเวณนี้ เพื่อตอกย้ำว่ามาถึงฮัลสตัทท์จริงๆ

ล่าสุดความสวยงามของฮัลสตัทท์เป็นที่กล่าวขวัญ ขนาดที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งของจีนแอบส่งคนมาที่นี่แล้วก๊อบปี้เมืองทั้งเมือง ตั้งแต่หอนาฬิกา โบสถ์ ทะเลสาบ ไปตั้งที่เมืองจีน เป็นโครงการหมู่บ้าน จัดสรรให้เศรษฐีแดนมังกรจับจองเป็นเจ้าของบ้านสไตล์ยุโรป แบบที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงฮัลสตัทท์ ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนหมู่บ้านที่ว่านี้จะอยู่ที่หุยโจว มณฑลกวางตุ้งทางภาคใต้ของจีน ตั้งชื่อหมู่บ้านเหมือนชื่อเมืองว่า “ฮัลสตัทท์ซี” เอากับพี่จีนสิเราเดินเล่นเลาะเลียบมาจนสุดถนน ดื่มด่ำกับบรรยากาศทะเลสาบที่โอบล้อมเมืองทั้งเมืองแล้วก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารเล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับจัตุรัส ไม่ต้องคิดมาก

...

เขาว่ากันว่ามาถึงฮัลสตัทท์แล้ว ต้องลองกินปลาย่างที่เป็นปลาซึ่งตกด้วยเบ็ดจากทะเลสาบ รสชาติหวานอร่อยแบบไม่ต้องการน้ำจิ้ม กลิ่นหอมของปลาย่างที่เสิร์ฟพร้อมกับสลัดผักแบบง่ายๆ ราดเดรสซิ่งด้วยน้ำมันมะกอกธรรมดา อร่อยล้ำอย่าบอกใครเชียว

เราอำลาฮัลสตัทท์ในช่วงบ่ายแก่ๆ ผู้คนยังคงแวะเวียนมาเที่ยวชมหมู่บ้านเก่าแห่งนี้ไม่ขาดสาย เสียดายที่วันนี้ที่พักในเมืองเต็มหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือโฮมสเตย์ เราจึงตัดสินใจกลับเข้ามาพักที่ซาลส์บวร์ก...

ฟัง The Sound of Music มนต์รักเพลงสวรรค์..เพื่อหวนรำลึกความทรงจำวัยเด็กในวันอันอิ่มสุขอีกครั้ง.....!!!