จากกรณีหญิง วัย 37 ป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ไปนวดจับเส้นกับหมอนวดข้างบ้าน และเกิดอาการหน้ามืดขณะนวด ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ต่อมาหมอนวดรู้สึกไปนานจนผิดสังเกต จึงไปเคาะประตูห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบจึงพังประตูเข้าไป พบว่าหญิงคนดังกล่าวกำลังอยู่ในอาการชัก และรีบส่งตัวไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียชีวิตในเวลาต่อมา
 
ทางโรงพยาบาลจึงได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งทีมแพทย์เผยว่า เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบและแตกจึงทำให้เสียชีวิต โดยทางญาติของหญิงผู้เสียชีวิต คาดว่าน่าจะเกิดจากการนวด เพราะการนวดจะทำให้เลือดไปสูบฉีดทุกส่วนของร่างกาย พอเลือดสูบฉีดไปที่เส้นเลือดที่ตีบ ประกอบกับเลือดสูบฉีดเร็ว ทำให้ช่องที่ตีบของเส้นเลือดรับแรงดันของเลือดไม่ไหว จึงเป็นเหตุทำให้เส้นเลือดแตก และถึงแก่ความตาย

กระนั้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปเจาะประเด็นการนวดที่ถูกวิธี และสิ่งที่ผู้นวดต้องระมัดระวังคืออะไร ไปติดตามได้ด้านล่าง...

...

ผศ. (พิเศษ) ดร.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พูดถึงเรื่องการนวดไว้ว่า นวดเป็นศาสตร์ที่ปลอดภัย ซึ่งก่อนที่จะนวดได้ต้องผ่านการฝึกอบรม ขั้นต่ำสุด 150 ชั่วโมง ไปจนกระทั่งถึง 1,300 ชั่วโมง และกว่าจะมาเป็นหมอนวดได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างน้อย 150 ชั่วโมง สำหรับการนวดเพื่อการผ่อนคลาย แต่หากจะนวดเพื่อการรักษาจะต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างน้อย 372 ชั่วโมงขึ้นไป

จุดที่ต้องระวังมากที่สุด คอ ขมับ รักแร้ ข้อศอก ศูนย์รวมเส้นเลือด เส้นประสาท !?

ทั้งนี้ คุณหมอธวัชชัย ให้ข้อมูลว่า สำหรับโรคที่ห้ามนวดนั้นไม่มี แต่จะมีโรคที่ต้องเฝ้าระมัดระวังในการนวด เช่น โรคหัวใจ, เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง, ไข้สูงเกิน 38.5 ขึ้นไป นวดได้ตามแขนขา, ตั้งครรภ์อายุไม่ถึง 3 เดือน นวดได้ตามแขนขาเช่นกัน แต่ตรงท้องไม่ควรนวดหรือกดแรงๆ เพราะอาจจะทำให้เด็กในครรภ์แท้งได้, โรคมะเร็ง ถ้าอยู่ในระยะที่แพร่กระจายแล้วยิ่งไปนวดอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายมากกว่าเดิม, โรคเบาหวาน, โรคความดัน และมีอาการที่ยังควบคุมไม่ได้ เส้นเลือดอาจเปราะ โอกาสเลือดออก ช้ำเลือดก็มีได้ รวมไปถึง คนไข้ที่กินยาละลายลิ่มเลือด เมื่อนวดแล้วอาจจะต้องระวังเลือดออก

อย่างไรก็ตาม หากฝืนนวดอาจจะมีอันตรายได้ เช่น เส้นเลือดแตก การฟกช้ำ กระดูกเคลื่อน แท้งบุตร มะเร็งแพร่กระจาย หรือเส้นเลือดที่มันเปราะอาจไปกระเทาะเศษแคลเซียมที่อยู่ในผนังหลอดเลือดไปอุดเส้นเลือดในสมองทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ เพราะฉะนั้น การนวดจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง

ขณะที่ การนวดส่วนใดของร่างกายที่หมอนวดจะต้องระมัดระวังมากที่สุด คุณหมอธวัชชัย เผยว่า ส่วนจุดที่ต้องระวังในการนวดมากที่สุด คือ บริเวณคอด้านหน้าทั้งหมด ที่เลยตำแหน่งกล้ามเนื้อคอขึ้นไป ส่วนนั้นจะเป็นจุดรวมของเส้นเลือดใหญ่ เส้นประสาท และมีต่อมหลายชนิด อีกทั้ง ในส่วนของขมับทั้งสองข้าง ถ้าจะกดต้องระมัดระวังไม่ให้แรงเกินไปที่จะทำให้เส้นเลือดแตกได้ รวมไปถึง บริเวณรักแร้ทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นจุดรวมของเส้นเลือดและเส้นประสาทที่สำคัญ ถ้านวดแรงไปอาจจะทำให้เส้นประสาทเกิดการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อศอกที่มีเส้นประสาทอยู่ โดยปกติจะไม่มีการนวดบริเวณดังกล่าว และจะนวดเฉพาะกล้ามเนื้อเป็นหลัก

เตือน! ขึ้นทะเบียนร้านนวด พร้อมจ้างหมอนวดที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

สำหรับในส่วนของร้านนวดนั้น คุณหมอธวัชชัย ระบุว่า จะต้องมีการคัดกรองหมอนวด โดยดูจากใบประกอบวิชาชีพนวดในแขนงต่างๆ ขณะที่ร้านนวดก็ต้องขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านนวดตอนนี้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานบริการ แต่กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบอำนาจจากกระทรวงมหาดไทย ให้ดูแลสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้ ฉะนั้น ภายใต้กฎกระทรวงว่าด้วยเรื่องของการขึ้นทะเบียนเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ตรงนี้รับขึ้นทะเบียน โดยไม่ต้องไปขึ้นทะเบียนกับกฎหมายสถานพยาบาล ซึ่งการขึ้นทะเบียนจะทำได้ที่กรมสนับสนุนบริการ และที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศไทย

...

เมื่อขึ้นทะเบียนเป็นสถานบริการจะได้ปฏิบัติเป็นสถานบริการหรือสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ และจะทำให้พ้นจากการถูกจับ เพราะว่าการไม่ขึ้นทะเบียนเป็นสถานบริการหรือสถานประกอบการเพื่อสุขภาพจะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา คือ จำคุก 1 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งตอนนี้อยากจะเตือนร้านนวดในประเทศไทยให้รีบไปขึ้นทะเบียน

“หากไปนวดและพบว่าหมอนวดหรือสถานประกอบการเพื่อสุขภาพไม่มีใบอนุญาต ผู้ใช้บริการจะต้องแจ้งไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้ หรือว่ากรมสนับสนุนบริการ เพื่อทำเรื่องร้องเรียนว่าพบสถานที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมายขอให้เข้าไปตรวจสอบ” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว

...

‘ลูกค้า’ เปรียบดั่ง ‘ครู’ แต่ละคนให้ประสบการณ์ต่างกัน !?

ด้าน นางนวลพัตร์ กุลศิริภัสสร์ หรือ น้าแมว อายุ 58 ปี หมอนวดแผนโบราณผู้มากประสบการณ์กว่า 15 ปี เล่าเรื่องราวกว่าจะมาเป็นหมอนวดฝีมือดีได้นั้นจะต้องผ่านการฝึกอบรมเรียนนวดไทย ซึ่งเมื่อก่อนยังแค่ 60 ชั่วโมง และเรียนนวดเท้าอีก 60 ชั่วโมง รวมถึงเรียนนวดอโรม่า หรือ นวดน้ำมัน อีก 30 ชั่วโมงด้วย แต่ปัจจุบัน เพิ่มเป็น 150 ชั่วโมง และ 372 ชั่วโมง ไปจนถึง 1,300 ชั่วโมง เมื่อเรียนจบก็จะได้ใบผ่านการอบรมนวด เพื่อนำไปใช้สมัครงานตามสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้

“หมอนวดแต่ละคนก็จะมีพื้นฐานเหมือนกัน แต่จะมีประสบการณ์มากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการทำงานรับจ้างนวด ซึ่งลูกค้าก็เหมือนกับเป็นครูช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้แก่เรา เพราะต่างคนต่างมาปวดเมื่อยไม่เหมือนกัน ถ้านวดพื้นฐานให้ถูกเส้นไม่ใช่ถูกกระดูก ก็จะคลาย หายปวด สมัยก่อนคนโบราณเวลาไม่สบายปวดหัวตัวร้อน พอได้มานวดคลายเส้นก็หาย” น้าแมว เล่าประสบการณ์

...

ประสบการณ์ครั้งนี้..ไม่มีวันลืม !!

น้าแมว เล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า เมื่อก่อนเคยมีลูกค้าผู้หญิงอายุมาก มานวดที่ร้าน เมื่อถามไปว่าป่วยเป็นโรคอะไรหรือไม่ ลูกค้าคนดังกล่าวก็บอกว่าร่างกายปกติดี จากนั้น ก็เริ่มบรรเลงการนวดด้วยความชำนาญ ก่อนที่ลูกค้าจะเป็นลมไป ด้วยความตกใจจึงเรียกรถไปส่งโรงพยาบาลทันที แต่โชคดีไม่ได้เป็นอะไร หลังจากนั้น จึงได้มารู้ภายหลังว่าลูกค้าคนดังกล่าวป่วยเป็นโรคความดัน ซึ่งคนที่อายุมากและป่วยเป็นโรคความดันเวลานวดเลือดจะสูบฉีด พอหมอนวดกดมือลงไปเลือดก็หยุด พอปล่อยมือเลือดก็สูบฉีดขึ้นมาแรง ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นลม

2 สิ่งที่ ‘หมอนวด’ ต้องคำนึงถึง

“สิ่งสำคัญที่หมอนวดจะต้องคำนึงถึง คือ 1. ถามอาการป่วยของลูกค้า 2. เช็กร่างกายลูกค้า เช่น ลูกค้าจะมานวดเท้า ก็ต้องเอาน้ำมาล้างเท้าให้ลูกค้าก่อน โดยหมอนวดก็ต้องจับดูอยู่แล้วว่าขาหรือเท้าของลูกค้า เป็นตุ่มหรือผื่นอะไรหรือไม่ พอเห็นก็ต้องถามลูกค้าแล้วว่าตรงนี้ทำไมเป็นอย่างนี้คะ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือเพิ่งจะฟกช้ำ เราเองก็ต้องระวังคอยถามลูกค้า เพราะบางคนเป็นตุ่ม ก็ต้องบอกลูกค้าว่าถ้าเป็นแบบนี้นวดไม่ได้นะคะ เพราะจะไปทำให้น้ำเหลืองมันแตกก็ต้องระวังในส่วนนี้ด้วย” หมอนวดมากประสบการณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม คนเราจะต้องรู้ตัวเองว่าร่างกายมีความเหมาะสมที่จะไปรับการนวดหรือไม่ นอกจากนี้ จะต้องบอกผู้นวดเสมอว่าตัวเองเคยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เพื่อที่ผู้นวดจะได้ระมัดระวังมากขึ้น เพราะอาจเกิดอันตรายต่อตัวเองได้.

*ขอขอบคุณสถานที่ในภาพ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)