นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปพูดในงานเสวนาแห่งหนึ่งเอาไว้ว่า เวลานี้ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยถึง 99.99% เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเปิดกว้าง มีความเป็นอิสระเสรี แม้แต่กระทั่ง การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ไม่เคยมีการปิดกั้นแต่อย่างใด

ระยะหลังของแผนโรดแม็ปคืนความสุขให้ประเทศไทย มีภาพรัฐบาลกองทัพ คุกคามประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ การแสดงออกทางการเมืองก็ถูกปิดกั้น ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ยอมรับว่า รัฐบาลปล่อยอิสระทุกอย่าง

ยกเว้นการแสดงออกทางการเมือง

และ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวเอาไว้ด้วยว่า มีใครอยากเลือกตั้งปลายปีนี้บ้าง เป็นคำถามที่คงไม่ต้องการคำตอบ เพราะ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญตอบคำถามเอาไว้แล้วว่า การเลือกตั้งในประเทศ ไทยจะเกิดขึ้นช้าที่สุด ประมาณกลางปีหน้า

แต่ถ้าคำถามนี้ รัฐบาลใจกว้าง โดยการทำประชามติให้ประชาชนเป็นคนตอบด้วยวิธีการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ก็จะได้คำตอบว่า ประชาชนต้องการเลือกตั้งเร็วหรือช้า

ถ้าตีความตามเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการบริหารประเทศวันนี้ โดยหยิบยกเอาวิธีการบริหารประเทศของอดีตนายกฯสิงคโปร์ ลี กวน ยู ก็จะเข้าใจหลักการประชาธิปไตย 99.99% ของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างดี

เพราะวิธีการปกครองของ ลี กวน ยู มีจุดหมายที่การพัฒนาประเทศ มีอิสระเสรีภาพบนหลักการประชาธิปไตย แต่ไม่ปล่อยให้อำนาจประชาธิปไตยอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล ทั้งนี้ เพราะระหว่างการสร้างประเทศนั้น สิงคโปร์ประกอบไปด้วยคนหลายเชื้อชาติศาสนา

ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์

จะว่า ปิดหูปิดตาประชาชนบางเรื่อง หรือมีข้อจำกัดบางอย่าง ก็ได้ อาทิ การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในสิงคโปร์ ก็จะอยู่ในสายตาของรัฐบาล แต่ไม่ถึงขั้นข่มขู่กดดัน หรือต้องเรียกไปปรับทัศนคติ

...

ที่สิงคโปร์ทำอย่างนั้นได้ เพราะสิงคโปร์มีประชากรจำนวนไม่มาก ประเทศมีพื้นที่นิดเดียว แต่สำหรับประเทศไทย ถึงแม้ประชาธิปไตยจะล้มลุกคลุกคลานมา 80 กว่าปี

แต่คนไทยเคยชินกับประชาธิปไตยแบบไทย เป็นประชาธิปไตยแบบสังคมครอบครัว เป็นประชาธิปไตยบนพื้นฐานของสังคมอุปถัมภ์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย 99.99% ชาวบ้านก็ยังรู้สึกว่า ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่ดี

ยิ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยแล้ว จะให้สนิทใจว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างโฆษณา คงทำใจลำบาก นี่คือความแตกต่างระหว่างประเทศไทยกับสิงคโปร์.

หมัดเหล็ก