การเล่นโขนของหลวง เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา มาจากการเล่นดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษก พวกมหาดเล็กที่ถูกคัดเลือกให้เล่นโขน ได้รับการยกย่อง มาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

(โขนหลวง ละครหลวง เฉลิมศักดิ์ เย็นสำราญ สูจิบัตร การแสดงวิพิธทัศนา ฉลองอายุ 89 ปี ครูสุวรรณี ชลานุเคราะห์ 23 พ.ค.2558 โรงละครแห่งชาติ)

โขนจึงเป็นการเล่นของผู้ดีมีบรรดาศักดิ์ จำกัดเฉพาะในพระราชพิธี ผู้ชายที่เล่นโขนยังมีน้อย ต่อมาเริ่มนิยมกันว่า การฝึกหัดโขนทำให้ชายหนุ่ม มีความแคล่วคล่องว่องไวในการรบ เป็นประโยชน์ในการต่อสู้ข้าศึก

จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หัดโขนได้ ไม่ห้ามปรามเหมือนแต่ก่อน

นับแต่นั้น เจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงนิยมหัดโขน ส่งผลให้มีคณะโขนเกิดขึ้นมากมาย

ส่วนละคร เคยมีประกาศรัชกาลที่ 4

“การเล่นละครในบ้านในเมืองนี้ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยามหานครเก่า มาจนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็มีอย่างธรรมเนียม ละครซึ่งเล่นเป็นแต่ผู้หญิงทั้งโรง ไม่มีผู้ชายเลย จะมีเล่นได้ก็แต่ในวังหลวงวังหน้าเท่านั้น...

ไม่มีในวังเจ้าและบ้านขุนนางแห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะเกรงจะปรากฏเป็นมักใหญ่ใฝ่สูงหาผู้หญิงงามๆ เกินวาสนา”

จนทรงมีพระบรมราชานุญาต...ว่า พระราชวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้ใดเล่นละครผู้ชายผู้หญิง ก็มิได้ทรงรังเกียจเลย ทรงเห็นว่า มีละครด้วยกันหลายรายดี บ้านเมืองจะได้ครึกครื้น จะได้เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดิน

นับแต่บัดนั้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เจ้าของคณะโขนและละครผู้ชาย...มาหัดละครผู้หญิงกันมากขึ้น จนถึงรัชกาลที่ 6 โปรดให้ตั้งกรมมหรสพ...โขน ละคร และการดนตรีปี่พาทย์ มีความเจริญก้าวหน้า

ทรงประดิษฐ์ราชทินนาม พระราชทานศิลปินที่มีฝีมือ ให้เป็นขุนนางจำนวนมาก

...

หลังรัชกาลที่ 6 สวรรคต ทั่วโลกเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นโยบายดุลยภาพรัชกาลที่ 7 โปรดให้ยุบกรมโขนหลวง กรมมหรสพ...อาคารเรียน โรงโขนหลวงสวนมิสกวัน เรือนพักครูและนักเรียนในวังจันทรเกษม

พวกโขนละครตกอยู่ในสภาพแพแตก ข้าราชการกรมมหรสพอพยพออกจากบ้านพักหลวง

กว่าสองปี ที่ศิลปะด้านนาฏดุริยางค์ซบเซา ขาดที่พึ่ง

ราวปี พ.ศ.2470 ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน (ฝรั่งเศส) มาเยือนไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงจัดเลี้ยงต้อนรับที่วังวรดิศ โปรดให้รวบรวมข้าราชการกรมมหรศพ (ที่ตกงาน) มาแสดงโขนเรื่องนารายณ์ปราบนนทุก

งานเลี้ยงเลิก ผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสกลับไป ไม่กี่วัน ก็ส่งกระเป๋าถือสตรีทำด้วยกระประดับเพชร...ให้เป็นของกำนัล...ยืนยันความประทับใจ คุณหญิงนัฐกานุรักษ์ (เทศ สุวรรณภารต) ผู้แสดงเป็นนนทุก

ผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศส ได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 7 กราบทูลความประทับใจให้ทรงทราบ...โปรดให้จัดโขน...ตอนปราบนนทุก แสดงอีกครั้ง แถมด้วยละคร เรื่องสังข์ศิลป์ชัย ตอนเสนากุฏเข้าเมือง

นับแต่นั้น ศิลปะด้านนาฏดุริยางค์ จึงได้รับการเชิดชู เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัชกาลที่ 7 ทรงขอความเห็นจากเสนาบดี...หากสมควรที่จะรักษาศิลปะชั้นสูงของชาติเอาไว้ ก็ทรงเต็มพระราชหฤทัยสละพระราชทรัพย์

ข้าราชการกรมมหรสพที่ตกงาน ก็ได้งานคืน...นายสง่าครูฝึกโขนหลวง เป็นคนแรกได้รับพระราชทานเงินเดือนเดือนละ 20 บาท กระบวนการรื้อฟื้นโขนหลวง ละครหลวง เริ่มต้นมาตั้งแต่บัดนั้น...และรุ่งเรืองเฟื่องฟู มาถึงชั้นลูกชั้นหลาน

เราได้ดูโขนพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ดูการแสดงละคร ระบำ หลากลีลา...ในโรงละครแห่งชาติ ฯลฯ ยืนยันความเป็นศิลปะประจำชาติไทย...งามจับตา จับใจ กระทั่งในวันนี้

ผมอ่านเรื่องโขนหลวง ละครหลวงแล้ว ความรู้เรื่อง ผู้หญิงเล่นละคร เต้นระบำรำฟ้อน...กลมกลืน เข้าใจมานาน แต่ความรู้เรื่อง การเล่นโขน...เป็นวิชาชายชาตรี เป็นพื้นฐานของนักรบไทยสมัยโบราณ...ถือเป็นความรู้ใหม่

ส่วนโจทย์“หัวโขน” นั้นแก้ง่ายๆ...ใครสวมหัวพระราม ทศกัณฐ์ยักษ์ ลิง ก็เล่นก็เต้นไป ถอดหัวโขนแล้ว ก็เป็นคนธรรมดา โจทย์ที่ยากกว่าก็คือ ขี่หลังเสือ ผมได้ยินคำตอบ ก่อนลงจากหลังเสือ ก็ต้องฆ่าเสือ... แล้วขนลุกทั้งตัว กลัวเสือจะไม่ตาย.

กิเลน ประลองเชิง