ส่อเค้ามีมูล สพฐ.จ่อฟัน วินัย-อาญา

ไม่รอผลสอบสวนครูตุ๋ย 4 นร.ชายโรงเรียนดัง ชิงลาออกจากราชการแล้ว หลังผลสืบข้อเท็จจริงของทางโรงเรียนส่อเค้ามีมูล ด้าน เลขาธิการ กพฐ.ตามบี้ถึงที่สุด สั่งเดินหน้าสอบวินัยจนเสร็จสิ้นกระบวนการ เช่นเดียวกับคดีอาญา พร้อมเตรียมส่งเรื่องให้คุรุสภาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้เป็นกรณีตัวอย่าง ปิดทางหวนคืนอาชีพครู

หลังเกิดเรื่องฉาวโฉ่ในวงการศึกษากรณีครูข้ามเพศโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน กทม. ถูกผู้ปกครองนักเรียนบุกร้องสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้เอาผิดฐานล่วงละเมิด ทางเพศนักเรียนชายรวม 4 คน ระหว่างเดินทางไปศึกษาดูงานโครงการนักเรียนวิทยาศาสตร์สู่สากล เมื่อวันที่ 8-11 มี.ค.2558 ที่ประเทศสิงคโปร์ จนเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัดเรียกตัวมาช่วยราชการและให้โรงเรียนตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 28 มี.ค. หลังได้รับการเปิดเผยจากนายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ระหว่างเดินทางไปตรวจสนาม สอบเข้าเรียนต่อ ม.1 ประจำปีการศึกษา 2558 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยว่า ได้รับรายงานอย่างไม่เป็นทางการจากนายธีร์ ภวังคนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนของ สพฐ.ว่า ขณะนี้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มี นายรื่น หมื่นโกตะ รองผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชาฯ เป็นประธานกำลังสรุปผลการสืบสวน เท่าที่ทราบพบว่ามีมูลตามที่ถูกกล่าวหา และที่ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะมีมูลความจริงคือ ครูคนดังกล่าวได้ขอลาออกจากโรงเรียนบดินทรเดชาฯแล้ว

“แม้เจ้าตัวจะชิงลาออกจากราชการไปแล้ว แต่การดำเนินคดีทั้งทางอาญาที่ผู้ปกครองไปแจ้งความไว้ และการดำเนินการทางวินัยจะยังคงต้องเดินหน้าต่อไป โดยหลังสรุปผลการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเมื่อพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ทางโรงเรียนจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและดำเนินการไปจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการว่าจะลงโทษอย่างไร” เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ครูคนดังกล่าวมีอายุราชการเพียง 7 ปี ดังนั้นไม่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญอยู่แล้ว แต่หากผลการสอบสวนทางวินัยระบุว่าเป็นวินัยร้ายแรง โทษก็คือการปลดออกหรือไล่ออกก็จะมีผลต่อเงินตอบแทนอื่นๆ ที่เจ้าตัวอาจมีสิทธิได้รับ สพฐ.จำเป็นต้องดำเนินการทางวินัยไปจนสิ้นสุดกระบวนการ และทันทีที่มีการสรุปผลการสอบสวนทางวินัย สพฐ.จะทำหนังสือไปยังคุรุสภาเพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของครูคนดังกล่าวทันที เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างรวมทั้งป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นครูที่โรงเรียนอื่นได้อีก

...

นายกมลกล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กระทำความผิด จากการที่ได้หารือกับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ มีความคิดตรงกันว่าคุรุสภาจะต้องเข้ามา มีบทบาทในเรื่องนี้ โดยเมื่อเกิดเหตุครูกระทำความผิดขึ้น คุรุสภาต้องจัดหน่วยเข้าไปร่วมในการสอบสวน รวมทั้งระงับใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่ครูถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและวินัย หากผลการสอบออกมาว่ามีความผิดจริงก็ให้คุรุสภาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นการถาวร แต่ถ้าพบว่าเจ้าตัวสู้คดีแล้วไม่มีความผิด ก็สามารถที่จะขอคืนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้